ยาขับปัสสาวะ (Diuretics Drugs)
- โดย ภก. กรชัย ฉันทจิรธรรม
- 25 กุมภาพันธ์ 2557
- Tweet
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด (Heart disease หรือ Cardiovascular disease)
- โรคหัวใจ: หัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (Heart disease: Heart failure from coronary artery disease)
- โลหิตจาง (ภาวะซีด)
- ต้อหินเรื้อรัง (Chronic glaucoma)
- ไตวาย ไตล้มเหลว (Renal failure)
ยาขับปัสสาวะในทางการแพทย์คือ ยาที่มีผลเพิ่มการขับน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายโดยการเพิ่มปริมาตรของปัสสาวะ ยาจะออกฤทธิ์โดยตรงที่ไต
ยาขับปัสสาวะ มีผลทำให้ยับยั้งการดูดซึมกลับของน้ำและเกลือแร่จากท่อไต ซึ่งส่งผลให้น้ำและเกลือแร่ ถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะมากขึ้น
ยาขับปัสสาวะใช้ประโยชน์ในการช่วยรักษาและป้องกันภาวะคั่งของน้ำ และลดอาการบวมน้ำที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ภาวะ/โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension), ภาวะหัวใจวาย (Conges tive Heart Failure), ภาวะน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน (Acute Pulmonary Edema) เป็นต้น นอกจาก นั้น ยาขับปัสสาวะยังใช้ประโยชน์อื่นๆอีก เช่น
- ในการลดความดันในลูกตา (ในโรคต้อหิน) หรือ ในสมอง (ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง)
- ใช้ประโยชน์ในการเพิ่มปริมาตรปัสสาวะโดยตรง เช่น ในภาวะไตวาย
- ใช้ประโยชน์ในการขับสารพิษออกทางปัสสาวะด้วย
***ขนาดยา
ยาขับปัสสาวะปกติให้รับประทานเพียงวันละครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้น
- ถ้าแพทย์ให้รับประทานวันละครั้ง ควรรับประทานตอนเช้า
- ถ้าแพทย์ให้รับประทานวันละสองครั้ง ควรรับประทานตอนเช้าและตอนบ่าย ไม่ควรรับประทานตอนเย็นหรือก่อนนอน เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะตอนกลางคืน ทำให้รบกวนการนอนหลับได้
ทั้งนี้ ยาขับปัสสาวะที่ใช้กันทั่วไป มักออกฤทธิ์นานตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป บางชนิดออกฤทธิ์นานเกิน 12 ชั่วโมงก็มี
***ข้อควรปฏิบัติ
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาขับปัสสาวะ คือ
- ยานี้ต้องมีแพทย์เป็นผู้สั่งใช้ยาเท่านั้น
- ควรไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และควรเจาะเลือดตรวจเป็นครั้งคราวดูการทำงานของไตและตับ ตามแพทย์แนะนำ เพื่อตรวจสภาพของไตและตับว่าเป็นปกติหรือ ไม่
- ผู้ป่วยไม่ควรหยุดรับประทานยาขับปัสสาวะเอง โดยมิได้ปรึกษาแพทย์ และต้องมียาเตรียมไว้เพียงพอแก่การใช้เสมอเวลาเดินทางหรือไปพักผ่อน
- อาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน ควรเป็นอาหารที่ไม่เค็ม กล่าวคือ เป็นอาหารรสจืด
เช่น ไม่ควรรับประทานปลาเค็ม ไข่เค็ม น้ำปลา กะปิ หรือซอสปรุงรส
- ควรรับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ ไม่ควรรับประทานอาหารที่ใส่ผงฟู เช่น ขนมกรุบกรอบ ขนมปังโดยทั่วไป
- ควรรับประทาน ผัก ผลไม้สด มากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม แตงโม เป็นต้น เพราะยาขับปัสสาวะจะขับเกลือ โพแทสเซียมออกจากร่างกายเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงอาจขาดโพแทสเซียมได้
***ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียงของยาขับปัสสาวะ ได้แก่
- ปวดปัสสาวะบ่อย
- ถ้าสูญเสียโพแทสเซียมไปในปัสสาวะมาก จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ตะคริว กระหายน้ำ ให้รับ ประทานอาหาร/น้ำดื่มที่ชดเชยโพแทสเซียมตามแพทย์สั่ง หรือรับประทานน้ำผลไม้เช่นที่กล่าวข้างต้น
- นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ลุกนั่งหรือลุกยืนอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันอาการวิงเวียนหน้ามืด จากการมีความดันโลหิตต่ำลง จากการเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว
- ถ้าผู้ป่วยรับประทานยาขับปัสสาวะแล้วมีอาการ เจ็บคอ ตาพร่า ปวดศีรษะ ผื่นขึ้น หรือเป็นจ้ำเลือดตามผิวหนัง หรืออาการผิดปกติต่างๆ ควรติดต่อแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจเกิดการแพ้ยา หรือมี ปฏิกิริยาระหว่างยาขับน้ำกับยาอื่นที่ใช้ร่วมอยู่ด้วย
***ข้อควรระวัง
ข้อควรระวังอื่นๆเมื่อใช้ยาขับปัสสาวะ ได้แก่
- ผู้ที่เคยแพ้ยาปฏิชีวนะพวกซัลฟา เช่น แบคทรีม (Bactrim), แฟนซิดาร์ (Fansidar), โคไตรม็อกซาโซล (Cotrimoxazole) ควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้ง เพราะมียาขับปัสสาวะหลายชนิดที่อาจมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาเหล่านี้ได้
- ผู้ป่วย โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรบอกแพทย์ทุกครั้ง เพราะยาขับปัสสาวะมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆได้มากมายหลายชนิด ถ้าท่านรับประทานยาอื่นเป็นประจำอยู่ ควรบอกชื่อยาหรือนำตัว อย่างยาที่ใช้อยู่ไปให้เภสัชกรตรวจสอบด้วย เช่น ยาเบาหวาน ยาแก้ข้ออักเสบ ยานอนหลับ ยาลดความดันโลหิตอื่นๆ รวมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
- ก่อนการผ่าตัด หรือแม้แต่การถอนฟัน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนว่า ท่านใช้ยาขับปัสสาวะอยู่ เพราะมีผลต่อความดันโลหิตของท่าน
- ไม่ควรแบ่งยาขับปัสสาวะของท่านให้ผู้อื่นรับประทาน
- ควรระมัดระวังการใช้ยาใน หญิงตั้งครรภ์, หญิงที่ให้นมบุตร, เด็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีภาวะต่อมลูก หมากโต, ตับวาย, หรือไตวาย
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด ยาแผนโบราณทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดรวมถึงยาขับน้ำ ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่ม เติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
***การเก็บรักษายา
ถ้าเป็นยาขับน้ำเม็ด ให้เก็บในภาชนะมิดชิด ที่อุณหภูมิห้องธรรมดา
ถ้าเป็นยาฯชนิดน้ำ ควรเก็บในตู้เย็น แต่ห้ามแช่แข็ง
ยาฯชนิดน้ำ ต้องเขย่าขวดก่อนรินยา และใช้ช้อนยาหรือหลอดหยดยาที่มีขีดมาตรฐานในการแบ่งยาเท่านั้น
บรรณานุกรม
- www.elearning.msu.ac.th/ [2014,Feb9].
- http://www.pooyingnaka.com [2014,Feb9].
- http://www.thailabonline.com/drug/drug11.htm [2014,Feb9].