เหนื่อยล้า อ่อนล้า อ่อนเพลีย (Fatigue)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

เหนื่อยล้า อ่อนล้า ล้า หรืออ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการหรือความรู้สึกไม่ใช่เป็นโรค มักพบเกิดหลังพักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอน ทำงานหนักต่อเนื่อง และ/หรือมีปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ

เหนื่อยล้าเป็นอาการพบบ่อยอาการหนึ่ง พบได้ทั้งในเด็ก (มีรายงานพบเกิดได้ในเด็กตั้งแต่ อายุ 5 ปี) ไปจนถึงผู้สูงอายุโดยพบได้บ่อยขึ้นเมื่อยิ่งสูงอายุ ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้ใกล้เคียงกัน

อาการเหนื่อยล้ามีกี่ประเภทและมีสาเหตุจากอะไร?

เหนื่อยล้า

บางท่านแบ่งอาการเหนื่อยล้าได้เป็น 3 ประเภทคือ

  • อาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำ (Physiologic fatigue)
  • อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ (Secondary fatigue) และ
  • อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome)

แต่บางท่านแบ่งอาการเหนื่อยล้าเป็น 2 ประเภทคือ

  • อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) และ
  • อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome)

ก. อาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำวัน (Physiologic fatigue) ได้แก่ อาการ เหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับทุกคน จะมีอาการในช่วงระยะเวลาสั้นๆจากพักผ่อนไม่เพียงพอ, อดนอนทำงานหนัก, มีปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ โดยอาการจะหายไปเองหลังการพักผ่อนหรือผ่านระยะ ความเครียด/กังวลนั้นไปแล้ว มักมีอาการอยู่ประมาณไม่เกิน 2 - 4 สัปดาห์ซึ่งจัดเป็น “อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue)”

ข. อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ (Secondary fatigue) คืออาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากมีสาเหตุผิด ปกติของร่างกายเช่น

  • จากมีโรคเรื้อรังเช่น โรคเบาหวาน โรคตับแข็ง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง ภาวะซีด ภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก หรือ
  • จากผลข้างเคียงของยาบางชนิดเช่น ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิจะหายได้ภายหลังการรักษาควบคุมสาเหตุได้แล้ว ทั้งนี้อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิเป็นได้ทั้ง “อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) และอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome)”

ค. อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) คืออาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา ไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งคืออาการเหนื่อยล้าตามปกติที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันและอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ

ง. อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome) คืออาการ เหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งมักเกิดจากการควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุไม่ได้ เช่น ควบคุมโรคมะเร็งไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งเมื่ออาการเกิดขึ้นเรื้อรังนานเกิน 6 เดือนและเป็นอาการที่แพทย์ตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนเรียกว่า กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome หรือย่อว่า ซีเอฟเอส/CFS)

อาการเหนื่อยล้ามีอาการร่วมอื่นๆอะไรบ้าง?

อาการอื่นๆที่อาจเกิดร่วมกับอาการเหนื่อยล้าคืออาการจากสาเหตุได้แก่

1. อาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำวัน อาการร่วมเช่น ทำงานมากเกินไปจึงเหนื่อยล้าหรือนอนไม่พอ ปกติควรนอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6 - 8 ชั่วโมงโดยต้องเป็นการนอนหลับได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ตื่นตลอดคืน เป็นต้น

2. อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ มักเกิดร่วมกับอาการที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการเหนื่อยล้าเช่น อา การจากภาวะซีด อาการจากภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก อาการจากโรคเบาหวาน หรืออาการจากโรคมะเร็ง เป็นต้น

3. อาการเหนื่อยล้าเรื้อรังที่มีสาเหตุจากโรคต่างๆ จะมีอาการต่างๆของแต่ละโรคร่วมด้วยเช่น อาการของโรคเบาหวาน เป็นต้น

4. ส่วนกลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง/กลุ่มอาการซีเอฟเอส มักมีอาการร่วมได้หลากหลายอาการเช่น อาจมีไข้ต่ำๆ อาจมีหนาวสั่น เจ็บคอเรื้อรัง คลำพบต่อมน้ำเหลืองโตได้ทั่วตัวและเจ็บ ปวดศีรษะเป็นประจำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยข้อต่างๆ มีปัญหาในการนอนหลับ ตากลัวแสง หลงลืมง่าย ขาดสมาธิ มีปัญหาด้านการตัดสินใจ และมีอาการซึมเศร้า ซึ่งอาการเหล่านี้มักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุอาการเหนื่อยล้าอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุอาการเหนื่อยล้าได้จากประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีต และในปัจจุบัน ประวัติการใช้ยาต่างๆ ประวัติปัญหาในชีวิต/ครอบครัว การตรวจร่างกาย การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติมตามความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบและตามดุลพินิจของแพทย์เช่น ตรวจเลือดซีบีซี (CBC) ดูภาวะซีด ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลในเลือดเมื่อสงสัยโรคเบาหวาน ตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับไตเมื่อสงสัยโรคของตับหรือของไต เป็นต้น อาจตรวจเอกซเรย์ปอด และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเมื่อสงสัยโรคหัวใจ หรือตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาเมื่อพบก้อนเนื้อผิดปกติและสงสัยโรคมะเร็ง เป็นต้น

รักษาอาการเหนื่อยล้าอย่างไร?

1. แนวทางการรักษาอาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำวัน คือ การพักผ่อนและการนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกๆวัน การออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ

2. แนวทางการรักษาอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ คือ การดูแลรักษาควบคุมสาเหตุเช่น การดูแลรักษาควบคุมโรคเบาหวาน หรือภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก เป็นต้น

3. แนวทางการรักษาอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง คือ การรักษาประคับประคองตามอาการเนื่องจากไม่ทราบสาเหตุเช่น การให้ยากระตุ้นให้ตื่นตัว การให้ยานอนหลับ การให้ยาแก้ปวด การให้ยารักษาอาการซึมเศร้า การให้ฮอร์โมนบางชนิด การกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบในทุกๆวัน การออกกำลังกายพอควรกับสุขภาพ การเลิกบุหรี่ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการจำกัดเครื่องดื่มกาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ โคล่า เครื่องดื่มชูกำลัง)

อาการเหนื่อยล้ารุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?

1. อาการเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นอาการไม่รุนแรง อาการมักหายเป็นปกติหลัง การพักผ่อนและเมื่อนอนหลับได้เต็มที่

2. ความรุนแรงของอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ จะขึ้นกับสาเหตุเช่น

  • รุนแรงน้อยเมื่อเกิดจากภาวะซีดจากขาดธาตุเหล็ก
  • รุนแรงปานกลางเมื่อเกิดจากโรคเบาหวาน และ
  • ความรุนแรงจะสูงขึ้นเมื่อเกิดจากโรคมะเร็ง

3. อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ถึงแม้ไม่ทำให้เสียชีวิต (ตาย) แต่ก็มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันกระทบถึงการทำงานจึงมีผลต่อคุณภาพชีวิต

ส่วนผลข้างเคียงจากอาการเหนื่อยล้าคือ ผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ต่อการสังคม และต่อการงาน

เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าคือ

  • ควรพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ให้เหมาะสมกับสุขภาพ
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบทุกวัน
  • ออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายเสมอให้เหมาะสมกับสุขภาพ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อเพราะเมื่อเหนื่อยล้า ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายจะต่ำลงจึงมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้น
  • เลิก/ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • เลิก/ไม่สูบบุหรี่
  • จำกัดเครื่องดื่มกาเฟอีนเพราะจะมีผลต่อการนอนหลับ
  • ไม่ซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเพราะยาบางชนิดอาจมีผลข้าง เคียงให้เหนื่อยล้าได้
  • ดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
  • ควรพบแพทย์เมื่อ
    • อาการเหนื่อยล้าไม่ดีขึ้นหลังพักผ่อนเต็มที่แล้ว หรือมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือต่อการ งาน
    • ผอมลงโดยยังกินได้เป็นปกติ
    • มีอาการปวดต่างๆผิดปกติหรือปวดมากเช่น ปวดศีรษะ ปวดข้อ เป็นต้น
    • มีอาการผิดปกติต่างๆเช่น คลำพบก้อนเนื้อ มีต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีเลือดออกทางใดทางหนึ่งเช่น ทางเหงือก ทางปัสสาวะ หรือทางอุจจาระ หรือมีเลือดออกปนในเสมหะหรือในน้ำลาย
    • มีความกังวลในอาการ

    ป้องกันอาการเหนื่อยล้าอย่างไร?

    การป้องกันอาการเหนื่อยล้าจะเช่นเดียวกับในการดูแลตนเองเมื่อมีอาการเหนื่อยล้าซึ่งที่สำคัญ คือ

    • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอประมาณวันละ 6 - 8 ชั่วโมง
    • ออกกำลังกายแต่พอควร
    • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน
    • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
    • เลิก/ไม่ดื่มสุรา, เลิก/ไม่สูบบุหรี่
    • จำกัดการดื่มเครื่องดื่มมีกาเฟอีน
    • ดูแลรักษาควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆเช่น โรคเบาหวาน เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด อาการเหนื่อยล้า
    • ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ (การตรวจสุขภาพ) เพื่อให้พบโรคเรื้อรังตั้งแต่แรกเป็น ขณะยังไม่มีอาการ ซึ่งการดูแลรักษาควบคุมจะได้ผลดีกว่าเมื่อตรวจพบโรคเมื่อมีอาการแล้ว

    บรรณานุกรม

    1. Craig, T., and Kakumanu, S. (2002). Chronic fatigue syndrome: evaluation and treatment. Am Fam Physician. 65, 1083-1091.
    2. Fatiguehttp://en.wikipedia.org/wiki/Fatigue [2016,July9]
    3. Fatiguehttp://www.ccohs.ca/oshanswers/psychosocial/fatigue.html [2016,July9]
    4. Rosenthal, T. et al. (2008). Fatigue: an overview. Am Fam Physician. 78, 1173-1179.
    Updated 2016, July 9