หมอสมศักด์ชวนคุยชุดที่2 ตอน 13 ตอน ปวดหัวจนตาย

หมอสมศักด์ชวนคุยชุดที่2 ตอน ปวดหัวจนตาย

               เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสดูแลรักษาผู้ป่วยหญิงอายุประมาณ 21 ปี เป็นลูกสาวของนักร้องลูกทุ่งชื่อดังในอดีต น้องเขามาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรงมา 1 สัปดาห์ มาตรวจที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล 3 ครั้งใน 7 วัน ได้รับการรักษาด้วยยาแก้ปวดหลายขนาน ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองด้วย ไม่พบความผิดปกติใด ๆ แต่อาการปวดหัวไม่ดีขึ้น รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาหาหมอเป็นครั้งที่ 4 พบผมพอดี จึงให้นอนักษาในโรงพยาบาล

               ผมได้ตรวจเจาะน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง พบว่ามีเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก และพบเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิวส์จำนวนมากด้วย จึงให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคปวดหัวเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากการติดเชื้อพยาธิ เพราะตรวจพบเม็ดเลือดขาวในน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังดังกล่าวข้างต้น ร่วมกับประวัติทานอาหารสุกๆ ดิบๆ มาก่อนหน้านี้ด้วย ผมได้ให้การรักษาตามวิธีการที่เป็นมาตรฐาน ก็พบว่าอาการผู้ป่วยดีขึ้นมาก จนผมได้บอกกับคุณพ่อผู้ป่วย (นักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดัง) ว่าจะให้ลูกสาวกลับบ้านในวันรุ่งขึ้นแล้ว ซึ่งทางคุณพ่อและคุณแม่ก็ดีใจที่ลูกสาวอาการหายดีเป็นปกติ ไม่มีอาการปวดหัวเลย เดินไปมาได้ปกติ ทานอาหารก็ดี ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน

               แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือ วันรุ่งขึ้นผู้ป่วยมีอาการซึมลง ปลุกไม่ตื่น ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองพบภาวะสมองบวมอย่างรุนแรง เกิดภาวะก้านสมองถูกกดทับ และก้านสมองตายในเวลาต่อมา เนื่องจากพ่อผู้ป่วยเป็นนักร้องดัง ผมก็เลยดังไปด้วย ดังแบบไม่ได้ตั้งใจอยากดัง คือ ได้ออกทีวีในรายการเล่าข่าวที่ดังที่สุด ถูกพิธีกรชื่อดังของเมืองไทยสัมภาษณ์ถึงอาการของผู้ป่วย สาเหตุของการเจ็บป่วย วิธีการรักษา และผลการรักษาจะเป็นอย่างไร รวมทั้งความรู้เรื่องโรคปวดหัวจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อพยาธิ ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก ผมไม่สามารถเดินทางไปประชุมวิชาการ หรือไปทำงานนอกสถานที่ได้เลยเป็นเวลาเกือบสามปีที่ผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะสมองบวม ไม่รู้สึกตัวใดๆ เพราะผมกังวลใจว่าจะถูกทางครอบครัวผู้ป่วยร้องเรียน เนื่องจากสื่อก็มีการติดตามอยู่เป็นระยะๆ มีการระดมทุนของลูกศิษย์ของคุณพ่อผู้ป่วยที่เป็นนักร้องด้วยกัน เนื่องจากคุณพ่อผู้ป่วยเป็นครูเพลงด้วยมีลูกศิษย์ชื่อดังมากมาย เวลามีใครมาเยี่ยมผมก็ต้องไปอธิบาย ประกอบกับคุณพ่อผู้ป่วยก็พูดกับผมทุกครั้งว่า “ผมยังมีความหวังว่าลูกสาวผมจะหาย เพราะหมอบอกว่าจะให้ลูกสาวผมกลับบ้าน แล้วลูกสาวผมก็เป็นแบบนี้ ผมติดใจว่าลูกสาวผมป่วยเป็นอะไรแน่ๆ หมอก็ตอบไม่ได้”

               ตลอดเวลาเกือบ 3 ปีที่ผมรักษาผู้ป่วย ผมไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน เพราะมีความกังวลใจตลอดเวลาว่า ถ้าผู้ป่วยเสียชีวิต แล้วคุณพ่อผู้ป่วยจะฟ้อง หรือร้องเรียนผมหรือไม่ ผมเองก็เครียดนะครับ ผมเองก็เสียใจที่ไม่สามารถรักษาให้ผู้ป่วยหาย แล้วกลับบ้านได้ แต่ผมก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทำการวินิจฉัยและรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างสุดกำลัง แต่ผู้ป่วยก็ไม่ดีขึ้น อาการทรุดลงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

               ผมและท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาล ท่านคณบดีก็ไปร่วมงานศพ และเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมด้วย สุดท้ายสิ่งที่ผมกังวลใจว่าจะถูกร้องเรียน หรือฟ้องร้องก็ไม่เกิดขึ้น ครอบครัวผู้ป่วยเข้าใจและเห็นใจพวกเราทุกคนที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาผู้ป่วยอย่างสุดกำลัง ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ให้การดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี ทีมพยาบาล ทีมแพทย์ ทีมผู้บริหาร และครอบครัวผู้ป่วยที่เข้าใจผมและทุกคนเป็นอย่างดี

               ผมกลับมานั่งทบทวนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า ผมและทีมจะทำอะไรให้ดีขึ้นกว่านี้ เพื่อให้ผู้ป่วยหายกลับบ้านได้ ผมอยากบอกกับผู้อ่านทุกท่านนะครับ หมอทุกคนมีความตั้งใจในการรักษาผู้ป่วยทุกรายอย่างดี ต้องการให้ผู้ป่วยทุกรายหายดี กลับบ้านได้ กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ธรรมชาติของโรคก็มีความรุนแรงแตกต่างกัน บางครั้งก็เกิดเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เหมือนอย่างผู้ป่วยรายนี้ ผมจะสอนลูกศิษย์ทุกๆ คนว่า เราต้องใจให้ดีที่สุดในการรักษาผู้ป่วยทุกรายที่เราให้การรักษา ไม่ว่าผู้ป่วยรายนั้นจะเป็นใครก็ตาม เราต้องพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะครอบครัวของผู้ป่วยฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เรา ผู้ป่วยหาย ครอบครัวก็สุขใจ เราผู้เป็นหมอที่ให้การรักษาก็สุขใจด้วย ถ้าผู้ป่วยไม่หาย อาการทรุดลง เราก็ทุกข์ใจ แต่ครอบครัวผู้ป่วยทุกข์ใจกว่าเราหลายร้อย หลายพันเท่า ดังนั้นเราต้องพยายามทำให้ดีที่สุด