กลุ่มยาแก้ปวดและยาพาราเซตามอล (Analgesics and Paracetamol)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

กลุ่มยาแก้ปวด (Analgesics, อะนัลเจสิค หรือ Painkiller) หมายถึง ยาประเภทต่างๆที่ใช้รักษาบรรเทาอาการปวด ซึ่งอาการปวดมีหลายแบบ เช่น ปวดหัว/ปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดท้อง ปวดข้อ และปวดหลัง

อาการปวดบางชนิดสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ ร่าง กายจะกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ อาการปวดก็ทุเลาลง แต่อาการปวดบางอย่างต้องรีบรักษา เช่น ปวดศีรษะจากความดันโลหิตสูง แต่ปวดเจ็บแน่นหน้าอก อาจส่ออาการเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ แบบนี้รอไม่ได้ ต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที

ในชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการปวด คนเราจะใช้วิธีการที่ง่ายและสะดวกในการบรรเทาปวด โดยกินยาแก้ปวด หรือยาบรรเทาปวดเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ ยาแก้ปวดอาจจำแนกได้เป็นกลุ่มง่าย ๆดังนี้

1. ยาพาราเซตามอล (Paracetamol): มีใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย จัดเป็น ยาสามัญประจำบ้าน หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง

2. ยาเอ็นเสด (NSAIDs) คือ ยาในกลุ่มต้านการอักเสบ/ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ โดยคำว่า เอ็นเสด/เอนเสดส์ ย่อมาจาก ‘Non-steroidal anti-Inflammatory drugs’ (นอนสเตียรอยดอล แอนตี้อินเฟลมมาตอรีดรัก) เช่นยา

  • ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
  • ไดโคฟีแนค (Diclofenac)
  • เมเฟนามิค (Mefenamic)
  • อินโดเมธาซิน (Indomethacin)
  • ไพโรซิแคม (Piroxicam)
  • ยานิมีซูไลด์ (Nimesulide)

3. ยาคอกทูอินฮิบิเตอร์ (COX-2 Inhibitors): เช่น ยาเซเลโคซิป

4. กลุ่มยาแก้ปวดชนิดเสพติด(Narcotic analgesic) : เช่น มอร์ฟีน (Morphine) และโคเดอีน (Codeine)

ยาแก้ปวดรักษาอาการปวดได้อย่างไร?

ยาแก้ปวด-ยาพาราเซตามอล

กลไกการบรรเทาปวดของยาแก้ปวดจะแตกต่างและเป็นคนละแบบกับยาชา เพราะยาชากำจัดทั้งความเจ็บปวดและทำให้ความรู้สึกถึงการสัมผัสของร่างกายสูญหายไปด้วยพร้อมๆกัน

กลไกการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวด สามารถออกฤทธิ์ระงับปวดจากความรู้สึกที่สมอง หรือ ไม่ก็ออกฤทธิ์ที่อวัยวะที่มีอาการปวดโดยตรง ทั้งนี้ อาจแบ่งแนวทางการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวดได้ดังนี้

1. ออกฤทธิ์ห้ามมิให้ร่างกายสร้างหรือหลั่งสารที่ก่อให้เกิดอาการปวด

2. ยังยั้งฤทธิ์ของสารในร่างกายที่หลั่งออกมาและทำให้รู้สึกปวด

3. ห้ามไม่ให้เม็ดเลือดขาวออกมาสร้างปฏิกิริยากับบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บจนก่อเกิดอา การปวด

ผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) จากยาแก้ปวดมีอะไรบ้าง?

ยาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ กลุ่มยาแก้ปวดหากใช้ผิดเวลา ผิดขนาด ผิดวิธี ผิดคน อาจส่งผลอันไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ได้มากมาย

ผลอันไม่พึงประสงค์ฯจากยาแก้ปวดที่พบบ่อย ได้แก่

  • เป็นพิษกับ ตับ ไต
  • ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหารและลำไส้)
  • กระตุ้นความดันโลหิตให้สูงขึ้นในผู้ที่ป่วยมีโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว
  • อาจมีผลให้เกิดโรคหัวใจ
  • นอกจากนี้ อาจพบอาการ/ผลข้างเคียงอื่นๆตามมา เช่น
    • ผื่นคัน
    • ปวดศีรษะ
    • ง่วงนอน และ
    • หอบหืด

ยาแก้ปวดมีรูปแบบจำหน่ายอย่างไร?

ยาแก้ปวดที่มีจำหน่ายในร้านยา โรงพยาบาล คลินิก มีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น

  • ยากิน: เช่น ชนิดเม็ด ชนิดเม็ดที่เคลือบด้วยฟิล์มบางๆ ชนิดแคปซูล และชนิดยาน้ำเชื่อม
  • ยาใช้ภายนอก: เช่น ยาครีม เจล และยาพ่นเสปรย์
  • ยาฉีด: เช่น ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
  • ยาหยดเข้าทางหลอดเลือด: โดยเจือจางกับสารละลายน้ำเกลือก่อน

อนึ่ง: นอกจากจัดจำหน่ายในรูปแบบยาเดี่ยวแล้ว ยังมีการนำยาแก้ปวดหลายตัวมาผสมรวมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา เช่น

  • นำยาพาราเซตามอลผสมร่วมกับโคเดอีน (Codeine) เป็นต้น

มีคำแนะนำเลือกใช้ยาแก้ปวดไหม?

การใช้ยาทุกชนิดรวมทั้งยาแก้ปวดให้ได้ผลและปลอดภัย ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกรเสมอ ซึ่งโดยทั่วไปมีคำแนะนำการเลือกใช้ยาแก้ปวด ดังนี้

  • อาการปวดจากปวดเมื่อยธรรมดา: ไม่ต้องใช้ยา เพียงแค่นอนพัก อาการก็จะดีขึ้นเอง
  • ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด โดยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับยานั้นๆ ง่ายที่สุดให้ปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาใกล้บ้าน
  • กรณีที่มีโรคประจำตัว ควรต้องระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวดต่างๆโดยเฉพาะ โรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเมื่อมีแผลในกระเพาะอาหาร เพราะยาแก้ปวดหลายตัวจะส่ง เสริมให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หรืออาจส่งผลถึงการทำงานของหัวใจ หรือก่อให้เกิดเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้
    • ยาแก้ปวดจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือทำลายโดยตับ และขับออกทางไต ดังนั้น หากต้องใช้ยาแก้ปวดในผู้ที่มีภาวะ ตับ และ/หรือ ไต ผิดปกติ (โรคตับ และ/หรือ โรคไต) ควรให้แพทย์เป็นผู้แนะนำเท่านั้น
  • การใช้ยาแก้ปวดในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือ เภสัชกร ด้วยบุคคลทั้งสองกลุ่มมีสภาพร่างกายที่ทนต่อผลข้างเคียงของยาแก้ปวดได้ต่ำกว่าผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือในผู้ใหญ่ปกติ

ยาพาราเซตามอล (Paracetamol): ยาพาราเซตามอลมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

ยาพาราเซตามอล (Paracetamol หรือ Acetaminophen) มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น

  • แก้ปวดระดับน้อยไปจนถึงระดับปานกลาง แต่ไม่ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย เช่น การอักเสบจากถูกกระแทกฟกช้ำ
  • ใช้เป็นยาลดไข้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

อนึ่ง: ข้อดีของยาพาราเซตามอล คือ ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือขณะท้องว่างได้

ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์โดย ตัวยาจะไปยับยั้งการสร้างสารเคมีบางตัวในสมองของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และจะชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิหรือลดไข้ของร่างกายลง

ยาพาราเซตามอลมีรูปแบบจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาพาราเซตามอลมีรูปแบบจัดจำหน่ายได้หลายรูปแบบ เช่น

  • ชนิดเม็ด 325 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม
  • ชนิดน้ำ 120 มิลลิกรัม ใน 1 ช้อนชา และ 250 มิลลิกรัม ใน 1 ช้อนชา
  • ชนิดหยด 60 มิลลิกรัม ในน้ำ 0.6 มิลลิลิตร
  • ชนิดฉีด 300 มิลลิกรัม ในน้ำ 2 มิลลิลิตร

ยาพาราเซตามอลมีขนาดรับประทานอย่างไร?

ทั้งผู้ใหญ่และเด็กมี ขนาดยา และช่วงระยะเวลากินยาพาราเซตามอลที่ต่างกันตามอาการและการตอบสนองของร่างกาย ซึ่งเมื่อกินยาพาราเซตามอลแล้วอาการไม่ทุเลาภายใน 1 - 2 วัน ต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ค้นหาสาเหตุและปรับแนวทางการรักษา

อนึ่ง การใช้ยาพาราเซตามอลไม่ได้ขึ้นกับน้ำหนักของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับโรคต่างๆของผู้ป่วยด้วย เช่น ผู้ที่มีโรคตับ และ/หรือ โรคไต แพทย์มักต้องปรับลดขนาดยาที่รับประทานลง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเอง

*สำหรับผู้ใหญ่ขนาดสูงสุดของยาพาราเซตามอลที่รับประทานไม่ควรเกิน 4 กรัม/วัน ดังนั้น ถึงแม้ยาพาราเซตามอลจะเป็นยาสามัญประจำบ้าน ก็ไม่ควรใช้ยานี้พร่ำเพรื่อ ควรใช้ยานี้แต่เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้เสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา โดยเฉพาะการใช้ยานี้ใน เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาพาราเซตามอล ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกร เช่น

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด และอาการที่เกิดจากแพ้ยา เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • โรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เช่น โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง เพราะยาพาราเซตามอลอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือไม่ หรือกำลังให้นมบุตรหรือไม่ เพราะยาหลายประเภทอาจผ่านรก หรือผ่านเข้าสู่น้ำนมและเข้าสู่ทารก ก่อผลข้างเคียงต่อทารกได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

หากลืมรับประทานยาพาราเตามอล สามารถรับประทานยาเมื่อนึกขึ้นได้ หากการลืมทานยาใกล้กับมื้อถัดไป ให้รับประทานขนาดปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า

ยาพาราเซตามอลมีผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ไหม?

ยาพาราเซตามอลมีผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้าง้คียง/อาการข้างเคียง) เช่น

  • การกินยาพาราเซตามอลเป็นเวลานานติดต่อกันเกิน 5 - 7 วัน หรือกินเกินขนาด (ขนาดปกติในผู้ใหญ่ที่ ไม่มีโรคประจำตัวคือ กินครั้งละ 1 - 2 เม็ด ทุก 6 - 8 ชั่วโมง) อาจทำให้เกิดพิษต่อตับ/ตับอักเสบ
  • การกินร่วมกับแอลกอฮอล์ สามารถทำให้เกิดภาวะตับล้มเหลวได้ ซึ่งมีบางคนที่กินยาพาราเซตามอลปริมาณมาก ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยสภาวะตับล้มเหลว ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน

ยาพาราเซตามอลมีปฏิกิริยากับยาตัวอื่นไหม?

ยาพาราเซตามอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • การกินยาพาราเซตามอลร่วมกับยากดสมองส่วนกลาง/ยากดประสาทส่วนกลาง เช่น ยากันชัก หรือกินพร้อมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ จะเสริมฤทธิ์ความเป็นพิษต่อตับ และมีความเสี่ยงทำให้การทำงานของตับลดลง

    อนึ่ง ยากันชักที่มีใช้ในปัจจุบัน เช่นยา

    • อัลโลบาร์บิทอล (Allobarbital)
    • อะไมโลบาร์บิทอล (Amylobarbitone หรือ Amobarbital)
    • บาร์บิทอล (Barbital)
    • ทอลบิทอล (Butalbital)
    • ฟีนิโตอิน (Phenytoin)
  • นอกจากนั้น การกินยาพาราเซตามอลร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด จะทำให้การจับตัวของเกล็ดเลือดลดลง จึงอาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือดลงได้ ซึ่งยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)

มีข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างไร?

มีข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล เช่น

  • ควรระวังเป็นพิเศษ ถ้าต้องใช้ยาพาราเซตามอลในผู้ป่วยที่มีสภาวะตับทำงานผิดปกติ/โรคตับ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้เสมอ)
  • ห้ามใช้ยากับผู้ที่เคยมีการแพ้ยาตัวนี้ (รู้ได้จาก มีอาการผิดปกติจากกินยาพาราเซตามอลในครั้งก่อนๆเช่น ขึ้นผื่นคัน และ/หรือ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก/หายใจ ลำบาก)
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง: ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมทั้งยาแก้ปวดทุกชนิดและยาพาราเซตามอล) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

ควรเก็บรักษายาพาราเซตามอลอย่างไร?

ควรเก็บรักษายาพาราเซตามอล เช่น

  • ยาเม็ด:
    • ควรอยู่ในหีบห่อ (แผงยา) ของบริษัทผู้ผลิต เก็บให้พ้นแสง/แสงแดด
    • ไม่ควรเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ตากแดด เป็นต้น
  • ยาน้ำ: การเก็บเหมือนกับยาเม็ด คือ
    • ควรอยู่ในขวดที่ปิดสนิท
    • อยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส/Celsius (ถ้าทำได้คือ เก็บในตู้เย็น แต่ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง) และ
    • หลังเปิดขวดแล้ว สามารถใช้ยาต่อได้ไม่เกิน 3 เดือน (เมื่อยายังไม่เสื่อมสภาพ เช่น สี กลิ่น เปลี่ยนไป)
  • ทั้งยาเม็ดและยาน้ำ:
    • หากพบว่าลักษณะของยาเปลี่ยนไป เช่น สี กลิ่น เปลี่ยน หรือ แตก หัก ไม่ควรใช้ยา ให้ทำลายยาทิ้ง
    • อีกประการที่สำคัญ ต้องเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเสมอ

บรรณานุกรม

ชื่อยาทางการค้า และชื่อบริษัทผู้ผลิตยาพาราเซตามอล เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Tylenol (ไทลีนอล) Jenssen – Cilag/DKSH
Tempra /Tempra Forte (เทมปรา)Mead Johnson/DKSH
Unicap(ยูนิแคป)Unison
Paracap (พาราแคป)Masalab
Sara (ซารา)Thainakorn pattana

บรรณานุกรม

  1. MIMS. Pharmacy. Thailand. 9th Edition 2009.
  2. MIMS Thailand . TIMS. 110th Ed 2008.
  3. พิสิฐ วงศ์วัฒนะ. (2547). ยา. THE PILL BOOK.
  4. สุภาภรณ์ พงศกร.(2528). ปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยา (Drug Interactions ). เภสัชวิทยา เล่ม 1 . ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Analgesic [2019,May18]