โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ (Temporal Arteritis หรือ Giant Cell Arteritis)
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 29 กันยายน 2562
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- โรคหลอดเลือดขมับอักเสบคืออะไร? เกิดได้อย่างไร?
- โรคหลอดเลือดขมับอักเสบพบบ่อยหรือไม่?
- โรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีอาการอย่างไร?
- ผู้ป่วยปวดศีรษะแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยโรคหลอดเลือดขมับอักเสบได้อย่างไร?
- โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาอย่างไร?
- โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาให้หายขาดได้อย่างไร?
- ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีหรือไม่?
- ผู้ป่วยต้องพบแพทย์ตามนัดนานเท่าใด? เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
- โรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีอาหารต้องห้ามหรือไม่?
- เมื่อเป็นโรคหลอดเลือดขมับอักเสบควรดูแลตนเองอย่างไร?
- ป้องกันโรคหลอดเลือดขมับอักเสบได้ไหม?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคหลอดเลือด โรคเส้นเลือด (Blood vessel disease)
- หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)
- สเตียรอยด์ ยาสเตียรอยด์ คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid)
- ยากดภูมิคุ้มกัน(Immunosuppressants or Immunosuppressive agents)
- ปวดหัว ปวดศีรษะ (Headache)
- อาการปวดศีรษะร้ายแรง:สัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ (Red Flag in Headache)
- ปวดศีรษะเรื้อรัง (Chronic daily headache)
บทนำ
อาการปวดศีรษะ เป็นอาการทางระบบประสาทที่พบบ่อยที่สุด อาจกล่าวได้ว่าทุกคนต้องเคยมีอาการปวดศีรษะ โดยสาเหตุของอาการปวดศีรษะส่วนใหญ่นั้นไม่ร้ายแรง แต่ถ้าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โอกาสจะมีสาเหตุที่ร้ายแรงนั้นพบได้สูงขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) ต่างๆได้ เช่น ตาบอด ซึ่งโรคที่เป็นสา เหตุของอาการปวดศีรษะในผู้สูงอายุที่พบบ่อยโรคหนึ่งคือ “โรคหลอดเลือด (บริเวณ) ขมับอักเสบ (Temporal arteritis หรือ Giant Cell Arteritis หรือ Cranial arteritis)” โรคนี้มีลักษณะอย่างไร ลองติดตามรายละเอียดต่อไปนี้
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบคืออะไร? เกิดได้อย่างไร?
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ เกิดจากร่างกายมีการสร้างสารกระตุ้นการอักเสบขึ้นมาหลายชนิด และสารเหล่านั้นก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงบริเวณขมับที่เรียกว่า Temporal artery และของหลอดเลือดแดงต่างๆที่เป็นแขนงของหลอดเลือดแดงคาโรติคส่วนนอกสมอง [External carotid artery, หลอดเลือดแดงที่ให้แขนงต่างๆ (รวมทั้ง หลอดเลือดขมับ) เพื่อหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆในบริเวณศีรษะ เช่น ตา ไซนัส หู และกล้ามเนื้อใบหน้า] รวม ทั้งอาจก่อให้เกิดอาการอักเสบได้ทั่วตัว โดยการอักเสบนี้ไม่ได้เกิดจากภาวะติดเชื้อที่หลอดเลือดในสมองตามที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งสาเหตุที่แน่นอนที่ทำให้หลอดเลือดแดงเหล่านี้อักเสบ ยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ผิดปกติของหลอดเลือดเหล่านี้
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบพบบ่อยหรือไม่?
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบพบบ่อยในผู้มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน พบในคนเชื้อชาติยุโรปมากกว่าชาวเอเชีย โรคนี้พบไม่บ่อยคือ พบประมาณ 10-20 รายต่อประชากร 100,000 คนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หรือไม่ยังไม่ชัดเจน
อนึ่ง นอกจาก อายุ และเชื้อชาติแล้ว ยังไม่พบปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้จากสาเหตุอื่นๆ
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีอาการอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดขมับอักเสบ จะมีอาการ
- ปวดศีรษะรุนแรง บริเวณขมับด้านใดด้านหนึ่ง หรืออาจทั้งสองด้านก็ได้
- ซึ่งโรคนี้พบในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยประวัติไม่เคยมีอาการปวดศีรษะลักษณะแบบนี้มาก่อน
- นอกจากปวดศีรษะ/ขมับแล้ว เมื่อกดขมับ จะมีอาการเจ็บบริเวณขมับโดยเฉพาะตามแนวหลอดเลือดขมับ
- ร่วมกับเมื่อเคี้ยวอาหาร จะปวดบริเวณ กราม ลิ้น
- และขณะปวดยังจะมองเห็นภาพไม่ชัดเจน
- ซึ่งอาการผิดปกติดังกล่าว ยังมักร่วมกับมีอาการผิดปกติทั่วตัว เช่น
- ไข้ต่ำๆ
- อ่อนเพลีย
- รู้สึกไม่สบายตัว
- ปวดเมื่อยตามตัว
*อนึ่ง ยังไม่พบว่า อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดอาการ หรือ กระตุ้นให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น
ผู้ป่วยปวดศีรษะแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์?
ผู้ป่วยที่ควรรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจยืนยันว่า สาเหตุการปวดศีรษะเกิดจากอะไร คือ ผู้ป่วยวัยกลางคนขึ้นไป ที่มี
- อาการปวดศีรษะมาก/รุนแรงบริเวณขมับ
- กดเจ็บขมับ
- ร่วมกับมีอาการ
- อ่อนเพลีย
- มีไข้ต่ำๆ
- ปวดตามตัว
แพทย์วินิจฉัยโรคหลอดเลือดขมับอักเสบได้อย่างไร?
การวินิจฉัยที่สำคัญคือ แพทย์ต้องคิดถึงโรคนี้เมื่อผู้ป่วยมีอาการ ปวดศีรษะรุนแรง บริเวณขมับ โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยที่
- มีอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป
- มีอาการปวดศีรษะบริเวณขมับข้างเดียว
- กดเจ็บบริเวณขมับ ร่วมกับอาการดังกล่าวข้างต้นใน’หัวข้อ อาการฯ’
- ซึ่งเมื่อแพทย์สงสัยโรคนี้ ก็จะส่งตรวจหาค่าการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte sedimentation rate : ESR) ซึ่งจะพบว่ามีค่าสูงมากกว่า 50 มม.(มิลลิเมตร) ต่อชั่วโมง (ส่วนใหญ่จะมากกว่า 100 มม.)
- นอกจากนี้ จะมีการตัดชิ้นเนื้อหลอดเลือดขมับ ความยาวของหลอดเลือดที่ตัดออกมาตรวจประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา โดยจะตรวจพบเซลล์ชนิดพิเศษที่มีขนาดใหญ่มีหลายนิวเคลียส (Nucleus, สารพันธุกรรมที่อยู่ในเซลล์ที่มักรวมกันอยู่ใจกลางเซลล์) ที่เรียกว่า Multinucleated giant cells ซึ่งให้ผลบวก (สามารถช่วยวินิจฉัยโรคได้) ประมาณ 60% แต่เนื่องจากต้องมีการตัดหลอดเลือดมาตรวจ ในทางปฏิบัติจึงไม่ค่อยนิยมใช้เป็นวิธีวินิจฉัย
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาอย่างไร?
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาด้วย
- การให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูง
- และต้องรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
- โดยแพทย์จะรักษาดูแลติดตามอาการค่าอักเสบของหลอดเลือดด้วยการตรวจการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR) เป็นระยะๆ
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาให้หายขาดได้อย่างไร?
โรคหลอดเลือดขมับอีกเสบ รักษาให้หายขาดได้โดย
- การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์
- และในกรณีโรคตอบสนองไม่ดีต่อยาสเตียรอยด์ แพทย์ก็จะให้ยาสเตียรอยด์ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีหรือไม่?
ภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) จากโรคหลอดเลือดขมับอักเสบ ที่อาจพบได้ คือ
- ภาวะตาบอด เนื่องจากการอักเสบของหลอดเลือดแดงที่มาเลี้ยงจอประสาทตา และที่มาเลี้ยงเส้นประสาทตา
- เกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
- และอาจก่อให้เกิด อัมพาต เนื่องจากมีการอักเสบของหลอดเลือดในสมองร่วมด้วยได้
ผู้ป่วยต้องพบแพทย์ตามนัดนานเท่าใด? เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
โรคนี้จำเป็นต้องรับการรักษาจากแพทย์ ไม่สามารถดูแลรักษาด้วยตนเองได้ ผู้ป่วยต้องทานยาที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอนานประมาณ 1 ปี และต้องมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแพทย์ประเมินอาการของโรค และตรวจดูว่ามีผลแทรกซ้อนจากโรค หรือจากการใช้ยาหรือไม่
ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอเมื่อ
- มีอาการผิดปกติรุนแรงมากขึ้น
- หรือเกิดผลแทรกซ้อนจากการรักษา เช่น การติดเชื้อ
โรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีอาหารต้องห้ามหรือไม่?
เนื่องจากการรักษาต้องทานยาสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้น
- ควรงดของหวาน เพื่อลดโอกาสการเกิด โรคเบาหวาน
- งดอาหารเค็ม เพื่อลดโอกาสเกิด โรคความดันโลหิตสูง
- และควรทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุน
เมื่อเป็นโรคหลอดเลือดขมับอักเสบควรดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคนี้ คือ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อดนอนหรือนอนดึก เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้มีกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ป้องกันการเกิดกระดูกพรุนจากยาที่ใช้รักษา
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารสุกๆดิบๆหรืออาหารค้างคืน เพราะจะก่อให้เกิดอาการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากยาที่ใช้รักษาเป็นยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค และการที่ต้องรักษาเป็นระยะเวลานาน ก็มีโอกาสก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาได้ง่าย ไม่ควรทานอาหารเค็ม หวาน รสจัดมาก
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อมีสุขภาพกายที่ดี ร่วมกับการมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะโรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง มักส่งผลถึงสุขภาพกายและสุขภาพจิตเสมอ
ป้องกันโรคหลอดเลือดขมับอักเสบได้ไหม?
ปัจจุบัน โรคนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้
สรุป
โรคปวดศีรษะจากการอักเสบของหลอดเลือดขมับเป็นโรคที่พบไม่บ่อย แต่เป็นโรคที่อันตราย ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติดังกล่าวในหัวข้อ อาการ ต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อการรักษาที่เหมาะสม ก็จะสามารถช่วยให้ควบคุมโรคได้