คำถามเกี่ยวกับยา
โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
เรื่อง : แรนิทิดีน (Ranitidine)
ยาแรนิทิดีน หรือ รานิทิดีน (Ranitidine) เป็นยาที่เป็นสารเคมีที่มีกลไกแข่งขันหรือยับยั้งการทำงานของสารฮีสตามีน (Histamine) ที่เรียกว่า Histamine H2 receptor antagonist ทำให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดน้อยลง จึงถูกนำมาใช้
- รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
- รักษาและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน
- รักษาภาวะกรดหลั่งออกมามากเกินไป เช่น โรค Zollinger - Ellison syndrome
- ใช้ควบคู่กับยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- ใช้เป็นยาร่วมกับยาอื่นในการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย H.pylori ที่อยู่ในกระเพาะอาหาร
- ป้องกันภาวะกรดในกระเพาะอาหารสำลักเข้าสู่หลอดลมก่อนการผ่าตัด (Acid - aspiration pneumonia)
- รักษาภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร
- ลมพิษ
- มีไข้
- หลอดลมหดเกร็งทำให้หายใจลำบาก
- ความดันโลหิตต่ำ
- เจ็บหน้าอก
- ระวังการใช้ยานี้กับ ผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยด้วยโรคไต
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ที่มีประวัติแพ้แสงแดด หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร รวมถึงเด็กทารก จนกระทั่งผู้สูงอายุ
- การใช้ยาแรนิทิดีนร่วมกับยาบางตัวที่รักษาโรคเอชไอวี /ยาต้านเอชไอวี เช่นยา Atazanavir อาจทำให้การดูดซึมของยาต้านเอชไอวีลดลง ส่งผลต่อประสิทธิผลของการรักษา หากต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการรับประทานให้เหมาะสม
- การใช้ยาแรนิทิดีนร่วมกับยาบางตัวที่รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ-บี /ยาต้านไวรัสตับอักเสบบี เช่น Adefovir สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากยาทั้ง 2 เพิ่มมากขึ้น แพทย์จะปรับขนาดการรับประทานให้เหมาะสมเป็นแต่ละกรณีผู้ป่วย
- การใช้ยาแรนิทิดีนร่วมกับยาขยายหลอดลม เช่นยา Aminophylline, Theophylline อาจเกิดผลข้างเคียงของยา Aminophylline และ Theophylline เพิ่มมากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ ใจสั่น อาจมีอาการชักร่วมด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน หรือ แพทย์จะปรับขนาดการรับประทานของยาให้เหมาะสมเป็นแต่ละกรณีไป
- การใช้ยาแรนิทิดีนร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin สามารถทำให้เกิดอาการตกเลือดได้ หากพบอาการตกเลือด อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด และ/หรืออุจจาระเป็นเลือด ปวดศีรษะ วิงเวียน ควรต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อการรักษา และเพื่อแพทย์พิจารณาปรับขนาดการรับประทานของยาทั้งคู่