การตั้งครรภ์ (Pregnancy)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

การตั้งครรภ์คืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร?

การตั้งครรภ์ (Pregnancy) คือ ภาวะที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิแล้วได้ตัวอ่อนเกิดขึ้น ในการตั้งครรภ์ที่ปกติ ตัวอ่อนจะไปฝังที่เยื่อบุโพรงมดลูก จากนั้นตัวอ่อนซึ่งมีเซลล์เดียวก็ จะแบ่งตัวและพัฒนาเป็นอวัยวะต่างๆและเจริญเป็นทารกต่อไป ซึ่งโดยทั่วไปในผู้หญิงปกติที่มีประ จำเดือนทุกๆประมาณ 4 สัปดาห์จะมีอายุครรภ์ประมาณ 40 สัปดาห์หรือ 280 วันนับจากวันแรกของ การมีประจำเดือนครั้งล่าสุด

อะไรคือครรภ์เสี่ยงสูง?

การตั้งครรภ์

 

ครรภ์เสี่ยงสูง คือ ภาวะตั้งครรภ์ที่อาจเกิดอันตรายต่อมารดาและ/หรือต่อทารกในครรภ์ได้ เช่น การที่มารดามีโรคประจำตัวบางอย่างเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน  โรคความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง และโรคมะเร็ง, ซึ่งการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงอาจส่งผลให้โรคของมารดาที่ตั้งครรภ์แย่ลง, และ/หรือ อาจส่งผลอันตรายต่อทารกในครรภ์ด้วย

สาเหตุที่ทำให้การตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงที่พบบ่อย เช่น

  • มารดามีอายุน้อย (น้อยกว่า 15 ปี) หรืออายุมาก (มากกว่า 35 ปี)
  • มารดาอ้วน น้ำหนักตัวเกิน หรือผอมมาก หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่นดังกล่าวแล้ว
  • มารดามีประวัติการตั้งครรภ์ผิดปกติมาก่อน เช่น การแท้งบุตร หรือ การคลอดก่อนกำหนด

การตั้งครรภ์มีกี่ระยะ? แต่ละระยะมีอาการอย่างไร?

ในทางการแพทย์นั้น การตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ นั่นคือ ระยะที่มีการตั้งครรภ์, ระยะที่มีการเจ็บครรภ์คลอด, และระยะหลังคลอด

ก. ระยะที่มีการตั้งครรภ์:

ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์อาจจะมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการตอนเช้า รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ อาการจะดีขึ้นเมื่อผ่านช่วง 3เดือนแรกไปแล้ว นอกจากนั้นอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย  ได้บ้างในบางคน

เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นประมาณ 20 สัปดาห์ จะรู้สึกได้ถึงการดิ้นของทารกในครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรที่จะต้องสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ทุกวันเพื่อดูว่าทารกในครรภ์ยังมีชีวิตดีอยู่หรือไม่ (ซึ่งถ้าสงสัยเด็กดิ้นผิดปกติ เช่น ดิ้นลดลงหรือไม่ดิ้น ต้องรีบพบสูตินรีแพทย์) นอกจากนั้น อาจพบว่ามีการบวมที่ขาทั้งสองข้างได้เล็กน้อย

ข. ระยะที่มีการเจ็บครรภ์คลอด: จะมีอาการต่างๆ เช่น

  • อาการเจ็บครรภ์คลอด จะมีลักษณะปวดทั่วท้องทั้งหมด ท้อง/มดลูกแข็งเกร็งเกิดจากการหดรัดตัวของมดลูก โดยอาการปวดจะบีบและคลายเป็นพักๆสม่ำเสมออย่างน้อย 10 นาทีต่อครั้ง, ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่เอวร่วมด้วย
  • มีมูกปนเลือดออกทางช่องคลอดซึ่งแสดงว่ามีการเริ่มเปิดของปากมดลูกพร้อมที่จะคลอดแล้ว
  • การมีน้ำเดิน คือ การมีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอด กลั้นไม่ได้เหมือนปัสสาวะ ทั้งนี้เกิดจากถุงน้ำคร่ำแตก

ค. ระยะหลังคลอด:

ในระยะหลังคลอดจะยังคงมีเลือดไหลออกทางช่องคลอดในปริมาณไม่มากซึ่งเรียกว่า‘น้ำคาวปลา’ ในช่วงแรกจะมีสีแดงสด จากนั้นจะค่อยๆจางลงเป็นสีน้ำตาล และเปลี่ยนเป็นสีใสๆ, โดยน้ำคาวปลาควรจะหมดภายใน 2 - 4 สัปดาห์, ซึ่งถ้าน้ำคาวปลาผิดปกติ เช่น เป็นเลือดสดตลอดเวลา หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรือเมื่อผ่านระยะเวลานี้ไปแล้วยังคงมีน้ำคาวปลาอยู่, ควรรีบพบสูตินรีเวชเพราะอาจมีการติดเชื้อในมดลูกหรืออาจมีรกค้างอยู่ได้

การมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยบีบเป็นพักๆ โดยอาการจะเกิดขึ้นเมื่อมารดาให้นมบุตร อาการที่เกิดขึ้นเป็นภาวะปกติแสดงว่ามดลูกกำลังหดตัวเข้าสู่อุ้งเชิงกราน/ท้องน้อย

การขับปัสสาวะหลังคลอดในช่วง 2 - 3 วันแรก ปริมาณปัสสาวะที่ออกจะออกมากกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายขับน้ำส่วนเกินที่เกิดจากการตั้งครรภ์ออกจากร่างกาย

ภายหลังคลอดอาจเกิดอาการผิดปกติทางด้านจิตใจได้ เช่น อาการซึมเศร้า วิตกกังวล (มาม่าบลู) ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากปัญหาความสับสนในบทบาทของมารดาและภรรยา โดยอาการจะค่อยๆกลับเป็นปกติภายใน 2 - 3 สัปดาห์, แต่ถ้าอาการเหล่านี้เรื้อรังควรรีบพบสูตินรีแพทย์

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์?

อาการที่แสดงว่าอาจมีการตั้งครรภ์ที่พบบ่อย เช่น

  • ประจำเดือนขาด
  • คลื่นไส้อาเจียน มักมีอาการช่วงเช้าหรือมีอาการมากในช่วงเช้า
  • อยากอาหารแปลกๆ
  • อ่อนเพลีย
  • อารมณ์แปรปรวน
  • อาจปวดหัวบ่อยขึ้นแต่ไม่รุนแรง
  • มีการเปลี่ยนแปลงของเต้านม เต้านมและหัวนมขยายใหญ่ขึ้น อาจรู้สึกเจ็บเต้านมและหัวนม
  • ปัสสาวะบ่อยๆเพราะขนาดมดลูกโตขึ้น จึงกดเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ จึงกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น

ในกรณีที่มีอาการดังกล่าวและสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ อาจตรวจยืนยันการตั้งครรภ์เองโดยการไปซื้อแถบตรวจปัสสาวะดูการตั้งครรภ์จากร้านขายยาขนาดใหญ่มาตรวจ ซึ่งหลังจากจุ่มแถบตรวจกับปัสสาวะ ‘ถ้าพบว่าแถบขึ้น 2 ขีดแสดงว่ามีการตั้งครรภ์’ ในกรณีที่ไม่แน่ใจควรรีบไปพบสูตินรีแพทย์

แพทย์วินิจฉัยได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์?

แพทย์จะทำการวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์ ทั่วไปโดย 

  • ดูจากประวัติอาการ, ประวัติเพศสัมพันธ์, ประวัติขาดประจำเดือน
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจภายใน
  • และมีการยืนยันผลการตรวจโดยการนำปัสสาวะไปตรวจดูการตั้งครรภ์

เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เมื่อไร?

เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปพบแพทย์/สูติแพทย์ทันทีที่เป็นไปได้เพื่อจะได้ทำการฝากครรภ์, ประเมินอายุครรภ์ที่แน่นอน, ประเมินว่ามีภาวะเสี่ยงในการตั้งครรภ์หรือไม่, นอกจากนั้นยังมีการตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่, รวมถึงการตรวจคัดกรองโรค ธาลัสซีเมียด้วยเพื่อการดูแลทารกตั้งแต่ในครรภ์

จะดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อตั้งครรภ์

การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ที่สำคัญ เช่น

  • การรับประทานอาหาร: หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับประทานอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน, ไม่มีอาหารที่ต้องงด, ควรได้รับธาตุเหล็กเสริมระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อมาฝากครรภ์ หญิงตั้งครรภ์จะได้รับธาตุเหล็กในรูปยาเม็ดและควรรับประทานวันละเม็ดตลอดการตั้งครรภ์
  • การออกกำลังกาย: หญิงตั้งครรภ์สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ ถ้าไม่มีอาการเหนื่อยเกินไป หรือ เป็นการออกกำลังกายชนิดที่เกิดอันตราย
  • การทำงาน: ควรหลีกเลี่ยงงานที่ต้องออกกำลังมาก, ไม่ควรทำงานต่อเนื่องจนเกิดอาการเหนื่อยมาก, ควรมีเวลาพักระหว่างวัน, หญิงตั้งครรภ์ที่เคยคลอดบุตรน้ำหนักน้อยมาก่อน ควรจำกัดการทำงานไม่ให้มากเกินไป
  • การเดินทาง: หญิงตั้งครรภ์สามารถเดินทางได้ แต่มีข้อควรปฏิบัติ คือ ควรมีโอกาสลุกเดินบ้างทุก 2 - 3 ชั่วโมง, กรณีที่นั่งรถยนต์ควรใช้เข็มขัดนิรภัยอย่างเคร่งครัด
  • การเลือกใช้เสื้อผ้า: ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สวมใส่สบายไม่รัดแน่น
  • การขับถ่ายอุจจาระ: หญิงตั้งครรภ์มักมีอาการท้องผูก และมีโอกาสเป็นริดสีดวงทวาร ได้มากขึ้น จึงควรพยายามป้องกันไม่ให้ท้องผูกโดยดื่มน้ำให้มากพอ, รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากขึ้น (ผักและผลไม้), และออกกำลังกายพอสมควร
  • การดูแลสุขภาพฟัน: หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจสุขภาพฟันจากทันตแพทย์ และถ้ามีปัญหา ก็ทำการรักษาได้ตามที่ทันตแพทย์เห็นสมควร
  • การมีเพศสัมพันธ์: สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ, ยกเว้นในช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์
  • การสูบบุหรี่: หญิงตั้งครรภ์และสามีควรงดสูบบุหรี่ เนื่องจากมีผลต่อน้ำหนักตัวของทารกในครรภ์
  • การดื่มแอลกอฮอล์: ไม่ควรดื่มสุรา/แอลกอฮอล์ในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากสุราจะทำให้เกิดภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์, ปัญญาอ่อน, หรืออาจจะมีความพิการแต่กำเนิดได้

ข้อห้ามขณะตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง?

ข้อห้ามสำคัญขณะตั้งครรภ์ คือ

  • การใช้ยาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยขณะตั้งครรภ์, *หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเนื่องจากยาบางอย่างอาจส่งผลให้ทารกพิการได้
  • นอกจากนั้น ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์มีโรคประจำตัวรวมทั้งโรคธาลัสซีเมีย ควรรีบไปฝากครรภ์ เพื่อประเมินความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ว่า การตั้งครรภ์จะส่งผลต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์หรือไม่

ผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง?

อาการ/ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ เช่น  

  • อ่อนเพลีย
  • ปวดหลัง
  • ปวดหัว
  • หลอดเลือดดำขาขอด/หลอดเลือดขอด
  • ท้องผูก
  • ริดสีดวงทวาร
  • อาการแสบกระเพาะ
  • มีตกขาว
  • อาการตะคริว

รู้ได้อย่างไรว่าครรภ์อาจผิดปกติ?

อาการที่ต้องรีบมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ทั่วไป เช่น

  • เลือดออกทางช่องคลอด
  • บวมที่หน้า นิ้ว ขา หรือเท้า
  • ปวดหัวอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และ ตามองเห็นไม่ชัด (อาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ)
  • ปวดท้อง, ปวดท้องน้อย โดยเฉพาะเมื่อปวดต่อเนื่อง หรือ ปวดมาก หรือร่วมกับมีอาการผิปกติอื่นๆ เช่น มีไข้ เลือดออกทางช่องคลอด
  • อาเจียนอย่างต่อเนื่อง มีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขัด มีน้ำไหลออกทางช่องคลอด
  • ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงมาก

รู้ได้อย่างไรว่าใกล้คลอด?

อาการที่บ่งบอกว่าใกล้คลอด ที่สำคัญคือ

  • เจ็บครรภ์สม่ำเสมอ ประมาณทุก 10 นาที/ครั้ง
  • มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด และ/หรือ
  • มีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอดคล้ายปัสสาวะแต่กลั้นไม่ได้

เมื่อใกล้คลอดควรทำอย่างไร?

เมื่อมีอาการต่างๆที่บ่งชี้ว่าใกล้คลอด เช่น เจ็บครรภ์ถี่ทุก 10 นาที, มีมูกปนเลือดออกทางช่องคลอด, หรือมีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอดโดยกลั้นไม่ได้, *ควรรีบมาโรงพยาบาล

การปฏิบัติตัวหลังคลอดมีอะไรบ้าง?

การปฏิบัติตัวหลังคลอดที่สำคัญ เช่น

  • การให้นมบุตร: หญิงหลังคลอดควรให้นมบุตรทุก 2 ชั่วโมง, และควรให้นานไปถึง 6 เดือน, ก่อนและหลังให้นมบุตร ควรใช้สำลีชุบน้ำอุ่นทำความสะอาดหัวนมทั้งสองข้าง
  • การมีเพศสัมพันธ์: ในช่วง 6 สัปดาห์หลังคลอด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการคุมกำเนิดก่อน (ควรปรึกษาสุตินรีแพทย์ผู้ทำคลอดในเรื่องการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัว) เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม

ควรตั้งครรภ์อีกครั้งเมื่อไหร่?

การตั้งครรภ์ในครรภ์ถัดไปนั้น ควรเว้นระยะห่างในการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 ปีเพื่อให้หญิงหลังคลอดได้มีโอกาสพักในระหว่างไม่ตั้งครรภ์บ้าง

ถ้าไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร?

ควรมีการวางแผนเพื่อคุมกำเนิด (การวางแผนครอบครัว) ในกรณีที่ยังไม่พร้อมในการจะมีบุตรคนถัดไป ซึ่งการคุมกำเนิดในปัจจุบันมีมากมายหลายวิธี เช่น  กินยาเม็ดคุมกำเนิด,  ยาฉีดคุมกำเนิด, การใส่ห่วงคุมกำเนิด,  ยาฝังคุมกำเนิด,  ใช้ถุงยางอนามัยชาย,  ดังนั้นจึงควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ผู้ดูแลในเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อเริ่มฝากครรภ์

บรรณานุกรม

  1. กนก สีจร, ถวัลย์วงค์ รัตนสิริ, วิทูรย์ ประเสริฐเจริญสุข, โกวิท คำพิทักษ์. Antenatal care. สูติศาสตร์, second edition, p51-60.
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Advanced_maternal_age [2023,April15]
  3. https://www.betterhealth.vic.gov.au/healthyliving/pregnancy  [2023,April15]
  4. https://www.betterhealth.vic.gov.au/health/healthyliving/baby-due-date [2023,April15]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Teenage_pregnancy [2023,April15]