แท้งติดเชื้อ (Septic abortion)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 3 ตุลาคม 2563
- Tweet
- ภาวะแท้งติดเชื้อคืออะไร?
- อันตรายของการแท้งติดเชื้อคืออะไร?
- สาเหตุของการแท้งติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
- ปัจจัยเสี่ยงต่อการแท้งติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
- สตรีตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดการแท้งติดเชื้อกับตนเอง?
- แพทย์มีวิธีวินิจฉัยภาวะแท้งติดเชื้ออย่างไร?
- การรักษาภาวะแท้งติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
- การดูแลตนเองหลังแท้งติดเชื้อควรทำอย่างไร?
- หากครรภ์แรกมีภาวะแท้งติดเชื้อ การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะมีปัญหาหรือไม่?
- ตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้เมื่อไร?
- ป้องกันภาวะแท้งติดเชื้อได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- การแท้งบุตร (Miscarriage)
- แท้งคุกคาม (Threatened abortion)
- แท้งซ้ำ (Recurrent miscarriage)
- แท้งไม่สมบูรณ์ (Incomplete miscarriage)
- แท้งค้าง (Missed abortion)
- การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
- การขูดมดลูก (Fractional dilatation and curettage)
- การใส่ห่วงคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัย (Intrauterine device birth control)
ภาวะแท้งติดเชื้อคืออะไร?
การแท้งติดเชื้อ หรือ ภาวะแท้งติดเชื้อ (Septic abortion) เป็นภาวะแทรกซ้อนของการแท้ง คือ เกิดมีการอักเสบและติดเชื้อร่วมกับการแท้ง ซึ่งการอักเสบติดเชื้อนี้ สามารถเกิดก่อนที่จะมีการแท้ง หรือเกิดหลังทารกในครรภ์เสียชีวิตก่อนแล้วค่อยติดเชื้อก็ได้ ภาวะแทรกซ้อนนี้สา มารถเกิดขึ้นทั้งในการแท้งเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการไปทำแท้งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งการไปทำแท้งฯมักทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างมาก
อันตรายของการแท้งติดเชื้อคืออะไร?
อันตราย หรือ ผลข้างเคียง หรือ การพยากรณ์โรค จากการแท้งติดเชื้อ มีได้ตั้งแต่อาการน้อยๆที่รักษาได้หาย ไปจนถึงอาการรุนแรงมากจนถึงขั้นเสียชีวิต (ตาย) ได้ (ขึ้นกับ ความรุน แรงของเชื้อ, ผลข้างเคียงจากโรค เช่น การเสียเลือด การทำงานของไตล้มเหลว, สุขภาพพื้น ฐานของผู้ป่วย, และการพบแพทย์ได้เร็วหรือช้า) การแท้งติดเชื้อเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สตรีตั้งครรภ์ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาเสียชีวิตในอัตราที่สูง อันตรายที่พบได้มีดังนี้
- มีการอักเสบในโพรงมดลูก ทำให้ปวดท้อง ตกขาว มีไข้ ในกรณีที่รุนแรงและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล อาจทำให้แพทย์จำเป็นต้องตัดมดลูกเพื่อรักษาชีวิตผู้ป่วยไว้
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ทำให้ปวดท้องน้อย/ปวดอุ้งเชิงกราน ตกขาว มีไข้
- เกิดฝีหนองในอุ้งเชิงกราน เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สืบต่อจากการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) โดยเชื้อลุกลามจากโพรงมดลูก หากให้การรักษาไม่ทันท่วงที อาจรุนแรงถึงตายได้
- เกิดมีพังผืดในโพรงมดลูก ทำให้ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มาเลยในอนาคต
- ทำให้มีภาวะมีบุตรยากหรือไม่มีบุตรในอนาคต
- มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังในอนาคต
สาเหตุของการแท้งติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
สาเหตุของการแท้งติดเชื้อ ได้แก่
1. การแท้งไม่สมบูรณ์หรือแท้งไม่ครบ ทำให้ปากมดลูกเปิด ทำให้เชื้อโรคจากบริเวณ ช่องคลอดแพร่เข้าไปในมดลูก ทำให้มีโอกาสติดเชื้อง่าย ทั้งนี้ การแท้งไม่สมบูรณ์เกิดได้จาก
2. การไปทำแท้งอย่างผิดกฎหมายหรือลักลอบทำแท้ง จะชักนำให้มีการติดเชื้อจากช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูก จึงเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงในมดลูกตามมา
ปัจจัยเสี่ยงต่อการแท้งติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงต่อการแท้งติดเชื้อมีดังนี้ คือ
1. การไปทำแท้ง โดยการใส่อุปกรณ์บางอย่างเข้าไปในช่องคลอด เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อมากที่สุด
2. ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด/แตกก่อนกำหนด ทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าไปในถุงการตั้งครรภ์ได้
3. การติดเชื้อในช่องคลอด/ช่องคลอดอักเสบ ทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าไปในถุงการตั้งครรภ์ได้
4. สตรีตั้งครรภ์มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ติดเชื้อเอชไอวี โรคออโตอิมมูน/ โรคภูมิต้านตนเอง)
5. การใส่ห่วงอนามัย/ การใส่ห่วงคุมกำเนิด แล้วเกิดการตั้งครรภ์ร่วมกับการใส่ห่วง
สตรีตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดการแท้งติดเชื้อกับตนเอง?
สตรีตั้งครรภ์จะรู้ได้ว่าเกิดการแท้งติดเชื้อกับตนเอง โดยสังเกตจากอาการที่แสดงว่าอาจ จะเกิดการแท้ง คือ
- มีอาการปวดท้องน้อยหน่วงๆ
- มีเลือดออกทางช่องคลอด อาจออกกะปริบกะปรอยหรือออกปริมาณมาก
- หากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย จะทำให้เกิดอาการ
- ไข้
- ปวดบริเวณท้องน้อยมากขึ้น และ
- เลือดหรือสารคัดหลั่งที่ออกทางช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น
แพทย์มีวิธีวินิจฉัยภาวะแท้งติดเชื้ออย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะแท้งติดเชื้อได้โดย
ก. ประวัติอาการ: เช่น มีการตั้งครรภ์แล้ว
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
- มีน้ำ/ของเหลวออกทางช่องคลอด
- มีเศษชิ้นเนื้อหลุดออกมาก
- มักมีไข้ร่วมด้วย
- ปวดท้องน้อย
- เลือดหรือน้ำที่ออกจากช่องคลอดมีกลิ่น และ/หรือ
- มีประวัติไปทำแท้งมา
ข. การตรวจร่างกาย: เช่น
- วัดอุณหภูมิร่างกายพบว่ามีไข้
- มีชีพจรเต้นเร็ว
- มีความดันโลหิตต่ำในรายที่มีอาการมาก
- กดเจ็บบริเวณท้องน้อย กล้ามเนื้อหน้าท้องหดเกร็ง
- เสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง (ตรวจได้จากการใช้หูฟัง)
ค. การตรวจภายใน: เช่น ตรวจพบ
- เลือดหรือสิ่งคัดหลั่งที่ออกในช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น
- ปากมดลูกเปิด
- กดเจ็บที่ ปีกมดลูก และมดลูก
- หากเกิดก้อนฝี/หนองที่ปีกมดลูก จะคลำได้ก้อนหนองที่ปีกมดลูกร่วมด้วย
ง. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น
- มีการตรวจเลือด เพื่อดูร่องรอยการติดเชื้อและดูภาวะซีด (ตรวจ Complete blood count/CBC/ ซีบีซี) และ ดูการทำงานของไต
- การตรวจเพาะเชื้อจากเลือด (Hemoculture)
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อรุนแรง ต้องตรวจเลือดดูระบบการแข็งตัวของเลือดด้วย
- นอกจากนี้
- อาจมีการตรวจเครื่องเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์)ทางช่องคลอด เพื่อดูว่ามีชิ้นส่วนของการตั้งครรภ์หรือเศษรกค้างอยู่ในมดลูกหรือไม่
การรักษาภาวะแท้งติดเชื้อมีอะไรบ้าง?
การรักษาภาวะแท้งติดเชื้อ โดยทั่วไปในระยะแรกมักเป็นการรักษาโดยรับผู้ป่วยไว้ในโรง พยาบาล
1. การรักษาทั่วไป: มักเป็นการรักษาโดยรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล
- ประเมินสัญญาณชีพของผู้ป่วยเป็นระยะๆเพื่อดูความรุนแรงของโรค
- ให้ออกซิเจนหากมีอาการมาก
- แพทย์จะให้งดน้ำและอาหารทางปากในช่วงแรก
- ให้สารน้ำ (น้ำเกลือ) ทางหลอดเลือดดำให้เพียงพอ
- ให้เลือดกรณีที่มีการเสียเลือดมาก
- ให้ยาแก้ปวด ยาลดไข้ แบบฉีดในช่วงที่ต้องงดอาหาร
- ฉีดวัคซีนบาดทะยักท็อกซอยด์ ในกรณีที่มีประวัติไปทำแท้งผิดกฎหมาย หรือมีการสอดใส่อุปกรณ์เข้าไปในช่องคลอด
- ฉีดยาสาร Tetanus antitoxin (ยาที่เป็นสารต้านสารพิษจากเชื้อบาดทะยัก) ควบ คู่ไปกับวัคซีนบาดทะยัก ในกรณีที่มีประวัติไปทำแท้งผิดกฎหมาย หรือมีการสอดใส่อุป กรณ์เข้าไปในช่องคลอด
2. การรักษาเฉพาะ:
- ให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำใน 48 ชั่วโมงแรก มักต้องให้ยา 2 - 3 ขนานเพื่อ ให้ครอบคลุมเชื้อได้อย่างกว้างขวาง เมื่ออาการดีขึ้นจะเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทาน เนื่องจากเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหลายกลุ่ม การให้ยาปฎิชีวนะจึงต้องให้ยาหลายขนาน
- พิจารณาขูดมดลูกหากยังมีเศษรกเหลืออยู่หลังจากให้ยาปฏิชีวะนะไปแล้ว หรือยังมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
การดูแลตนเองหลังแท้งติดเชื้อควรทำอย่างไร?
การดูแลตนเองหลังแท้งติดเชื้อเมื่อแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ได้แก่
1. รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งจนครบ ห้ามหยุดยาเอง
2. งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังจากไม่มีน้ำคาวปลาแล้ว
3. เริ่มคุมกำเนิดหลังแท้งได้ 2 สัปดาห์
4. งดการว่ายน้ำในสระหรืออ่างอาบน้ำอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าสิ่งคัดหลั่ง(น้ำคาวปลา) หยุดไหล
5. พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัด
6. ไปพบแพทย์/โรงพยาบาลก่อนนัดหากมีอาการผิดปกติ เช่น เลือดที่ออกทางช่องคลอดหยุดไปแล้ว กลับมามีเลือดออกอีก มีไข้ ปวดท้องมากขึ้น
หากครรภ์แรกแท้งติดเชื้อ ตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะมีปัญหาหรือไม่?
หากได้รับการรักษาทันท่วงทีและรักษาถูกต้อง ไม่มีภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียงดัง กล่าวแล้วในหัวข้อ อันตราย/ผลข้างเคียง) การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปน่าจะไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องระวังภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด/แตกก่อนกำหนด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อในโพรงมดลูกได้ง่าย และมีการคลอดก่อนกำหนดตามมา ดังนั้นเมื่อตั้งครรภ์ควรรีบไปพบแพทย์
ตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้เมื่อไร?
การวางแผนการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ควรรอให้สภาพมดลูกและปีกมดลูกกลับมาเป็นปกติก่อน ไม่สามารถบอกระยะเวลาได้แน่นอน
แต่โดยทั่วไปแนะนำให้คุมกำเนิดไปประมาณ 3 เดือนหลังจากการแท้งบุตร รอให้ประจำเดือนมาปกติเสียก่อน
ในกรณีที่ต้องการตั้งครรภ์เร็ว ควรใช้การคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยชายเพื่อที่จะไม่ไปรบกวนระดับฮอร์โมน
อนึ่ง สำหรับการคุมกำเนิดด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีที่ดี มีประสิทธิภาพสูง สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่หลังจากหยุดรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด อาจต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่ระดับฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์จะกลับมาปกติ
ป้องกันภาวะแท้งติดเชื้อได้อย่างไร?
ป้องกันแท้งติดเชื้อได้โดย
1. หลีกเลี่ยงการไปทำแท้งหรือการตั้งครรภ์ที่ยังไม่พร้อม
2. มีการคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ
3. เมื่อจะแต่งงานหรือแต่งงานแล้ว ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เรื่อง การวางแผนครอบครัว
บรรณานุกรม
1. http://emedicine.medscape.com/article/795001-overview [2020,Sept26]
2. http://www.glowm.com/section_view/heading/Septic%20Abortion:%20Prevention%20and%20Management/item/437 [2020,Sept26]