ไตอักเสบ (Nephritis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 6 มีนาคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร?พบบ่อยไหม?
- ไตอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
- ไตอักเสบมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยไตอักเสบได้อย่างไร?
- รักษาไตอักเสบอย่างไร?
- ไตอักเสบก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- ไตอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?
- ป้องกันไตอักเสบได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
- โรคพุ่มพวง / โรคลูปัส (Lupus) / โรคเอสแอลอี (SLE)
- โรคภูมิต้านตนเอง โรคออโตอิมมูน (Autoimmune disease)
- ไต (Kidney)
- โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria)
- อาหารในโรคไต (Kidney disease diet)
- ปัสสาวะเป็นฟอง (Foamy urine)
- ปฏิกิริยาร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ (Transplant rejection)
- โรคไตรั่ว (Nephrotic syndrome)
บทนำ: คือโรคอะไร?พบบ่อยไหม?
ไตอักเสบ (Nephritis) คือ โรคไตที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อไตที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชนิดหลักคือ
- Glomerulus, พหูพจน์คือ Glomeruli: เป็นเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงมาจากหลอดเลือดเล็กๆที่ทำหน้าที่กรองสิ่งต่างๆจากเลือดที่ไหลผ่านมายังไต เช่น กรองปัสสาวะ เป็นต้น
- Tubule: เนื้อเยื่อที่เป็นท่อเล็กๆที่นำสิ่งที่ไตกรองทิ้ง/ปัสสาวะเพื่อกำจัดออกจากไตผ่านส่วนที่เรียกว่ากรวยไต(Renal pelvis) และ
- Interstitial tissue: เนื้อเยื่อที่ล้อมรอบอยู่ระหว่าง Glomerulus และ Tubule
*อนึ่ง:
- อ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง ไต และ เรื่องกายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ
- การอักเสบที่เกิดกับ Glomerlus เรียกว่า Glumerulonephritis,
- การอักเสบที่เกิดกับ Interstitial tissue เรียกว่า Interstitial nephritis ซึ่งมักเกิดร่วมกับการอักเสบของ Tubule เสมอจึงรวมเรียกว่า Tubulointerstitial nephritis,
- ส่วนการอักเสบที่เกิดกับกรวยไตที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เรียกว่า Pyelo nephritis หรือกรวยไตอักเสบ ที่ได้แยกเขียนเป็นอีกบทความต่างหากในเว็บ com เรื่อง กรวยไตอักเสบ ดังนั้นจึงจะไม่กล่าวถึง’กรวยไตอักเสบ’ในบทความนี้
ไตอักเสบ:
- เมื่อไตอักเสบในระยะเวลารวดเร็วซึ่งไตจะมีลักษณะบวมใหญ่ขึ้นเรียกว่า ‘ไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute nephritis)’ ซึ่งมักมีอาการรุนแรงจนอาจเกิดไตวายเฉียบพลันจนถึงตายได้ หรือถ้าสาเหตุไม่รุนแรงอาจรักษาหายได้
- แต่ถ้าไตอักเสบที่อาการค่อยๆเกิดโดยระยะแรกอาการไม่รุนแรง แต่อาการจะค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่วมกับไตมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เรียกว่า ‘โรคไตเรื้อรัง’ และจะเกิด ‘ไตวาย’ในที่สุดเรียกว่า “ไตอักเสบเรื้อรัง (Chronic nephritis)”
ไตอักเสบ พบทั้งในเพศหญิง,ในเพศชาย,และในทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิด(นิยามคำว่าเด็ก)จนถึงผู้สูงอายุ โดยอาจเกิดกับไตเพียงข้างเดียว (ข้างซ้ายหรือข้างขวามีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน) หรือกับไตพร้อมกันทั้ง 2 ข้างทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ ซึ่งสถิติเกิดไตอักเสบในภาพรวมยังไม่มีรายงานที่ชัดเจน เพราะโดยทั่วไปมักแยกรายงานตามแต่ละสาเหตุซึ่งมีสถิติการเกิดต่างๆกัน ขึ้นกับแต่ละเชื้อชาติ, โรงพยาบาล, และแต่ละประเทศ
ไตอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
สาเหตุของไตอักเสบ ได้แก่
ก. สาเหตุของ Glomerulonephritis: เช่น
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เกิดไตอักเสบตามหลังการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus ในโรคสเตรปโธรท (Strep throat), หรือเกิดตามหลังโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ หรือเกิดจาก โรคติดเชื้อไวรัส เช่น ในโรคติดเชื้อเอชไอวี หรือในไวรัสตับอักเสบบี
- จากโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคลูปัส-เอสแอลอี (SLE)
- จากโรคต่างๆที่ก่อการอักเสบโดยตรงต่อ Glomeruli เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- จากผลข้างเคียงของยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ปวด/ยาแก้อักเสบกลุ่มเอ็นเสด/NSAID ที่ใช้ในปริมาณสูงต่อเนื่อง), หรือการได้รับสารพิษต่างๆปริมาณสูงหรือต่อเนื่อง (เช่น พิษตะกั่ว, พิษปรอท, ควันรถยนต์)
- จากโรคหลอดเลือดอักเสบ เช่น โรค Polyarteritis
ข. สาเหตุของ Interstitial nephritis/Tubulointerstsitial nephritis ที่บางสาเหตุเป็นสาเหตุเดียวกับ Glomerulonephritis เช่น
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ใช้ในปริมาณสูงต่อเนื่องเช่น ยาแก้ปวด/ยาแก้อักเสบ เอ็นเสด, ยาปฏิชีวนะบางชนิดเช่น Sulfa drug, ยาขับปัสสาวะบางชนิด เช่นยา Furosemide
- โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี /SLE
- การติดเชื้อบางชนิด เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี
- ภาวะมีเกลือแร่โพแทสเซียมในเลือดต่ำ
- ภาวะมีแคลเซียมในเลือดสูง
- กรดยูริคในเลือดสูง
- ปฏิกิริยาร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่
ไตอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการจากไตอักเสบมีได้หลากหลายที่พบบ่อย ได้แก่
ก. อาการของ Glomerulonephritis:
- อาการที่พบบ่อย คือ
- ปัสสาวะเป็นเลือดโดยสีปัสสาวะจะคล้ำเข็มเหมือนสีน้ำปลา
- ปัสสาวะเป็นฟอง เพราะมีสารโปรตีน /แอลบูมิน ปนมาในปัสสาวะซึ่งจะไม่พบในภาวะไตปกติ
- และบวมน้ำทั่วร่างกายพบบ่อยที่ใบหน้า รอบตา ข้อเท้า และเท้า
- ส่วนอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อย เช่น
- ปวดหลัง
- ท้องเสียที่หาสาเหตุไม่ได้
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปัสสาวะปริมาณมากหรือปัสสาวะปริมาณน้อยผิดปกติ
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- มีไข้
- ความดันโลหิตสูง
- มีเลือดออกง่ายจึงอาจมีเลือดกำเดาออกง่ายผิดปกติ หรือไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือดได้
ข. อาการจาก Tubulointerstitial nephritis เป็นอาการที่คล้ายกับอาการจาก Glomerulonephritis เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด, ปัสสาวะมากหรือปัสสาวะน้อยกว่าปกติ, อาจมีไข้, ตัวบวม, คลื่นไส้อาเจียน, ความดันโลหิตสูง
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการต่างๆดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ
อนึ่ง: ไตอักเสบในระยะแรกอาจไม่พบมีอาการได้ ดังนั้นจึงควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีจากแพทย์ และตรวจเลือดดูการทำงานของไตร่วมด้วยเสมอ เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคไตได้แต่เนิ่นๆซึ่งจะช่วยให้ผลการรักษาและการควบคุมโรคได้ดีกว่าการพบโรคไตระยะที่มีอาการแล้ว
แพทย์วินิจฉัยไตอักเสบได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยไตอักเสบได้จาก
- ประวัติอาการ ประวัติทางการแพทย์ต่างๆที่รวมถึงโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจปัสสาวะ
- ตรวจเลือด ดูการทำงานของไตและดูค่าสารต่างๆที่จะช่วยการวินิจฉัยหาสาเหตุ เช่น สารภูมิต้านทานต่างๆ
- นอกจากนั้น เช่น
- การตรวจภาพไตอาจด้วย อัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีทีสแกน) และ/หรือเอมอาร์ไอ
- อาจจำเป็นต้องส่องกล้องตรวจทางเดินปัสสาวะ และ/หรือตัดชิ้นเนื้อจากไต เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาที่จะช่วยการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น
รักษาไตอักเสบอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคไตอักเสบคือ การรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ, และร่วมกับการรักษาประคับประคองตามอาการ/การรักษาตามอาการ
ก. รักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ: จะแตกต่างกันไปขึ้นกับแต่ละชนิดของโรค เช่น
- ใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อสาเหตุเกิดจากไตติดเชื้อแบคทีเรีย
- หยุดยาหรือหยุดการได้รับสารพิษต่างๆ อาจร่วมกับการให้ยาที่ใช้ต้านพิษยาเหล่านั้นถ้ามียาต้านพิษ เช่น ยา Edetate calcium disodium ที่ใช้รักษาพิษปรอท ถ้าสาเหตุมาจากยาหรือสารพิษ
- รักษาควบคุมโรคภูมิต้านตนเองเมื่อสาเหตุมาจากโรคนี้
ข. การรักษาตามอาการ: เช่น
- ให้ยาลดความดันถ้ามีความดันโลหิตสูง
- การล้างไตกรณีมีภาวะไตวาย ซึ่งทั้งนี้รวมไปถึงจำกัดอาหารรสเค็ม และการบริโภคอาหารในกลุ่มอาหารในโรคไต
ไตอักเสบก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่พบได้จากโรคไตอักเสบ เช่น
- ภาวะไตวายเฉียบพลันในไตอักเสบเฉียบพลันที่เป็นสาเหตุให้ถึงตายได้ และโรคไตเรื้อรังที่อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง
- และอาจเกิดกลุ่มอาการไตเสื่อม(Nephrotic syndrome/โรคไตรั่ว) คือภาวะที่ร่างกายสูญเสียสารโปรตีนออกมาในปัสสาวะมากจนส่งผลให้เกิดการบวมน้ำทั้งตัวเรื้อรังร่วมกับภาวะซีดและปัสสาวะเป็นฟองจากมีโปรตีนในปัสสาวะมาก
ไตอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรคของไตอักเสบไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขได้เพราะขึ้นกับหลายปัจจัยมาก แพทย์จึงให้การพยากรณ์โรคเป็นรายบุคคลไป ซึ่งปัจจัยสำคัญต่อการพยากรณ์โรคได้แก่
- สาเหตุ: เช่น ถ้าสาเหตุเกิดจากผลข้างเคียงของยา การพยากรณ์โรคจะดีกว่าสาเหตุที่เกิดจากโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง
- ความรุนแรงของอาการ: ยิ่งอาการมาก การพยากรณ์โรคจะไม่ดี
- ค่าการทำงานของไตที่เสียไป: ยิ่งไตเสียการทำงานมาก การพยากรณ์โรคจะไม่ดี
- อายุ: การพยากรณ์โรคในเด็กจะดีกว่าในผู้ใหญ่ และในผู้สูงอายุการพยากรณ์โรคจะแย่กว่าในทุกอายุ
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไตอักเสบ ที่สำคัญคือ
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเอง
- รักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้ได้ดี เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ
- ไม่สูบบุหรี่ เลิกบุหรี่ถ้าสูบอยู่ เพื่อลดความรุนแรงของโรคหลอดเลือด
- กินอาหารรสจืด (ไม่กินอาหารรสเค็ม) ควบคุมอาหารที่ลดการทำงานของไต ควรกิน อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง อาหารในโรคไต)
- ไม่ซื้อยาต่างๆใช้เอง ต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?
เมื่อเป็นไตอักเสบควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ เมื่อ
- อาการเดิมที่เป็นอยู่แย่ลง เช่น ปัสสาวะเป็นฟองมากขึ้น
- มีอาการใหม่เกิดขึ้น เช่น ปวดหลัง/ปวดเอวมากทั้งๆที่ไม่เคยมีอาการนี้มาก่อน
- อาการที่ดีขึ้นแล้วกลับมาเป็นใหม่อีกเช่น กลับมามีปัสสาวะเป็นเลือดอีก
- มีผลข้างเคียงต่อเนื่องจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันจากยาที่แพทย์สั่ง
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันไตอักเสบได้อย่างไร?
การป้องกันไตอักเสบที่สำคัญ คือ
- ป้องกันรักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแดงแข็ง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอชไอวี และโรคไวรัสตับอักเสบบี
- ไม่สูบบุหรี่ ถ้าสูบอยู่ควรต้องเลิก
- กินอาหารจืด ไม่กินอาหารรสเค็ม หรืออาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง เช่น ขนมขบเคี้ยวต่างๆ
- ไม่กินยาพร่ำเพรื่อ กินแต่เฉพาะที่จำเป็น และเมื่อจะซื้อยาใช้เองต้องปรึกษาเภสัชกร ประจำร้านขายยาก่อนเสมอ
- หลีกเลี่ยงภาวะเป็นพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก (เช่น พิษตะกั่ว), ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
- ตรวจสุขภาพประจำปีโดยแพทย์ที่รวมถึงการตรวจเลือดดูการทำงานของไตเพราะถึงแม้ไม่ช่วยป้องกันโรคไต แต่จะช่วยวินิจฉัยโรคไตได้ตั้งแต่เนิ่นๆขณะยังไม่มีอาการที่จะส่งถึงประสิทธิผลที่ดีในการรักษา
บรรณานุกรม
- https://emedicine.medscape.com/article/239278-overview#showall [2022,March5]
- https://emedicine.medscape.com/article/239392-overview#showall [2022,March5]
- https://medlineplus.gov/ency/article/000464.htm [2022,March5]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Nephritis [2022,March5]
- https://emedicine.medscape.com/article/243597-overview#showall [2022,March5]