วัณโรค (Tuberculosis)
- โดย วีระเดช สุวรรณลักษณ์
- 25 มกราคม 2563
- Tweet
- วัณโรคคืออะไร?
- วัณโรคติดต่อได้อย่างไร?
- หลังจากเชื้อวัณโรคเข้าสู่ถุงลมปอดแล้วจะเกิดโรคเมื่อใด?
- วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เป็นปัญหาหรือไม่ในประเทศไทย?
- อาการของวัณโรคปอดเป็นอย่างไร?
- การตรวจวินิจฉัยวัณโรคทำได้อย่างไร?
- มีแนวทางรักษาวัณโรคอย่างไร?
- ผู้ป่วยวัณโรคควรปฏิบัติอย่างไร?
- ป้องกันวัณโรคได้อย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- บรรณานุกรม
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ(Infectious disease)
- แบคทีเรีย (Bacterial infection)
- วัณโรคปอดในเด็ก (Childhood tuberculosis)
- ไอโซไนอาซิด (Isoniazid)
- ยาไรแฟมพิน/ไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
- อีแทมบูทอล (Ethambutol)
- สเตรปโตมัยซิน (streptomycin)
- ยาวัณโรค หรือ ยารักษาวัณโรค (Anti-tuberculosis medication)
- ทูเบอร์คูลิน (Tuberculin test)
- วัคซีนบีซีจี (BCG vaccine)
วัณโรคคืออะไร?
วัณโรค (Tuberculosis) หรือทั่วไปมักเรียกย่อว่า โรคทีบี (TB) เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังที่ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Mycobacterium Tuberculosis บางครั้งเรียกว่า เอเอฟบี (AFB, acid fast bacilli) ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่การอักเสบจากเชื้อวัณโรคจะเกิดในปอดที่เรียกว่า ‘วัณโรคปอด(Pulmonary TB’ แต่ก็สามารถเกิดโรคที่อวัยวะอื่นได้เกือบทุกอวัยวะในร่างกายเช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ ในสมัยก่อนผู้ป่วยวัณโรคส่วนใหญ่จะเสียชีวิต แต่ในปัจจุบัน วัณโรค สามารถรักษา ด้วยยารักษาวัณโรคจนหายขาดได้
การติดเชื้อวัณโรคแตกต่างจากการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ เพราะเชื้อวัณโรคสามารถ อยู่ในตัวผู้ป่วยโดยไม่มีอาการได้นานๆเรียกว่า ‘วัณโรคระยะแฝง(Latent TB infection ย่อว่า LTBI) ซึ่งทั่วโลก มีผู้ป่วยวัณโรคระยะแฝงประมาณ 2,000 ล้านคน โดย10-15% ของ วัณโรคระยะแฝง จะเกิดเป็นโรควัณโรคปอดภายในประมาณ 10 ปี
วัณโรคติดต่อได้อย่างไร?
วัณโรคเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คนทางการหายใจ โดยเชื้อวัณโรคจะแพร่จากผู้ป่วยวัณโรค ปอดไปสู่ผู้อื่นทางละอองเสมหะขนาดเล็กๆซึ่งออกมาจากการ ไอ จาม หรือพูด ละอองเสมหะเหล่านี้จะสามารถลอยอยู่ในอากาศได้หลายชั่วโมง และเมื่อสูดเข้าไปจะเข้าไปจนถึงถุงลมปอด แล้วเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อถุงลมได้ ทั้งนี้ ในการไอ 1 ครั้งอาจพบมีละอองเสมหะออกมาถึง 3,000 ละอองเสมหะ
โอกาสของการแพร่เชื้อวัณโรคขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย คือ
1. ลักษณะของวัณโรคปอดคือ
- ถ้าเป็นวัณโรคปอดชนิดที่มีโพรง (เนื้อปอดเกิดเป็นโพรงซึ่งติดต่อกับหลอดลมได้ดี จึงทำให้ตรวจพบเชื้อในเสมหะได้สูง) ซึ่งมักจะตรวจพบเชื้อในเสมหะ จะมีการแพร่เชื้อวัณโรคออกทางเสมหะมาก
- แต่ในผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคปอดชนิดไม่มีโพรง (โอกาสตรวจพบเชื้อในเสมหะลดลง)
- หรือผู้ป่วยที่ย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ จะมีการแพร่เชื้อน้อยกว่า
- และในผู้ป่วยวัณโรคนอกปอด เช่น วัณโรคในต่อมน้ำเหลือง และวัณโรคในเยื่อหุ้มปอด จะไม่มีการแพร่เชื้อ
2. การอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคปอดในสภาพแวดล้อมที่ปิดทึบ การระบายอากาศไม่ดี ไม่ โดนแสงแดด โอกาสจะติดเชื้อวัณโรคจะสูงขึ้น เพราะเชื้อวัณโรคที่อยู่ในละอองเสมหะจะถูกทำ ลายได้เมื่อโดนแสงแดดและความร้อน
3. วัณโรคจะ ‘ไม่ติดต่อ’ทาง
- การรับประทานอาหาร
- ดื่มน้ำ
- สัมผัส
- และในผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ได้รับยาวัณโรค ส่วนใหญ่จะไม่แพร่เชื้อเมื่อทานยาเกิน 2 อาทิตย์ไปแล้ว
หลังจากเชื้อวัณโรคเข้าสู่ถุงลมปอดแล้วจะเกิดโรคเมื่อใด?
ในระยะแรกหลังจากเชื้อวัณโรคเข้าในร่างกายแล้ว ผู้ป่วยจะไม่มีอาการและไม่สามารถตรวจ พบได้ว่าติดเชื้อหรือไม่ จนถึงประมาณหลังจาก 4 อาทิตย์ ร่างกายจะเริ่มมีปฏิกริยาต่อเชื้อวัณโรค โดยส่วนใหญ่ ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคในคนปกติจะสามารถควบคุมเชื้อวัณโรคให้สงบนิ่งอยู่ เรียกว่า อยู่ใน ‘ระยะแฝง/วัณโรคระยะแฝง’ ซึ่งจะไม่มีอาการของโรคและไม่แพร่เชื้อ
แต่ในผู้ป่วยเด็กเล็ก หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ (AIDS)/ผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจไม่สามารถควบคุมเชื้อวัณโรคให้สงบได้ จึงเกิด ‘โรควัณโรคปฐมภูมิ (Primary tuberculosis’ คือ วัณโรคที่แสดงอาการตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดเชื้อ โดยไม่มีการอยู่ในระยะแฝง) เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มปอด หรือวัณโรคต่อมน้ำเหลืองได้ ทั้งนี้ เชื้อวัณโรคที่อยู่ในระยะแฝง จะสงบอยู่ จนมีปัจจัยที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอจึงเกิดโรควัณโรคปอดขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการปะทุของวัณโรคที่สงบนิ่ง/วัณโรคระยะแฝง ได้แก่
- โรคเบาหวาน
- ภาวะขาดสารอาหาร
- การได้รับยาสเตียรอยด์
- การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ในโรคภูมิแพ้
- และในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือ โรคเอดส์
ทั้งนี้ โดยประมาณ 5% ของผู้ป่วย วัณโรคระยะแฝง จะมีโอกาสเกิด โรควัณโรคปอด ใน 2 ปีแรก และอีกประมาณ 5% จะเกิดโรคภายใน 10 ปี
วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เป็นปัญหาหรือไม่ในประเทศไทย?
เมื่อกล่าวถึง วัณโรค หลายคนคิดว่าเป็นโรคซึ่งแทบจะหมดไปแล้วจากประเทศไทย แต่ สถานการณ์ของวัณโรคในประเทศไทยยังมีความน่าเป็นห่วง
ข้อมูลจากแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติของไทย พ.ศ. 2560-2564 ระบุองค์การอนามัยโลก จัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่มีปัญหา วัณโรค รุนแรง ระดับโลก โดยมีอัตราของวัณโรครายใหม่ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 1.3 เท่า มีผู้เสียชีวิตถึง 12,000 ราย/ปี จากจำนวนผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ที่คาดประมาณราว 120,000 รายต่อปี
อาการของวัณโรคปอดเป็นอย่างไร?
อาการสำคัญของวัณโรคปอดคือ
- *ไอเรื้อรังโดยเฉพาะอาการไอที่เกิดขึ้นนานกว่า 3 สัปดาห์ ขึ้นไป โดยจะเริ่มจากไอแห้งๆ ต่อมาจะมีเสมหะจนอาจมีไอเป็นเลือดได้
อาการอื่นๆที่พบได้บ่อย คือ
- มีไข้ มักเป็นไข้ต่ำๆ
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด และ
- เหงื่อออกกลางคืน
การตรวจวินิจฉัยวัณโรคทำได้อย่างไร?
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรค ได้แก่
1) เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดเช่น พบการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน
2) การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย ยืนยันการวินิจฉัย โดยจะเก็บเสมหะตอนเช้าหลังตื่นนอน 3 วันติดต่อกัน จะรู้ผลภายในประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียคือ วิธีนี้มีโอกาสตรวจพบเชื้อวัณโรคได้เพียงประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย เท่านั้น ดังนั้นผู้ป่วยที่ตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้
3) การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ข้อดีคือ วิธีนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้สูงถึง 80 - 90% ของผู้ป่วย แต่ต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงทราบผล
อนึ่ง เมื่อมีผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด แพทย์จะส่งทำเอ็กซเรย์ปอด ซึ่งถ้าพบลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอด แพทย์จะให้ผู้ป่วยเก็บเสมหะตรวจย้อมเชื้อวัณโรค ซึ่งถ้าพบเชื้อวัณโรคก็จะวินิจฉัยได้แน่นอน
แต่บางครั้ง ผู้ป่วยมีอาการ และเอ็กซเรย์ปอด เข้าได้กับวัณโรค แต่ย้อมไม่พบ เชื้อวัณโรคในเสมหะ แพทย์อาจ ให้การวินิจฉัยและให้การรักษาแบบวัณโรคปอดได้ แต่ต้อง ติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
มีแนวทางรักษาวัณโรคอย่างไร?
วัณโรค สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องรับประทานยาวัณโรคทุกวันอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน จะใช้สูตรยารักษา 6 เดือนซึ่งได้ผลดีที่สุดโดยจะให้ยา ได้แก่ยา
1. Isoniazid (ไอโซไนอะซิด)
2. Rifampicin (ไรแฟมปิซิน)
3. Ethambuthol (อีแธมบิวธอล)
4. Pyrazinamide (ไพราซินามาย)
ทั้งนี้ โดยจะให้รับประทานยาทั้ง 4 ตัว 2 เดือน ต่อด้วยยา Isoniazid + Rifampicin อีก 4 เดือน
อนึ่ง อาการข้างเคียงหรือผลข้างเคียงของ ยารักษาวัณโรค เช่น
- มีผื่น
- อาเจียน
- ปวดข้อ และ
- ตับอักเสบ
ทั้งนี้ พบผลข้างเคียงจากยาวัณโรคได้ประมาณ 5% (แนะนำอ่านรายละเอียดของยารักษาวัณโรคแต่ละตัวดังกล่าวได้ในเว็บ haamor.com)
ผู้ป่วยวัณโรคควรปฏิบัติอย่างไร?
ผู้ป่วยวัณโรค ควรดูแลตนเอง/ควรปฏิบัติ ดังนี้
1. *รับประทานยาวัณโรคตามที่แพทย์แนะนำจนครบตามกำหนด เพื่อป้องกัน การเกิด วัณโรคดื้อยา
- ถ้ามีอาการผิดปกติหลังเริ่มรับประทานยาวัณโรค เช่น มีผื่น อาเจียน ปวดข้อ ต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัด เพื่อแพทย์พิจารณาปรับยา
- และพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดสม่ำเสมอ
2. ในช่วงแรกของการรักษาโดยเฉพาะสองอาทิตย์แรกถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยควร
- อยู่แต่ในบ้าน
- แยกห้องนอน
- นอนในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวกและแสงแดดส่องถึง
- ไม่ออกไปในที่ที่มีผู้คนแออัด และ
- ต้องใส่หน้ากากอนามัยเวลาอยู่ในที่ชุมชน
3. ปิด ปาก จมูก เวลาไอ หรือจาม ทุกครั้ง
4. งดสิ่งเสพติด เช่น เหล้า บุหรี่
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
6. ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
7. ให้บุคคลใกล้ชิด เช่น คนในบ้านพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อการตรวจร่างกาย และเอกซเรย์ปอด ซึ่ง
- ในผู้ใหญ่: ถ้าผลเอ็กซเรย์ปอด ไม่พบความผิดปกติ จะถือว่าไม่เป็นวัณโรคไม่จำเป็นต้องมีการรักษา
- แต่ในเด็กเล็ก: ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (Tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
ป้องกันวัณโรคได้อย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การป้องกันวัณโรคและการพบแพทย์/มาโรงพยาบาล ได้แก่
ก. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง: โดย
- การออกกำลังกาย สม่ำเสมอทุกวันตามควรกับสุขภาพ
- พักผ่อนให้พอเพียง
- กินอาหารที่มีประโยชน์ห้าหมู่
- ไม่ใช้ยาเสพติด
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงการติดโรคเอดส์ (รักษาสุขอนามมัยพื้นฐาน/สุขบัญญัติแห่งชาติ) และ
- ควรตรวจสุขภาพ และเอ็กซเรย์ปอด เป็นประจำทุกปี
ข. ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้าน: ควรดูแลให้ทำตามข้อควรปฏิบัติของผู้ป่วยวัณโรคดังกล่าว ใน’หัวข้อ ผู้ป่วยวัณโรคควรปฏิบัติอย่างไร’ อย่างเคร่งครัด
ง. ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) ให้ทารกแรกเกิดทุกราย: วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกัน วัณโรคชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ และผู้ที่เคยฉีดวัคซีนบีซีจีมาแล้วก็ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้
จ. ถ้ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าจะเป็นวัณโรค ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ เช่น
- ไอเรื้อรัง
- มีไข้เรื้อรัง
- เจ็บหน้าอก
- เหงื่อออกกลางคืน
- เหนื่อยหอบ
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดโดยหาสาเหตุไม่ได้
บรรณานุกรม
https://www.hfocus.org/content/2017/12/15020 [2020,Jan18].