ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
- โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา
- 20 มกราคม 2564
- Tweet
- ยาเม็ดคุมกำเนิดคืออะไร?
- ยาเม็ดคุมกำเนิดมีกี่ชนิด? อะไรบ้าง?
- การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีวิธีอย่างไร?
- ถ้าลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมควรทำอย่างไร?
- ข้อควรระวังในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
- อาการข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
- ข้อห้ามของการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
- ข้อดีของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
- ควรดูแลตนเองเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดอย่างไร?
- มีโอกาสตั้งครรภ์ขณะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดหรือไม่? อย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- เมื่อไหร่จึงเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด? ใครเหมาะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
- ควรเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไหน?
- แพทย์มีวิธีเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างไร?
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียวคืออะไร?
- ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
- วิธีที่ถูกต้องในการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
- บรรณานุกรม
- วิธีคุมกำเนิด(Contraception)
- ยาแปะผิวหนังคุมกำเนิด(Birth control patch or contraceptive patch)
- ยาฉีดคุมกำเนิด(Injectable contraceptive)
- ทำหมันหญิง(Tubal ligation)
- ทำหมันชาย(Vasectomy)
- การวางแผนครอบครัว (Family planning)
- ถุงยางอนามัยสตรี (Female condom)
- ถุงยางอนามัยชาย (Male Condom)
- ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)
- เลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด (Irregular bleeding per vagina)
ยาเม็ดคุมกำเนิดคืออะไร?
ยาเม็ดคุมกำเนิด (Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill) เป็นยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน/Estrogenและโปรเจสติน/Progestin) มีผลป้องกัน การตั้งครรภ์โดยยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก (เยื่อบุมดลูก) บางตัวมีสภาพไม่พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิจึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ในท่อนำไข่ได้
ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้แพร่หลายมากที่สุดทั่วโลก เนื่องจากหาได้ง่าย ใช้ได้สะดวก มีหลายราคา หลายชนิดให้เลือกใช้ มีอัตราการล้มเหลวจากการใช้ยา (การตั้งครรภ์ ขณะใช้ยา) น้อย
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีกี่ชนิด? อะไรบ้าง?
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined pill): ประกอบด้วยตัวยาฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งชนิด เอสโตรเจน และโปรเจสติน
2. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มี โปรเจสติน อย่างเดียว (Minipill)
3. ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Postcoital pill)
การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีวิธีอย่างไร?
แผงยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมี 2 แบบคือ
- ชนิด 21 เม็ด: ประกอบด้วยฮอร์โมนทั้ง 21 เม็ด และ
- ชนิด 28 เม็ด: โดยชนิด 28 เม็ดจะประกอบด้วยเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ดและเม็ดแป้งหรือวิตามินอีก 7 เม็ด
การเริ่มรับประทานยาครั้งแรกควรเริ่มในวันที่ 1 - 5 ของการมีประจำเดือน มีผลในการคุมกำ เนิดได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย และยังลดการเกิดเลือดออกกะปริดกะปรอยระ หว่างรอบเดือน
การเริ่มรับประทานยาหลัง 5 วันแรกของประจำเดือนสามารถทำได้ แต่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเช่น ถุงยางอนามัยชายอย่างน้อย 7 วันหลังกินยาเม็ดแรก โดยรับประทานยาคุมกำเนิดวันละ 1 เม็ดในเวลาเดิมทุกๆวัน แนะนำให้รับประทานก่อนนอนเพื่อป้องกันการลืม จากนั้นรับประทานเม็ดยาไล่ตามลูกศรจนหมดแผง, ในกรณีที่เป็นแผงชนิด 28 เม็ดเมื่อหมดแผงสามารถเริ่มแผงใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนหมด, ส่วนกรณีแผงชนิด 21 เม็ดให้เว้นระยะ 7 วันจึงเริ่มแผงใหม่
ถ้าลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมควรทำอย่างไร?
กรณีลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมควรปฏิบัติดังนี้
- ถ้าลืมรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม 1 เม็ด ให้รับประทานทันทีที่นึกได้และรับ ประทานยาเม็ดต่อไปตามปกติ
- ถ้าลืมรับประทานยา 2 เม็ด ให้รับประทาน 1 เม็ดทันทีที่นึกได้และรับประทานก่อนนอนตาม ปกติ วันต่อมาให้รับประทานยา 1 เม็ดหลังอาหารเช้า จากนั้นรับประทานตามปกติ
- ถ้าลืมรับประทานยา 3 เม็ด ให้ทิ้งยาแผงเดิมแล้วเริ่มรับประทานแผงใหม่ทันที ร่วมกับใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยอีก 7 วัน (ในกรณีที่รับประทานยาคุมชนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ขนาด 20 ไมโครกรัมหรือน้อยกว่า ถ้าลืมในสัปดาห์แรกให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินร่วมด้วย)
- กรณีที่ลืมรับประทานยาเม็ดที่เป็นเม็ดแป้งหรือวิตามินในแผงยาคุม 28 เม็ด ให้ข้ามยาเม็ดนั้นแล้วเริ่มรับประทานยาเม็ดต่อไปตามปกติ
ข้อควรระวังในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
ข้อควรระวังในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คือ
- หากมีอาการของโรคทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาเจียนมาก ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยอีก 7 วันหลังกินยาเม็ดแรกเช่น การใช่ถุงยางอนามัยชาย เนื่องจากมีผลทำให้การดูดซึมยาไม่ดี
- หากลืมรับประทานยาร่วมกับมีการขาดระดู/ประจำเดือน 1 ครั้ง ควรตรวจการตั้งครรภ์ก่อน เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ หากแน่ใจว่าไม่ลืมรับประทานยาให้เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ได้ตาม ปกติ
- ยาบางชนิดมีผลต่อประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดเช่น ยากันชักยาต้านชักบางชนิด ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะบางชนิด ดังนั้นหากมีโรคประจำตัวหรือต้องรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ในการเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตนเอง
อาการข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
อาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่อาจพบได้คือ
- คลื่นไส้-อาเจียน: มักพบในช่วงที่เริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดใหม่ๆ (โดยเฉพาะ 3 แผงแรก) เมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดไประยะเวลาหนึ่งอาการมักลดลง หากมีอาการมากอาจเปลี่ยนชนิดของฮอร์โมนหรือลดขนาดของฮอร์โมน และการรับประทานยาก่อนนอนสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้-อาเจียนได้
- ปวดหัว และ/หรือ วิงเวียน: หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะ สมต่อไป
- ฝ้า (Melasma): สามารถพบได้ในขณะที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เมื่อหยุดใช้ยาฝ้าอาจจางลง
- รู้สึกบวม และ/หรือ น้ำหนักตัวเพิ่ม: เป็นผลจากการที่มีน้ำและเกลือแร่คั่งในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง อาจร่วมกับความรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 กก. ควรหยุดยาเม็ดคุมกำเนิดและปรึกษาแพทย์
- เลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด: มักเกิดใน 1 - 3 สัปดาห์แรกของการเริ่มรับ ประทานยา อาจเป็นผลจากการรับประทานยาที่มีปริมาณฮอร์โมนต่ำเกินไป หรือรับประทานไม่ตรงเวลา หรือลืมรับประทานยา หากมีเลือดออกมากหรือนานควรหยุดใช้ยาและรีบปรึกษาแพทย์
- อารมณ์เปลี่ยนแปลง/อารมณ์แปรปรวน: อาจมีผลทำให้อารมณ์ดีขึ้นหรือซึมเศร้า หากอาการซึมเศร้าเป็นมากควรรีบปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาล
- การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทางเพศ: บางรายอาจรู้สึกดีขึ้นเนื่องจากหมดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ บางรายอาจมีความรู้สึกทางเพศลดลงเป็นผลจากระดับฮอร์โมนเพศชายลดลง หากอาการเป็นมากควรรีบปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาล
ข้อห้ามของการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง?
ข้อห้ามของการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เช่น
ก. ข้อห้ามใช้โดยเด็ดขาดของการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เพราะยาฯจะเพิ่มโอกาสเกิดอาการต่างๆและ/หรือเพิ่มความรุนแรงของอาการคือ
- ประวัติโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดเช่น โรคลิ่มเลือดอุดตัน (ภาวะลิ่มเลือดในหลอด เลือดดำ)
- ประวัติโรคหลอดเลือดผิดปกติ เช่น โรคหลอดเลือดดำอักเสบ
- โรคปวดศีรษะไมเกรน (โรคไมเกรน) ชนิดรุนแรง
- โรคหัวใจบางชนิด เช่น โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ โรคหลอดเลือดหัวใจ(โรคหัวใจ)
- โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมโดยยาได้
- โรคตับ เช่น โรคตับแข็ง โรคตับอักเสบ
- โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์บางชนิด
- เลือดออกผิดปกติจากมดลูกโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
ข. ข้อห้ามทั่วไปในการใช้เม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ซึ่งควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาฯ คือ
- ปวดศีรษะไมเกรน (โรคไมเกรน) ชนิดมีอาการไม่มาก
- โรคความดันโลหิตสูงทั่วไป
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจอื่นๆนอกเหนือจากที่กล่าวแล้วในหัวข้อแรก
- โรคไต
- โรคไขมันในเลือดสูง
- สูบบุหรี่
- เคยมีประวัติถุงน้ำดีอักเสบ
- มีเส้นเลือดขอด/หลอดเลือดขอดมาก
- มีปัญหาทางจิต (โรคจิต) เช่น โรคซึมเศร้า โรคประสาท
- กำลังให้นมบุตร
ข้อดีของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีอะไรบ้าง
ข้อดีของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คือ
- ทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดปริมาณประจำเดือนมากผิดปกติได้
- ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- ช่วยลดอาการในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน/พีเอ็มเอส (PMS, Premenstrual syn drome)
- ช่วยลดสิว, ขนดก, ใบหน้ามัน และอาการในกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ/กลุ่มอาการพีซีโอเอส (PCOS: Polycystic ovarian syndrome)
- ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก (โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง)
- ช่วยลดอุบัติการณ์ตั้งท้องนอกมดลูก
- อาจช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งบางชนิดในบางคนได้เช่น โรคมะเร็งรังไข่ และโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่
- ช่วยลดอุบัติการณ์การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
ควรดูแลตนเองเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดที่สำคัญ คือ
- ควรรับประทานยาฯในเวลาเดิมทุกวัน หากลืมรับประทานให้ทำตามคำแนะนำข้างต้น
- จดบันทึกประจำเดือนทุกครั้ง หากประจำเดือนขาด 1 ครั้งร่วมกับมีประวัติลืมรับประทานยาควรทดสอบการตั้งครรภ์ หากประจำเดือนขาด 2 ครั้งแม้จะไม่ลืมรับประทานยาก็ควรต้องทดสอบการตั้งครรภ์
- ถ้ามีอาการทางระบบทางเดินอาหารเช่น อาเจียนมาก ถ่ายเหลว/ท้องเสีย อาจต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วันหลังกินยาเม็ดแรก
- ควรมีการตรวจภายในร่วมกับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก (การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก, โรคมะเร็งเต้านม, และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่) ทุก 1 - 2 ปี
- หากมีอาการผิดปกติเช่น มีฝ้าขึ้นที่ใบหน้า ปวดหัว มีเลือดออกทางช่องคลอดมากควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิดหรือเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
- หากมีอาการผิดปกติรุนแรงเช่น ปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก ปวดบริเวณน่องมาก ควรหยุดใช้ยาฯทันที และรีบปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็ว เพราะอาจเป็นอาการของลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดต่างๆ
- หากต้องได้รับการผ่าตัดทุกชนิด ควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล ว่ากำลังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
- เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดมีฮอร์โมนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ดังนั้นระหว่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจึงไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
- ไม่ควรซื้อยาอื่นๆรับประทานเองเช่น ยาฆ่าเชื้อ/ ยาปฏิชีวนะเนื่องจากมียาบางชนิดรบกวนการออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง
มีโอกาสตั้งครรภ์ขณะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดหรือไม่? อย่างไร?
เมื่อกำลังกินยาเม็ดคุมกำเนิดพบมีอัตราการตั้งครรภ์ 8.7% ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย เช่น
- การลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
- การรับประทานยาไม่ตรงเวลา
- การมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น
- อาเจียน
- ท้องเสีย หรือ
- การได้รับยาอื่นๆ ซึ่งรบกวนการออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิด
*ทั้งนี้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ในขณะรับประทานยาคุมกำเนิดได้โดย
- รับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน
- หากลืมรับประทานยา ควรรีบทำตามคำแนะนำข้างต้น
- หากมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนหรือท้องเสียมาก ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัยชายอย่างน้อย 7 วันหลังกินยาเม็ดแรก
- หากมีอาการไม่สบายต่างๆซึ่งต้องรับประทานยาอื่นๆ ควรปรึกษา แพทย์ และ/หรือ เภสัชกรทุกครั้งโดยแจ้งว่าตนเองกำลังกินยาคุมกำเนิดอยู่
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
โดยทั่วไปเมื่อแพทย์แนะนำใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แพทย์มักนัดตรวจเป็นระยะๆ ความถี่ในการนัดตรวจขึ้นกับสุขภาพโดยรวมของหญิงนั้น การเกิดผลข้างเคียงต่างๆจากการใช้ยาฯ และดุลพินิจของแพทย์
แต่ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อ
- หากมีอาการผิดปกติหลังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด เช่น
- ปวดศีรษะร้ายแรง
- คลื่นไส้-อาเจียนมาก
- เลือดออกทางช่องคลอดปริมาณมาก
- มีอาการ
- แน่นหน้าอก เจ็บหนาอก
- ปวดบริเวณน่อง หรือ
- ขาบวม 1 ข้าง
- ตรวจพบว่ามีการตั้งครรภ์ขณะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
- มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงระหว่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เช่น ซึมเศร้ามาก
- มีข้อกังวลสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
เมื่อไหร่จึงเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด? ใครเหมาะใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด?
การเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดควรเป็นไปโดยความสมัครใจของผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด โดยประเมินจาก
- ความสะดวกในการเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิด
- ระยะเวลาที่ต้องการคุมกำเนิด
- ผลข้างเคียงต่างๆของยาฯ
- ข้อห้ามในการใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีต่างๆ
ยาเม็ดคุมกำเนิดเหมาะใน:
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดชั่วคราว ระยะเวลาไม่กี่ปี (น้อยกว่า 5 ปี)
- มีการวางแผนต้องการบุตรเพิ่มอีกในอนาคต (การวางแผนครอบครัว)
- ไม่มีข้อห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และ
- สามารถรับประทานยาได้ตามเวลาทุกวัน
ควรเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไหน?
ในปัจจุบันยาเม็ดคุมกำเนิดมีหลายชนิด โดยชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีประสิทธิ ภาพในการคุมกำเนิดดีคือยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ส่วนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว ควรใช้ในสตรีที่ให้นมบุตรและสตรีที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- สำหรับยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ควรใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน เนื่องจากมีผลข้างเคียงมากและ อัตราการล้มเหลว (การตั้งครรภ์) สูง
- ยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดในท้องตลาดมีหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างในเรื่องของชนิดฮอร์โมน ปริมาณฮอร์โมน ผลข้างเคียงที่ดีเช่น การลดการเกิดสิว ผิวมัน ขนดก ลดอาการในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ซึ่งผู้ที่ต้องการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถเลือกซื้อได้ตามความต้องการ ตามกำลังการซื้อ และตามผลข้างเคียงที่ต้องการ โดยอาจปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนการเลือกยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิด
- การเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดควรทดลองใช้ 1 แผงก่อน โดยทดลองรับประทานและสังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเช่น เป็นฝ้า ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หากมีอาการข้างเคียงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่เป็นฮอร์โมนต่างชนิดหรือเพื่อลดปริมาณฮอร์ โมนในตัวยา
แพทย์มีวิธีเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างไร?
แพทย์มีวิธีเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดโดยพิจารณาจาก
- ความต้องการของผู้มารับบริการคุมกำเนิด
- พิจารณาว่าไม่มีข้อห้ามในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
- ไม่มีอาการต่างๆที่เกิดร่วมของผู้มารับบริการ เช่น
- มีอาการในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
- มีสิวมาก ผิวมัน ขนดก
- จากนั้นสังเกตดูรูปร่างของผู้มารับบริการ (รูปร่างอาจสัมพันธ์กับผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากยาคุมกำเนิด) และประวัติของการมีประจำเดือน
- สตรีที่มีประจำเดือนปริมาณมากและนาน รอบประจำเดือนสั้น ไม่มีสิวหรือขนตามตัว มักเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินสูง
- สตรีที่มีปริมาณประจำเดือนมาน้อย รอบประจำเดือนยาว ลักษณะคล้ายเพศชาย มีสิวขนดก ผิวมัน มักเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
- สตรีที่มีระดู/ประจำเดือนสม่ำเสมอ ปริมาณปานกลาง น้ำหนักตัวปกติ มักใช้ยาเม็ดคุม กำเนิดชนิดที่มีความสมดุลกันทั้ง 2 ฮอร์โมน
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียวคืออะไร?
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียวเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่ไม่มีฮอร์ โมนเอสโตรเจนมีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสติน วัตถุประสงค์เพื่อลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกข้นเหนียว รวมทั้งทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
ก.ข้อดีของยาฯ คือ สามารถใช้ในสตรีให้นมบุตรได้ โดยไม่มีผลต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำนม และสามารถใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ข. ข้อเสียของยาฯ คือ มีอัตราการล้มเหลว/การตั้งครรภ์ขณะใช้ยาสูงกว่าชนิดฮอร์โมนรวม ต้องรับประทานให้ตรงเวลา การเริ่มรับประทานยาให้เริ่มรับประทานในวันแรกของการมีประจำเดือน โดยรับประทานยาวันละ 1 เม็ดในเวลาเดิมทุกวัน ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยใน 7 วันแรกหลังกินยาเม็ดแรก เมื่อยาคุมกำเนิดหมดแผงให้เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ต่อในวันถัดไปโดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนมา
ค. การลืมรับประทานยา:
- ถ้าลืมรับประทานยา 1 เม็ด ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ และรับประทานยาเม็ดต่อไปตาม ปกติร่วมกับใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 48 ชม.หลังกินยาเม็ดแรก
- ถ้าลืมรับประทานยา 2 เม็ดติดต่อกัน ให้รับประทานยาวันละ 2 เม็ดเป็นเวลา 2 วัน โดยใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยอย่างน้อย 2 วันหลังกินยาเม็ดแรก
- ถ้าลืมรับประทานยามากกว่า 2 วันติดต่อกัน ให้หยุดยาเม็ดคุมกำเนิดจากนั้นให้ใช้วิธีคุมกำ เนิดอื่น
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินในขนาดสูง ให้ผล
- ป้องกันหรือเลื่อนเวลาการตกไข่
- ป้องกันการปฏิสนธิของไข่และอสุจิ
- ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะในการฝังตัวของตัวอ่อน
***ยาฯกลุ่มนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกรณีที่ สตรีถูกข่มขืน หรือลืมคุมกำเนิด หรือคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น การฉีกขาดของถุงยางอนามัยชาย
***แต่เนื่องด้วยมีปริมาณของฮอร์โมนสูง ทำให้ไม่เหมาะสมในการใช้เป็นยาคุมกำเนิดทั่วไปเพราะมีผลข้างเคียงสูง เช่น
- การมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ)
- มีอัตราการล้มเหลว/การตั้งครรภ์สูงกว่ายาคุมกำเนิดทั่วไป
*ทั้งนี้ ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยมีชื่อทางการค้าว่า Postinor และ Madonna
วิธีที่ถูกต้องในการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน?
การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานยาทั้งหมดรวม 2 เม็ด โดย
- 1 เม็ดแรกรับประทานทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่ทั้งนี้ไม่ควรเกิน 72 - 120 ชม.หลังมีเพศสัมพันธ์
- จากนั้นรับประทานยาฯอีก 1 เม็ดอีก 12 ชม.ถัดมา
ผลข้างเคียง:
อาการข้างเคียง (ผลข้างเคียง) ที่พบบ่อย คือ การมีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริบกะ ปรอย
*อนึ่ง: หากประจำเดือนขาดหลังใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ควรทดสอบการตั้งครรภ์เนื่องจากมีอัตราการล้มเหลว/การตั้งครรภ์สูงกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไป
บรรณานุกรม
- Marc A. Fritz and Leon Speroff. Oral Contraception. Clinical Gynecologic Endocrinology And Infertility. 8th edition. Philadelphia, P.A.: Lippincott Williams & Wilkins.; 2011.
- Cunningham FG, et al. Williams Obstetrics. 22nd ed. New York, N.Y.: McGraw-Hill Companies, Inc.; 2005:1.
- Stubblefield PG, et al. Family planning. In: Berek JS. Berek & Novak's Gynecology. Philadelphia, Pa.: Lippincott Williams & Wilkins; 2007:287.
- https://www.acog.org/womens-health/faqs/birth-control [2021,Jan16]
- https://www.uptodate.com/contents/combined-estrogen-progestin-contraception-side-effects-and-health-concerns [2021,Jan16]
- https://www.sexwise.org.uk/contraception/combined-pill-coc [2021,Jan16]
- https://www.fpa.org.uk/sites/default/files/emergency-contraception-your-guide.pdf [2021,Jan16]
- https://patient.info/sexual-health/hormone-pills-patches-and-rings/combined-oral-contraceptive-coc-pill [2021,Jan16]