ความรู้ทั่วไปโรคลมชัก (Overview of Epilepsy)
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 8 มิถุนายน 2562
- Tweet
- บทนำ
- โรคลมชักมีกลไกการเกิดโรคอย่างไร?
- อะไรเป็นสาเหตุของโรคลมชัก?
- แพทย์วินิจฉัยโรคลมชักอย่างไร?
- มีภาวะอื่นอะไรบ้างที่คล้ายกับโรคลมชัก?
- โรคลมชักรักษาหายไหม?
- แพทย์รักษาโรคลมชักอย่างไร?
- เมื่อใดต้องทานยากันชัก?
- เมื่อใดต้องรักษาโรคลมชักด้วยการผ่าตัด?
- โรคลมชักเฉพาะกรณีมีอะไรบ้าง?
- มีคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักอย่างไร?
- กายวิภาคและสรีรวิทยาระบบประสาท (Anatomy and physiology of nervous system)
- ยากันชัก ยาต้านชัก (Anticonvulsant drugs)
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง การตรวจอีอีจี (Electroencephalography; EEG)
- โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- วิธีตรวจวินิจฉัยโรคระบบประสาท ตอน1:การตรวจร่างกาย (Neurological Examination)
- เนื้องอกสมอง และมะเร็งสมอง (Brain tumor)
- สมองอักเสบ (Encephalitis)
บทนำ
โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นโรคหนึ่งที่พบบ่อย โดยพบประมาณ 6-10 คน ในประชากรหนึ่งพันคน ซึ่งเมื่อผู้ป่วยมีอาการชักจะสร้างความตกใจต่อตัวผู้ป่วย ญาติ และผู้เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก โดยผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ส่วนใหญ่มีวิธีการช่วยเหลือที่ไม่เหมาะสม คือ จะพยายามกดหน้าท้อง หน้าอก หรือใส่วัสดุในปาก และพยายามกดหรือยึดตัวไว้ไม่ให้ผู้ป่วยชัก ซึ่งการกระทำเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วย และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือได้ เราจึงควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคลมชัก
โรคลมชักมีกลไกการเกิดโรคอย่างไร?
กลไกการเกิดโรคลมชัก เกิดจากการที่สมองบางส่วนหรือทั้งหมดมีความผิดปกติ และเกิดกระบวนการสร้างและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ต่อเนื่องออกมา ซึ่งประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างผิด ปกตินี้เป็นตัวการทำให้เกิดอาการชัก
อะไรเป็นสาเหตุของโรคลมชัก?
สาเหตุของโรคลมชักเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1. โรคหลอดเลือดสมอง มักเป็นสาเหตุของการชักและโรคลมชักในผู้สูงอายุถึง 55%
2. การพัฒนาการทางสมองที่ผิดปกติ พบเป็นสาเหตุ 18% พบบ่อยในเด็กแรกเกิดถึงอายุ 14 ปี
3. อุบัติเหตุที่ศีรษะ พบบ่อยในช่วงอายุ 15 – 24 ปี โดยพบถึง 45%
4. โรคเนื้องอกสมอง พบมากในผู้ป่วยที่อายุ 35 ปีขึ้นไป
5. โรคติดเชื้อในสมอง (สมองอักเสบ) พบเป็นสาเหตุหลักในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
6. โรคสมองเสื่อม หรือ โรคอัลไซเมอร์ พบในผู้สูงอายุ ประมาณ 10% ของผู้ป่วยสมองเสื่อมมีอาการชักร่วมด้วย
ในกลุ่มผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอายุจะมีสาเหตุการชักที่แตกต่างกัน เช่น
- ผู้ป่วยอายุ 12-18 ปี มักเกิดจาก อุบัติเหตุต่อศีรษะ พันธุกรรม โรคติดเชื้อ โรคเนื้องอกสมอง และผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาปฎิชีวนะบางชนิด เป็นต้น
- ผู้ป่วยอายุ 18-35 ปี มักเกิดจาก อุบัติเหตุต่อศีรษะ การหยุดเหล้าทันทีหรือดื่มเหล้ามาก เนื้องอกสมอง ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด และบางครั้งอาจตรวจหาสาเหตุไม่พบ
- ผู้ป่วยอายุ 35 ปีขึ้นไป มักเกิดจาก โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง การหยุดเหล้าทันทีหรือดื่มเหล้ามาก ไตวาย ตับวาย ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด โรคสมองเสื่อม และบางครั้งอาจตรวจหาสาเหตุไม่พบ
ทั้งนี้ ยาที่มีผลข้างเคียงอาจก่อการชัก เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด (เช่น ยาเพนนิซิลลิน/Penicillin ขนาดสูง) ยาทางจิตเวช ยาสลบ ยาเสพติด และยาขยายหลอดลม เป็นต้น
แพทย์วินิจฉัยโรคลมชักอย่างไร?
การวินิจฉัยโรคลมชัก แพทย์จะต้องรู้ว่า
1. เป็นการชักจริงหรือไม่
2. ถ้าจริงเป็นการชักชนิดใด
3. เป็นโรคลมชักหรือไม่
ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อมาพบแพทย์จะหายเป็นปกติแล้ว ข้อมูลที่แพทย์ได้ก็จะมาจากญาติหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งข้อมูลที่แพทย์ต้องการในการวินิจฉัยจากผู้ป่วยและผู้เห็นเหตุการณ์ คือ
- รายละเอียดของความผิดปกติของอาการทั้ง
- ช่วงก่อนชัก
- ช่วงชัก
- และช่วงหลังชัก
- โดยอาการสำคัญที่แพทย์ต้องการทราบ ที่เมื่อแพทย์ได้ข้อมูลการชักของผู้ป่วยแล้วก็จะสามารถวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง คือ
- มีอาการเริ่มต้นที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย
- ผู้ป่วยหมดสติหรือไม่
- ปัสสาวะราด
- ตาเหลือก
- กัดลิ้น
- อันตรายที่ได้รับขณะมีอาการมีอะไรบ้าง
- ระยะเวลาที่มีอาการ
- ลักษณะชักทั้งตัวหรือชักบางส่วนของร่างกาย
- นอกจากนี้ ข้อมูลการชักของผู้ป่วยที่แพทย์ต้องการทราบเพิ่มเติม คือ
- ผู้ป่วยชักครั้งแรกอายุเท่าไหร่
- ชักบ่อยขนาดไหน ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่
- อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการชัก
- มีอุบัติเหตุต่อศีรษะมาก่อนหรือไม่
- มีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่ (เช่น ไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ – อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง)
- ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ได้แก่ โรคประจำตัวต่างๆ การใช้ยาต่างๆ
- ประวัติการคลอด (เช่นใช้เครื่องมือคลอดหรือไม่)
- พัฒนาการในวัยเด็ก
- และโรคประจำตัวของสมาชิกในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องมีการตรวจเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น
1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG, Electroencepalogram)
2. เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan brain)
3. สนามแม่เหล็กไฟฟ้า/เอมอาร์ไอ สมอง (MRI brain)
4. ตรวจเลือดดูการทำงานของไต ตับ
5. ตรวจเลือดดูระดับเกลือแร่ในเลือด
มีภาวะอื่นอะไรบ้างที่คล้ายกับโรคลมชัก?
ภาวะอื่นที่คล้ายกับโรคลมชัก ได้แก่
1. การเป็นลม คือ ภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอชั่วคราว โดยจะมีลักษณะแตกต่างจากโรคลมชัก คือ มักจะมีอาการขณะเปลี่ยนท่าทาง หน้าจะซีด อาการจะค่อยๆเกิด หมดสติไม่นาน พอล้มตัวลงนอนก็จะดีขึ้น ฟื้นคืนสติได้เร็ว ส่วนใหญ่ไม่มีปัสสาวะราด ยกเว้นปัสสาวะครั้งสุดท้ายนานมากก่อนจะเป็นลม ไม่มีอาการเกร็งกระตุกหรือเกร็งกระตุก 1-2 ครั้ง แต่ไม่รุนแรง และไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในขณะที่โรคลมชักจะเป็นได้ในทุกท่าทาง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสีผิว แต่ถ้าอาการชักเกิดอยู่นานอาจหน้าเขียวคล้ำได้ หน้าไม่ซีด อาการชักเกิดทันทีทันใด หมดสตินานประมาณ 1-3 นาที หรืออาจนานกว่านั้น ฟื้นคืนสติช้า อาจชักบ่อยๆ วันละหลายครั้ง มักมีปัสสาวะราด และมีอาการเกร็ง – กระตุกร่วมกับการกัดลิ้น
2. การชักปลอมหรือแกล้งชัก เป็นอาการชักที่เกิดจากความผิดปกติทางจิตใจ มักพบในผู้ป่วยที่มีประวัติถูกทำร้ายร่างกาย ถูกกระทำชำเราทางเพศ หรือประสบเหตุการณ์ที่ร้ายแรงและมีผลกระทบต่อชีวิต และการชักนั้นมักเพื่อต้องการผลตอบแทนในด้านอื่นๆ หรือเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ลักษณะการแกล้งชักจะมีรูปแบบแปลกๆ เช่น ส่งเสียงร้องอย่างดัง บิดเอว ยกสะโพก แอ่นหลัง แอ่นอก โดยรูปแบบการชัก จะไม่ค่อยเหมือนกันในแต่ละครั้ง สามารถบอกให้มีอาการหรือหยุดได้ พูดจาโต้ตอบได้ ไม่หมดสติ และไม่มีอันตรายจากการชัก ถึงแม้จะล้มลงเพราะผู้ป่วยค่อยๆล้มลง โดยมากมักมีอาการต่อหน้าผู้อื่น
โรคลมชักรักษาหายไหม?
พบว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคลมชัก จะหายได้เมื่อรับการรักษาด้วยยากันชัก โดยลักษณะผู้ป่วยที่จะตอบสนองดีต่อการรักษาคือ
- เริ่มชักครั้งแรกเมื่ออายุน้อย
- ชักแบบทั้งตัว
- ไม่มีความผิดปกติของระบบประสาท
- สาเหตุการชักเป็นชนิดหาสาเหตุไม่พบ
ส่วนผู้ป่วยที่รักษายากได้แก่
- การชักที่เกิดจากโรคในสมอง เช่น เนื้องอกสมอง
- การติดเชื้อของสมอง (สมองอักเสบ)
- โรคหลอดเลือดสมอง
- การชักเฉพาะที่
- แพทย์ตรวจพบความผิดปกติทางระบบประสาท
- เป็นผู้ป่วยที่มีระดับสติปัญญาต่ำ
- แพทย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองพบความผิดปกติก่อนและหลังรักษา
แพทย์รักษาโรคลมชักอย่างไร?
จุดมุ่งหมายของแพทย์ในการรักษาโรคลมชัก มิใช่ต้องการให้ผู้ป่วยไม่มีอาการชักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องไม่มีผลแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงของยากันชัก และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆในสังคมได้อย่างปกติ ถึงแม้อาจจะมีอาการชักบ้างก็ตาม ซึ่งจะทำให้มีคุณภาพชีวิตดีกว่าผู้ ป่วยที่รักษาแล้วไม่มีอาการชักเลย แต่มีผลแทรกซ้อนจากยา
การรักษาประกอบด้วย
- การกำจัดสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการชัก
- การใช้ยากันชัก
- และการผ่าตัด
ทุกการศึกษาพบว่า โรคลมชักจะก่อให้เกิดผลเสียหายหลายด้านถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น
- เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะชัก
- ผลกระทบต่อสมองในกรณีชักบ่อยๆและแต่ละครั้งชักนาน
- และผลต่อการดำรงชีวิต เช่น ควรต้องหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักรกล ทำงานในที่สูง งดการขับรถ
แต่ข้อเสียของการรักษาก็มี เช่น
- การแพ้ยากันชัก
- ผลกระทบของยาต่อความจำและต่อพฤติกรรม
- ความรู้สึกที่ว่าตัวเองป่วยและต้องทานยาตลอด
ดังนั้น แพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัวผู้ป่วย จึงต้องพิจารณาร่วมกัน ถึงข้อดีและข้อเสียของการทานยาและไม่ทานยาในการรักษาโรคลมชักอย่างรอบคอบ
เมื่อใดต้องทานยากันชัก?
ในการจะรักษาโรคลมชักด้วยยากันชัก แพทย์จะพิจารณาดังนี้
1. การชักเพียง 1 ครั้ง ในผู้ป่วยที่มีอาการชักเพียงครั้งเดียว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็น ต้องได้รับยากันชัก ยกเว้น ผู้ป่วยที่มีสาเหตุในสมอง เช่น เนื้องอก สมอง โรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยที่ตรวจพบคลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติ ผู้ป่วยที่ต้องขับรถเป็นเวลานาน หรือผู้ป่วยมีอาชีพที่อาจมีอันตรายถ้าชักขณะทำงาน เช่น ทำงานกับเครื่องจักร ทำงานในที่สูงหรือขับรถ
2. การชัก 2 ครั้ง หรือมากกว่า กรณีเช่นนี้ ผู้ป่วยมีโอกาสชักซ้ำประมาณ 80-90% ดัง นั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องได้รับยากันชัก ยกเว้น
- ผู้ป่วยที่มีอาการชักเฉพาะส่วนที่มีสาเหตุจากน้ำตาลในเลือดสูง เมื่อลดระดับน้ำตาลลงมาสู่ระดับปกติ อาการชักก็จะหายไป
- และผู้ป่วยที่มีอาการชักแต่ละครั้งห่างกันมากๆ เช่น 1-2 ปี/ครั้ง และการชักนั้นไม่มีอันตราย หรือชักเฉพาะตอนนอนหลับเท่านั้น
3. ควรทานยากันชักชนิดใด การพิจารณาชนิดของยากันชัก ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการชัก สาเหตุและข้อห้ามของการใช้ยาชนิดนั้นๆ ดังนั้น ผู้ป่วยและครอบครัวจึงควรให้ข้อมูลในอาการผิดปกติที่ถูกต้องกับแพทย์มากที่สุด เพื่อประโยชน์ในการเลือกชนิดของยากันชัก ซึ่งจะเริ่มจากการใช้ยาชนิดเดียวก่อน และใช้ขนาดยาน้อยที่สุดเท่าที่ควบคุมการชักได้
4. ต้องใช้ยากันชักนานเท่าใด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องได้รับยากันชักประมาณ 2 ปี หรือมากกว่า หลังจากควบคุมอาการชักได้ เพื่อลดโอกาสในการชักซ้ำ โดยแพทย์จะพิจารณาปัจจัยต่างๆของผู้ป่วยแต่ละคน เช่น สาเหตุของการชัก ความผิดปกติของระบบประสาท อายุที่เริ่มชัก ชนิดของการชัก ความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมอง ระยะเวลาที่ชักในแต่ละครั้ง และความถี่ของการชักก่อนการรักษา ทั้งนี้ เมื่อจะหยุดยากันชัก ก็จะต้องค่อยๆหยุดยาโดยใช้เวลาค่อยๆลดยานานประมาณ 6-12 เดือน
เมื่อใดต้องรักษาโรคลมชักด้วยการผ่าตัด?
สาเหตุของโรคลมชักมีหลายสาเหตุ ปัจจุบันการรักษาด้วยยากันชักสามารถระงับอาการชักได้เกือบทุกราย จะมีเพียงบางรายเท่านั้นที่ไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ด้วยยากันชัก หรือให้ผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งการผ่าตัดอาจได้ผล
ก. ข้อบ่งชี้ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีผ่าตัดรักษาโรคลมชัก
1. มีพยาธิสภาพผิดปกติที่ต้องผ่าตัดอยู่แล้ว เช่น เนื้องอกในสมอง ถุงน้ำในสมอง หรือ หลอดเลือดสมองผิดปกติ
2. มีลักษณะของเนื้อสมองบางส่วนผิดปกติ เช่น เนื้อสมองส่วนขมับฝ่อลีบ หรือผิวเนื้อสมองบางส่วนเจริญผิดปกติ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของอาการชักและการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีข้อห้ามในการใช้ยา เช่น การแพ้ยากันชัก
3. พยาธิสภาพนั้นๆ ต้องไม่ใช่ตำแหน่งของสมองในส่วนที่ผ่าตัดออกแล้วจะเป็นอัมพาต
ข. การเตรียมการรักษาด้วยการผ่าตัด
1. แพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย และการตรวจร่างกายผู้ป่วยเพื่อพิจารณาว่าอาการชักเริ่มจากส่วนใดของสมอง
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจหาจุดกำเนิดของอาการชัก
3. การตรวจสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) สมองเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเนื้อสมองและจุดกำเนิดของการชัก
ทั้งนี้ เมื่อตรวจ 3 อย่างนี้ได้ผลตรงกันว่าจุดใดในสมองทำให้เกิดอาการชักจึงมาพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด
โรคลมชักเฉพาะกรณีมีอะไรบ้าง?
โรคลมชักเฉพาะกรณี ได้แก่
1. โรคลมชักและการตั้งครรภ์ (อ่านเพิ่มเติมในโรคลมชักในผู้หญิง) ปกติแล้วผู้ป่วยโรคลมชักไม่ควรตั้งครรภ์จนกว่าจะควบคุมอาการชักได้ และแพทย์แนะนำหยุดยากันชักแล้ว หรือถ้าได้รับก็ต้องเป็นยาขนาดต่ำ ซึ่งทั้งนี้โดยการคุมกำเนิดซึ่งแนะนำการใช้ห่วงหรือถุงยางอนามัย ไม่แนะนำการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะอาจมีผลต่อระดับยากันชักในเลือดได้
แต่ถ้าผู้ป่วยตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว แพทย์มักแนะนำให้ตั้งครรภ์ต่อไปได้ เพราะ 95% ของทารกที่คลอดจะปกติ โดยในช่วงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยอาจมีการเปลี่ยนแปลงความถี่ของการชักได้ เช่น อาจชักบ่อยขึ้นหรือชักน้อยลงก็ได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิด ขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ ความเครียดที่เพิ่มขึ้น โดยมักพบว่าการชักจะถี่ขึ้น ในช่วง 8-24 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และช่วงระยะหลังคลอดเนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียมาก
ก. ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักที่ตั้งครรภ์ ควรพบแพทย์ที่ดูแลโรคลมชักอย่างสม่ำเสมอ ทานยาและพบแพทย์ตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา เพราะขณะตั้งครรภ์ อาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เพื่อการปรับขนาดยาถ้ามีความจำเป็น และเพื่อการใช้วิตามินเสริมกรดโฟลิกเพื่อป้องกันความผิดปกติของลูก
ข. สตรีที่เป็นโรคลมชักสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้การรักษาโรคลมชักก่อนการตั้งครรภ์เสมอ และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ทั้งแพทย์ที่รักษาโรคลมชัก และสูติแพทย์อย่างใกล้ชิด ก็สามารถให้กำเนิดบุตรได้ตามปกติ
2. ภาวะลมชักวิกฤต (Status epilepticus ย่อว่า SE) คือ การชักที่เกิดขึ้นติดต่อกันนานมากกว่า 30 นาที หรือเกิดอาการชัก 2 ครั้งติดต่อกัน โดยระหว่างที่หยุดชักผู้ป่วยหมดสติตลอด ภาวะนี้เมื่อเกิดแล้วต้องรีบให้การรักษาอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าชักนานกว่า 1 ชั่วโมง จะเกิดอันตรายต่อสมองได้ และถ้าชักนานกว่า 12 ชั่วโมง จะเกิดความพิการทางสมอง สาเหตุที่สำคัญของภาวะนี้คือ
- การหยุดยากันชักทันที
- การติดเชื้อในสมอง (สมองอักเสบ)
- อุบัติเหตุต่อสมองอย่างรุนแรง
- โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน
- ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง การอดนอน
- และการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยโรคลมชักที่ไม่ได้รับการรักษาโรคลมชักอย่างถูกต้อง
ข้อแนะนำสำหรับภาวะลมชักวิกฤต
การช่วยเหลือเบื้องต้นสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะถ้าช่วยเหลือไม่ถูกวิธีอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือเกิดผลแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงตามมาได้
ก. สิ่งที่ต้องทำคือ
- การเปิดช่องทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตของผู้ป่วยให้ดี โดยจัดท่าให้ศีรษะตะแคงไปด้านข้าง เอาสิ่งแปลกปลอมในปากออก เช่น อาหาร ฟันปลอม เพื่อป้องกันการสำลักเข้าทางเดินหายใจซึ่งจะก่อให้ทางเดินหายใจอุดตัน
- อย่าพยายามนำวัสดุใดๆใส่เข้าไปในช่องปากเพื่อป้องกันการกัดลิ้น เพราะจะเกิดผล เสียมากกว่าผลดี เช่น ฟันผู้ป่วยอาจหักและเลื่อนหลุดไปอุดตันทางเดินหายใจ
- และควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อให้แพทย์ควบคุมการชักและหาสาเหตุของการชักต่อไป
อนึ่ง ภาวะลมชักจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ โดยสาเหตุของอุบัติเหตุศีรษะมี 2 แบบ คือ
- จากอาวุธ
- และจากการกระทบกระแทกต่อกะโหลกศีรษะ
โดยอาการชักจากสาเหตุนี้เราแบ่งได้เป็น 2 แบบ ตามระยะเวลาเกิดอุบัติเหตุ คือ ภายในสัปดาห์แรกหลังจากเกิดอุบัติเหตุ และหลังจากสัปดาห์แรกไปแล้ว โดยพบว่า
ก.ในกลุ่มผู้ป่วยที่เกิดอาการชักภายในสัปดาห์แรกนั้น 50% จะชักใน 1 ชั่วโมงแรก แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับ
- อายุ (อายุมาก มีโอกาสชักสูงขึ้น)
- ความรุนแรงของอุบัติเหตุ
- กระดูกกะโหลกศีรษะแตก
- ตำแหน่งของกะโหลกศีรษะที่แตก
ข. ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการชักหลังจาก 1 สัปดาห์ไปแล้ว พบ 50% อาการชักจะเกิดในปีแรกหลังอุบัติเหตุ โดยปัจจัยที่มีผลให้เกิดการช้กได้แก่
- ความรุนแรงของอุบัติเหตุ
- และตำแหน่งของรอยโรคที่เกิดในสมอง
ข้อแนะนำสำหรับภาวะลมชักจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ
พบว่าการให้ยากันชักเพื่อป้องกันการชักนั้นไม่ได้ประโยชน์ ดังนั้น มักจะพิจารณาเมื่อผู้ป่วยมีอาการชักเกิดขึ้นมากกว่า 1 ครั้ง โดยในกลุ่มที่ชักในสัปดาห์แรก (ชักเร็ว) จะได้รับยาประมาณ 3 เดือนหรือนานกว่า ขึ้นกับสาเหตุและความถี่ของการชัก ส่วนกลุ่มที่ชักหลังจาก 1 สัปดาห์ไปแล้ว (ชักช้า) จะได้รับการรักษาเหมือนผู้ป่วยโรคลมชักทั่วไป
มีคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักอย่างไร?
คำแนะนำที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก คือ
1. การทานยากันชัก มีความสำคัญมากในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการชักอีก สิ่งที่ต้องปฏิบัติ ได้แก่
- ทานยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
- ห้ามหยุดยาเอง เพราะอาจเกิดอาการชักที่รุนแรง และอาจเสียชีวิตได้
- เมื่อมีอาการไม่สบาย ไม่ควรซื้อยาทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ และควรบอกแพทย์ว่าเป็นโรคลมชัก ทานยาอะไรอยู่ อย่าหยุดยากันชักเอง
- สังเกตอาการ/ผลข้างเคียงของการใช้ยากันชักและจากยาต่างๆ ถ้าพบ ให้รีบบอกแพทย์ เช่น ผื่นขึ้นทั้งตัว เวียนศีรษะ เห็นภาพซ้อน (ภาพเดียวแต่มองเห็นซ้อนกันเป็นหลายภาพ) เดินเซ นอนมาก เหงือกบวมโต ซีดเหลือง ชาปลายมือปลายเท้า
- ถ้าลืมทานยากันชักในวันเดียวกัน ให้ทานยาทันทีที่นึกได้ ถ้าข้ามวันแล้วมีอาการชักให้ปรึกษาแพทย์ ถ้าไม่ชักให้ทานยาทันที และมื้อต่อไปทานยาตามปกติ
2. การปฏิบัติตนที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการชักซ้ำ และเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่
- เมื่อมีไข้สูงให้รีบเช็ดตัวลดไข้ หรือทานยาลดไข้ พาราเซตามอล
- อย่าอดนอน
- ผ่อนคลายความทุกข์ ความเครียด
- งดดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่างๆ
- สตรีที่เป็นโรคลมชักอาจชักบ่อยช่วง ก่อน - หลัง มีประจำเดือนให้ปรึกษาแพทย์
- ควรพกบัตรแสดงตนว่าเป็นโรคลมชักเสมอ เมื่อออกจากบ้าน
- มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
3. ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยเมื่อเกิดอาการชัก ได้แก่
- หยุดกิจกรรมที่กำลังทำทันที เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะมีอาการชัก
- บอกบุคคลใกล้ชิดขณะนั้นให้ช่วย (ถ้าทำได้)
- นอนราบบนพื้นที่ไม่มีสิ่งกีดขวางกระแทกร่างกาย
อนึ่ง สำหรับบุคคลที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังชัก
- ให้จับผู้ป่วยนอนตะแคงไปด้านข้าง
- ดันคางให้ยกขึ้น
- คลายเสื้อผ้าที่รัดผู้ป่วยให้หลวม
- อย่าให้คนมุง
- ห้ามป้อนยาหรืออาหารใดๆ
- ห้ามใช้ช้อน นิ้ว หรือวัสดุใดๆ งัดปากขณะชัก
4. การดำรงชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก
การดำรงชีวิตของผู้ป่วยโรคลมชักขณะที่ไม่มีอาการชักก็เหมือนคนทั่วไป เช่น การเรียน การเล่นกีฬา
แต่ควรเลี่ยงกิจกรรมบางชนิด เพราะเมื่อเกิดอาการชัก ผู้ป่วยจะหมดสติ และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เช่น
- ทำงานบนที่สูง
- ทำงานกับเครื่องจักร
- การขับรถ
- การอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือเตาไฟ
- การว่ายน้ำในทะเลหรือสระที่ไม่มีคนดูแล
- การดำน้ำ