วิตามิน (Vitamin)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 2 สิงหาคม 2564
- Tweet
- บทนำ: คืออะไร?
- วิตามินมีหน้าที่อย่างไร?
- การใช้วิตามินนานๆส่งผลเสียอะไรบ้าง?
- เมื่อมีการสั่งยาวิตามินควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาวิตามินควรทำอย่างไร?
- วิตามินมีรูปแบบจำหน่ายอย่างไร?
- มีคำแนะนำการเลือกใช้วิตามินไหม? อย่างไร?
- ตัวอย่างวิตามินสำคัญ แหล่งอาหาร และผลข้างเคียง
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- โรคลักปิดลักเปิด โรคขาดวิตามิน-ซี (Scurvy)
- ตาบอดกลางคืน (Night blindness)
- ภาวะขาดวิตามิน เอ (Vitamin A deficiency)
- ภาวะขาดวิตามินบี-1 หรือ โรคเหน็บชา (Vitamin B-1 deficiency หรือ Beriberi)
- โลหิตจาง เลือดจาง ซีด (Anemia)
- ปากนกกระจอก (Angular cheilitis) หรือ โรคขาดวิตามิน บี-2 (Vitamin B-2 deficiency)
- ภาวะขาดวิตามินบี-1 หรือ โรคเหน็บชา (Vitamin B-1 deficiency หรือ Beriberi)
- ภาวะขาดวิตามิน บี-3 หรือ โรคเพลลากรา (Vitamin B 3 deficiency or Pellagra)
- ปากนกกระจอก (Angular cheilitis) หรือ โรคขาดวิตามิน บี-2 (Vitamin B-2 deficiency)
- ขาดวิตามินดี มีโอกาสซึมเศร้า (ตอนที่ 1)
- ภาวะขาดวิตามินอี (Vitamin E deficiency)
- ภาวะขาดวิตามินบี-6 (Vitamin B-6 deficiency)
- ภาวะขาดวิตามินบี-12 (Vitamin B-12 deficiency)
- ภาวะขาดโฟเลท (Folate deficiency) หรือ ภาวะขาดกรดโฟลิก (Folic acid deficiency)
บทนำ: คืออะไร?
วิตามิน บางคนอาจออกเสียงเป็น ไวตามิน (Vitamin) คือ สารอาหารที่มีหน้าที่ช่วยการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย การขาดวิตามินอาจเป็นสาเหตุของโรค(โรค-อาการ-ภาวะ)ต่างๆได้มากมาย
ในสมัยโบราณมนุษย์รู้จักวิตามินในแง่ของอาหารที่ใช้รับประทาน ชาวอียิปต์พบว่าการกินน้ำมันตับปลาจะช่วยให้หายจากอาการตาบอดกลางคืน ศัลยแพทย์ชาวสก๊อตพบว่าผลไม้พวกส้ม สามารถรักษาอาการโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้ แพทย์ชาวดัชท์สังเกตพบว่าไก่ที่กินข้าวที่ไม่ขัดขาวจะไม่มีอาการเหน็บชา จากข้อมูลที่ค้นพบไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือจากการเฝ้าสังเกต มนุษย์ได้นำมาประยุกต์ใช้จนพัฒนาเป็นวิทยาการในปัจจุบัน วิตามินได้ถูกค้นพบหลายชนิดที่สำคัญ เช่น วิตามิน เอ (A), บี1 (B1), บี2 (B2), บี3 (B3), บี5 (B5), บี6 (B6), บี7 (B7), บี9 (B9), บี12 ( B12), ซี (C), ดี (D), อี (E ), และ เค (K)
การแบ่งกลุ่มวิตามินยังแบ่งเป็น
ก. ประเภทที่ละลายน้ำได้: ซึ่งได้แก่ วิตามินบี และ วิตามินซี
ข. วิตามินที่ละลายในไขมัน: ได้แก่ วิตามิน เอ, วิตามินดี, วิตามินอี, และ วิตามินเค, ซึ่งการเข้าใจคุณสมบัติของวิตามินแต่ละชนิดจะทำให้การบริโภคเป็นไปได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด
วิตามินมีหน้าที่อย่างไร?
มนุษย์ต้องการวิตามินทุกวัน หน้าที่ของวิตามินแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออก ไป วิตามินช่วยขับเคลื่อนให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ เมื่อเราบริโภคอาหารซึ่งมีวิตามินเป็นส่วนประกอบ อาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและถูกนำไปใช้เสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินซึ่งได้จากอาหารและดูดซึมเข้าไปอยู่ในเลือดจะถูกส่งไปตามอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้วิตามินยังช่วยให้ระบบประสาทสั่งงานไปยังอวัยวะต่างๆได้เป็นอย่างดี หากการสั่งงานจากระบบประสาทใช้งานไม่ได้ การทำ งานของอวัยวะต่างๆจะสูญเสียไป
อาการจากการขาดวิตามินมีหลายลักษณะ เช่น
- รู้สึกชาตามร่างกาย
- การมองเห็นไม่ชัดเจน
- ผิวพรรณเหี่ยวไม่สดชื่น
- บาดแผลหายช้า
- กระดูกเปราะ กระดูกบาง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปลายประสาทอักเสบ
- โลหิตจาง/ โรคซีด
- เลือดออกง่าย ฯลฯ
ทั้งนี้ หน้าที่ของวิตามิน มีหลากหลาย พอสรุปในภาพรวมได้ดังนี้ เช่น
1. ช่วยพัฒนา สมอง เส้นประสาท ให้มีการเจริญเติบโตและสามารถทำงานปกติไม่ว่าจะเป็นขณะที่เราหลับหรือตื่นนอนอยู่ก็ตาม
2. เสริมสร้างความเจริญเติบโตและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก, ฟัน, และกล้ามเนื้อ
3. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายให้แข็งแรง และทำหน้าที่ต้านทานโรค ภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี
4. ช่วยให้ร่างกายนำสารอาหาร เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ มาเป็นตัวตั้งต้นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
5. ช่วยให้อวัยวะต่างๆในร่างกายสามารถใช้พลังงานจากไขมันได้
6. เป็นส่วนประกอบในการสร้างและสังเคราะห์สารทางพันธุกรรม
7. ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญสารอาหารที่บริโภคเข้าไปและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิต
8. ช่วยสร้างฮอร์โมนซึ่งเป็นสารเคมีที่จำเป็นต่อการทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆในร่าง กาย
9. ช่วยรักษาสภาพผิวหนังของคนเราให้เป็นปกติ
10. ช่วยในการดูดซึมเกลือแร่/ แร่ธาตุที่ได้จากรับประทานอาหาร
การใช้วิตามินนานๆส่งผลเสียอะไรบ้าง?
ในบทนำเราพูดถึงการแบ่งกลุ่มวิตามินเป็น 2 กลุ่มคือ วิตามินที่ละลายน้ำ, และกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน
ก. กลุ่มวิตามินที่ละลายน้ำ: อาจอยู่ในร่างกายได้ 2 - 4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการใช้งานจะถูกขับออกทางไตมากับปัสสาวะ โอกาสที่จะสะสมในร่างกายจึงมีน้อย จึงมักไม่ค่อยก่อผลเสีย (ผลข้างเคียง) ซึ่งจากการสะสมในร่างกายน้อยนี่เอง จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องบริ โภควิตามินจากอาหารเข้าไปเสริมอยู่ทุกวัน
ข. กลุ่มวิตามินละลายในไขมัน: มักจะมีการสะสมในชั้นไขมันของร่างกาย ถ้ามีการสะสมมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย โดยก่ออาการคล้ายกับเป็นโรคออกมา
ดังนั้น จึงกล่าวโดยสรุปว่า การได้รับวิตามินบางชนิดมากเกินไปจากการซื้อวิตามินเสริมอาหารมารับประทานเองโดยไม่รู้เท่าทัน นอกจากจะสูญเสียทรัพย์สินโดยเปล่าประโยชน์ อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและต้องเสียทุนทรัพย์เพิ่มเติมในการรักษาตัว ซึ่งอาการของการได้รับวิตามินมากเกินไปแสดงอยู่ใน ‘ตารางวิตามิน’ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปในหัวข้อ ‘ตัวอย่างวิตามินสำคัญ แหล่งอาหาร และผลข้างเคียง’
เมื่อมีการสั่งยาวิตามินควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งวิตามิน ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด และอาการจากการแพ้ยา เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่น/หายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์หรือไม่ หรือกำลังให้นมบุตรหรือไม่ เพราะยามักผ่านรกหรือผ่านเข้าสู่น้ำนมและเข้าสู่ทารก ก่อผลข้างเคียงต่อทารกได้
หากลืมรับประทานยาวิตามินควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานวิตามินสามารถรับประทานวิตามินเมื่อนึกขึ้นได้ หากการลืมทานวิตามินใกล้กับมื้อถัดไป ให้รับประทานขนาดปกติโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดวิตามินเป็น 2 เท่า
วิตามินมีรูปแบบจำหน่ายอย่างไร?
วิตามินมีรูปแบบจัดจำหน่ายหลายอย่าง
- หากเราเข้าไปในร้านขายยาจะพบรูปแบบของวิตามินที่มีหลายๆลักษณะ เช่น อยู่ในรูปของยาเม็ด, ยาเม็ดฟู่, ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล, ยาแคปซูลนิ่ม, ยาน้ำเชื่อม
- ส่วนใน สถานพยาบาล ตามคลินิก และในโรงพยาบาล จะพบวิตามินในรูปยาฉีดด้วย
นอกจากนั้น วิตามิน ยังถูกแบ่งบรรจุในรูปวิตามินเดี่ยวและวิตามินรวม ด้วยความมากมายของชนิดและขนาดวิตามินที่ใช้รับประทาน ย่อมเป็นการยากที่ผู้บริโภคจะสามารถเลือกได้ตรงตามความต้องการของร่างกายตนเอง ดังนั้นหากมีความประสงค์ที่จะใช้วิตามินเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือขอคำปรึกษาจากเภสัชกรที่ร้านขายยาใกล้บ้านก่อนเสมอ
มีคำแนะนำการเลือกใช้วิตามินไหม? อย่างไร?
วิตามิน เป็นสิ่งที่มีอยู่ในอาหารที่เราบริโภคอยู่เป็นประจำ หากบริโภคอาหารได้ถูกหลักโภชนาการ ร่างกายจะแข็งแรงได้เป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องซื้อวิตามินมารับประทานเพิ่ม เพราะถึงแม้ร่างกายต้องการวิตามิน แต่ต้องการในปริมาณไม่มาก หากมีความจำเป็นต้องใช้วิตามินอาจใช้หลักเกณฑ์ดังนี้ เช่น
- ปรึกษา แพทย์ เภสัชกร หรือโภชนากร ให้เป็นผู้แนะนำในการเลือกรับประทาน
- การเลือกซื้อวิตามิน: ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระบุชื่อของวิตามินต่างๆ มีคำแนะนำและวัตถุประสงค์การใช้อย่างชัดเจน โดยในฉลากยาจะต้องระบุเลขที่ผลิตและวันหมดอายุ
- สภาพวิตามินที่จะรับประทานต้องอยู่ในสภาพตามเกณฑ์มาตรฐานการผลิตเช่น
- วิตามินในรูปยาเม็ด ต้องไม่แตกหัก หรือ ชื้นจนเปลี่ยนสภาพ
- วิตามินที่อยู่ในรูปของยาน้ำ, ยาน้ำแขวนตะกอน, ต้องไม่ตกตะกอนเป็นก้อนแข็ง สภาพสีและรสชาติต้องไม่เปลี่ยนไปจากมาตรฐานเดิม
- การเก็บรักษาวิตามิน ต้องเก็บให้พ้น แสงแดด หรือ ไม่เก็บในที่อุณหภูมิสูง
- ถ้าอยู่ในรูปของยาเม็ดหรือแคปซูลนิ่ม ต้องเก็บให้พ้นจากความชื้น
- หากรับประทานตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ ปรากฏว่าอาการโรคไม่ดีขึ้น ควรรีบกลับมาปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อ แพทย์พิจารณาปรับเปลี่ยนแผนการรักษาใหม่
- นอกจากนั้นคือ
- ห้ามแบ่งยา/วิตามินให้ผู้อื่นใช้ และ
- ห้ามใช้ยา/วิตามินหมดอายุ
***** อนึ่ง: ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิดที่รวมถึงวิตามิน, เกลือแร่/ แร่ธาตุ ทุกชนิด ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างวิตามินสำคัญ แหล่งอาหาร และผลข้างเคียง
รายละเอียดของวิตามินที่แสดงด้านล่างเป็นเพียงแนวทางและแนะนำความรู้ เป็นการศึก ษาที่ได้จากการใช้วิตามินในเพศชายที่มีร่างกายปกติแข็งแรงเท่านั้น (ในเพศหญิงซึ่งมีขนาดร่างกายเล็กกว่าเพศชาย ความต้องการวิตามินจึงควรในปริมาณที่น้อยกว่า) การเลือกบริโภคโดยให้เกิดประโยชน์สูงสุดของร่างกาย ควรขอคำแนะนำจาก แพทย์ เภสัชกร หรือโภชนากร จะเป็นการปลอดภัยและไม่สูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในเด็กควรต้องปรึกษาแพทย์เสมอ อย่าซื้อวิตามินให้บุตรหลานรับประทานเอง เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงต่างๆได้สูงกว่าในผู้ใหญ่ เพราะร่างกายของเด็กขับสารส่วนเกินต่างๆออกจากร่างกายได้น้อยกว่าในผู้ใหญ่ จากตับและไตยังทำงานไม่สมบูรณ์เต็มที่
ตัวอย่าง วิตามิน:
วิตามิน เอ (A):
- ชื่อทางเคมี : เรตินอล (Retinol)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 900 ไมโครกรัม, ในผู้หญิง ไม่สูงเกินกว่าในผู้ชาย
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ผักและผลไม้ที่มี สีส้ม เหลือง เขียว เช่น ฟักทอง ข้าวโพด แครอด
- อาการจาก ภาวะขาดวิตามินเอ : กระจกตา (ตาดำ) เป็นแผล, ตาบอดกลางคืน, ผิวหนังหนาตัว
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 3,000 ไมโครกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : มีอาการ คลื่นไส้-อาเจียน, ปวดหัว, เวียนศีรษะ, ตาพร่า มัว, เสียความสมดุลในการทำงานของกล้ามเนื้อ
วิตามิน บี1 (B1):
- ชื่อทางเคมี : ไทอามีน (Thiamine)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 1.2 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ข้าวกล้อง ถั่ว งา จมูกข้าวสาลี นมถั่วเหลือง เนื้อหมู เมล็ดทานตะวัน
- อาการจากภาวะขาดวิตามินบี1 : เหน็บชา
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายควรได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน ไม่ระบุ
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : ง่วงนอน กล้ามเนื้อคลายตัว
วิตามิน บี2 (B2):
- ชื่อทางเคมี : ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 1.3 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ไข่ นม เครื่องในสัตว์ ตับ ผักใบเขียว โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต
- อาการจากภาวะขาดวิตามิน2 (ปากนกกระจอก)
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายควรได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน ไม่ระบุ
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : ไม่ระบุ
วิตามิน บี3 (B3):
- ชื่อทางเคมี : ไนอาซิน (Niacin), ไนอาซินามายด์ (Niacinamide)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 16 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ตับ เนื้อสัตว์ ข้าวโอ๊ต ถั่ว จมูกข้าว ยีสต์ ผักใบเขียว
- อาการจากภาวะขาดวิตามินบี3 : เพลลากร้า(Pellagra) คือ กลุ่มอาการดังต่อไปนี้ มีอาการอักเสบของลิ้น/ ลิ้นอักเสบ คันตามผิวหนัง อาหารไม่ย่อย ปวดประสาท ปลายประสาทอักเสบ ซึมเศร้า อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง หงุดหงิด นอนไม่หลับ คลุ้มคลั่ง ความจำเสื่อม และท้องเสีย
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 35 มิลลิกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : ถ้าได้รับ B3 มากกว่า 2 กรัม/วัน ตับอาจได้รับความเสียหาย
วิตามิน บี5 (B5):
- ชื่อทางเคมี : แพนโททินิก แอซิด (Pantothenic Acid)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 5 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ไก่ เนื้อวัว ตับ มันฝรั่ง เมล็ดทานตะวัน
- อาการจากภาวะขาดวิตามินบี5 : ปวดท้อง ท้องอืด ตะคริว อ่อนเพลีย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ แก่ก่อนวัย อาการเหน็บชาตามปลายมือปลายเท้า อาเจียน
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน ไม่ระบุ
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : อาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน แสบร้อนกลางอก
วิตามิน บี6 (B6):
- ชื่อทางเคมี : ไพริดอกซีน (Pyridoxine), ไพริดอกซามีน (Pyridoxamine), ไพริดอกซอล (Pyridoxal)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 1.3 - 1.7 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ตับ มันฝรั่ง กล้วย แตงโม นม ไข่แดง ข้าวกล้อง รำข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่วต่างๆ เมล็ดงา
- อาการจากภาวะขาดวิตามิน6 : โลหิตจาง (โรคซีด), ปลายประสาทอักเสบ
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 100 มิลลิกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : การได้รับมากกว่า 100 มก./วัน อาจทำให้เส้นประสาทถูกทำ ลาย และสูญเสียการรับรู้ของประสาทสัมผัส
วิตามิน บี7 (B7):
- ชื่อทางเคมี : ไบโอติน (Biotin)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 30 ไมโครกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ดอกกะหล่ำ ถั่ว กล้วย ปลาแซลมอน เนื้อสัตว์ ไข่ ตับ งา
- อาการจากภาวะขาดไบโอติน : ผิวหนังอักเสบ ไม่สดชื่น
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน ไม่ระบุ
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : ไม่ระบุ
วิตามิน บี9 (B9):
- ชื่อทางเคมี : โฟลิก แอซิด (Folic Acid), โฟลินิก แอซิด (Folinic Acid), หรือ โฟเลท(Folate)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 400 ไมโครกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ถั่ว ผักโขม บรอกโคลี คะน้าผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ส้ม สตอเบอรี ธัญพืช ถั่วลิสง ตับ ผักกาดหอม
- อาการจากภาวะขาดวิตามินบี9/ ภาวะขาดโฟเลท : โลหิตจาง/ โรคซีด
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 1,000 ไมโครกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : อาจพบสิวขึ้นคล้ายลักษณะผื่นคัน แต่เป็นไม่ทุกกรณีไป
วิตามิน บี12 (B12):
- ชื่อทางเคมี : ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin), ไฮดรอกซีโคบาลามิน (Hydro xycobalamin), เมทิลโคบาลามิน (Methylcobalamin)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 2.4 ไมโครกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : เนื้อสัตว์ เครื่องใน นม โยเกิร์ต ตับ ไข่
- อาการจากภาวะขาดวิตามินบี12 : โลหิตจาง/ โรคซีด มีขนาดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน ไม่ระบุ
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : อาจพบสิวขึ้นคล้ายลักษณะผื่นคัน แต่เป็นไม่ทุกกรณีไป
วิตามิน ซี (C):
- ชื่อทางเคมี : แอสคอบิก แอซิด (Ascorbic Acid)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 90 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ส้ม ฝรั่ง สับปะรด พริก แตงโม บรอกโคลี่ กระหล่ำดอก มะ นาว กล้วย ผักโขม สตอเบอร์รี มะเขือเทศ มะละกอ
- อาการจากภาวะขาดวิตามินซี/ โรคลักปิดลักเปิด : เลือดออกตามไรฟัน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดตามข้อ เจ็บกระดูก
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 2,000 มิลลิกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : เกิดข้ออักเสบ การรับประทานเกิน 1000 มก./วัน อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาจเพิ่มการสะสมธาตุเหล็กตามกระดูกและข้อ
วิตามิน ดี (D):
- ชื่อทางเคมี : คาลซิเฟอรอล (Calciferol)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 5 - 10 ไมโครกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : แสงแดดที่กระตุ้นผิวหนังช่วงเช้า น้ำมันปลา นม เห็ด หอยนางรม ปลาแซลมอน ไข่ ตับ เนย น้ำมันตับปลาจากปลาทะเล
- อาการจากภาวะขาดวิตามินดี : มวลกระดูกบาง กระดูกพรุน และหักง่าย
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 50 ไมโครกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : เบื่ออาหาร เวียนศีรษะ คลื่นไส้-อาเจียน ปวดข้อ กระสับกระส่าย เซื่องซึม
วิตามิน อี (E):
- ชื่อทางเคมี : โทโคเฟอรอล (Tocopherol)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 15 มิลลิกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ผักใบเขียว ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวัน น้ำมันพืช นม ไข่ เนย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเลย์ อัลมอลล์
- อาการจากภาวะขาดวิตามินอี : ถ้าขาดในเด็กทารกอาจทำให้โลหิตจาง เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย การทำงานของระบบประสาทผิดปกติ
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน 1,000 มิลลิกรัม
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : อาจเพิ่มความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลว
วิตามิน เค (K):
- ชื่อทางเคมี : ไฟโตนาไดโอน (Phytonadione)
- ความต้องการ/วัน : ในผู้ชายอายุ 19 - 70 ปี 120 ไมโครกรัม
- แหล่งอาหารที่พบวิตามิน : ผักใบเขียวเข้มเช่น ใบบัวบก ผักโขม บรอกโคลี่ คะน้า กะ หล่ำปลี ตับ ไข่ น้ำมันถั่วเหลือง
- อาการจากภาวะขาดวิตามินเค : เลือดออกง่าย เลือดไหลแล้วหยุดช้า
- ปริมาณสูงสุดที่ร่างกายได้รับ : ไม่ควรเกิน/วัน ไม่ระบุ
- อาการที่ได้รับวิตามินเกิน : เพิ่มการจับตัวของเกล็ดเลือด
บรรณานุกรม
- ศัลยา คงสมบูรณ์เวช (2551) อาหารบำบัดโรค กรุงเทพฯ อมรินทร์พริ้นติ้ง.
- https://www.penguinrandomhouse.com/books/288662/the-real-vitamin-and-mineral-book-4th-edition-by-shari-lieberman/ [2021,July31]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Vitamin [2021,July31]