อาการปวดหัว หรือ อาการปวดศีรษะ หรือ ปวดหัว หรือ ปวดศีรษะ (Headache) เป็นอา การทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งทุกคนต้องเคยมีอาการปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะบางครั้งรุนแรง บางครั้งพอรำคาญ บางคนก็ปวดหมดศีรษะ บางคนก็ปวดบริเวณหน้าผาก ต้นคอ เบ้าตา ซึ่งที่พบบ่อยคือ ปวดบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง (เป็นลักษณะของปวดศีรษะไมเกรน) ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักปวดศีรษะไมเกรนเท่านั้น แต่จริงแล้วอาการ/โรคปวดศีรษะข้างเดียว ยังมี สาเหตุ/แบบ/ชนิด ต่างๆอีก เรามาติดตามดูครับ ว่าอาการปวดศีรษะข้างเดียว (Hemicranial headache) มีสาเหตุจากอะไรบ้าง
อาการปวดศีรษะข้างเดียวที่พบบ่อย คือ ปวดศีรษะไมเกรน (จะไม่กล่าวถึงในบทความนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง ไมเกรน) ส่วนสาเหตุ/แบบ/ชนิด อื่นๆที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่
อาการปวดศีรษะข้างเดียวแต่ละชนิด/แบบนั้น มีลักษณะอาการเด่น ดังนี้
กลุ่มที่เป็นๆหายๆ คือ ปวดศีรษะคลัสเตอร์ , ปวดศีรษะ SUNCT, และ ปวดศีรษะ SUNA
กลุ่มที่ปวดตลอดคือ
เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย สรุปเป็นตาราง ดังนี้
ลักษณะ | ปวดศีรษะคลัสเตอร์ | ปวดศีรษะ Hemicranial continua | ปวดศีรษะ SUNCT และ ปวดศีรษะ SUNA |
เพศที่พบบ่อย | ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง | ผู้ชายเท่ากับผู้หญิง | ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง |
ลักษณะอาการปวด | ปวดตุ้บๆ ปวดเหมือนมีดแทง | ปวดตื้อๆ ปวดเหมือนมีดแทง ปวดตุ้บๆ | ปวดเสี้ยว ปวดเหมือนมีดแทง |
ความรุนแรง | รุนแรงมาก | รุนแรงมาก | รุนแรง |
ตำแหน่งที่ปวด | V1>C2>V2>V3 | V1>C2>V2>V3 | V1>C2>V2>V3 |
ความบ่อยต่อวัน | 1-8 ครั้ง | 20 ครั้ง | 100 ครั้ง |
ระยะเวลานาน (นาที) | 30-180 | 2-30 | 1-5 |
อาเจียน (%) | 50 | 40 | 25 |
กลัวแสง/กลัวเสียง (%) | 65 | 65 | 25 |
V1 = หน้าผาก, ตา, V2= แก้ม, V3 = กราม, C2 = ต้นคอด้านหลัง, > = ปวดมากกว่า
ในการวินิจฉัยว่า เป็นโรค/อาการปวดศีรษะข้างเดียว แพทย์จะวินิจฉัยจากลักษณะการปวดที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟัง และการตรวจร่างกายเพิ่มเติม เช่น ตรวจพบความผิดปกติของระบบประ สาทอัตโนมัติหรือไม่ในขณะที่มีอาการปวด ที่สำคัญ คือ ต้องตรวจไม่พบความผิดปกติอื่นๆของระบบประสาท
แพทย์จะพิจารณาลักษณะผิดปกติที่ตรวจพบร่วมกับอาการที่ผู้ป่วยบอก ถ้าเข้าได้กับลักษณะการปวดศีรษะอย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้น และตรวจไม่พบความผิดปกติอื่นๆ ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้ โดยไม่จำเป็นต้องส่งตรวจอะไรเพิ่มเติม
อาการปวดศีรษะข้างเดียวทั้ง 3 ชนิด/แบบดังกล่าว เป็นกลุ่มที่ตรวจไม่พบความผิดปกติในสมอง (Primary headache) แต่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติของประ สาทสมองที่ชื่อ Trigeminal (Trigeminal automatic cephalalgias : TACs) โดยเชื่อว่ามีความผิดปกติของเซลล์สมองบริเวณก้านสมอง และส่งผลให้มีการหลั่งสารเคมีและสารสื่อประ สาทบางชนิด ไปมีผลต่อหลอดเลือดบริเวณเยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (Dura mater) จึงทำให้มีอา การปวดศีรษะผิดปกติดังกล่าว
อาการปวดศีรษะข้างเดียวมักเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ใหญ่วัยกลางคน พบในผู้ชายมากกว่าผู้ หญิง พบมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้น้อยมาก
อากาศที่เปลี่ยนแปลง การดื่มแอลกอฮอล์ และการอดนอน จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอา การได้
การรักษาอาการปวดศีรษะข้างเดียว เป็นการรักษาต่างกันเฉพาะแต่ละชนิดของการปวด คือ
อาการปวดศีรษะคลัสเตอร์ รักษาโดยให้ดมออกซิเจน ให้ยาคาร์เฟอร์ก๊อต (Cafergot) ที่รักษาไมเกรนก็ได้ผล
อาการปวดศีรษะข้างเดียว Hemicranial continua ตอบสนองดีต่อยาแก้ปวด Indome thacin
ส่วนอาการปวดศีรษะ SUNCT/SUNA นั้นไม่มียาที่ได้ผลชัดเจน แต่ก็ตอบสนองต่อยา สเตียรอยด์/ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อ เพร็ดนิโซโลน (Prednisolone), ยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine, ยาทางจิตเวชและยากันชัก) และยาลามิคทอล (Lamictal, ยาทางจิตเวชและยากันชัก)
อาการปวดศีรษะข้างเดียวนั้น ไม่มีอันตราย และ ไม่มีมีผลข้างเคียงแทรกซ้อนใดๆ แต่สร้างความรำคาญและทรมานในผู้ป่วยบางราย และไม่พบมีความสัมพันธ์กับการเกิด โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชัก หรือ ความจำ
ผู้ป่วยทุกคน แนะนำให้พบแพทย์เมื่อมีอาการปวดศีรษะรุนแรง เพราะต้องให้แพทย์ตรวจประเมินว่า ไม่มีสาเหตุอื่นๆ เพราะบางโรคที่อันตราย อาจมีอาการคล้ายกันได้ เช่น เนื้องอกสมอง เนื้องอกของต่อมใต้สมอง เป็นต้น
กรณีมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว ควรดูแลโดยการทานยาที่ได้ผล ตามที่แพทย์ได้ให้ยามารักษา หรือการดมออกซิเจนกรณีเป็นอาการปวดศีรษะคลัสเตอร์ การรักษานั้นมีทั้ง
การป้องกันอาการปวดศีรษะข้างเดียวที่ดีนั้นคือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าวข้างต้นในหัวข้อ ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ การผ่อนคลาย การไม่เครียด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการไม่ดื่มแอลกอฮอล์