ไอวาบราดีน (Ivabradine)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 23 สิงหาคม 2559
- Tweet
- บทนำ
- ไอวาบราดีนมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
- ไอวาบราดีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- ไอวาบราดีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- ไอวาบราดีนมีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- ไอวาบราดีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้ไอวาบราดีนอย่างไร?
- ไอวาบราดีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาไอวาบราดีนอย่างไร?
- ไอวาบราดีนมีชื่ออื่นอีกไหม?ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- โรคหัวใจ: โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
- แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium channel blocker)
- เบต้า บล็อกเกอร์ (Beta blocker)
- ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจวาย (Heart failure)
- เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการปวดเค้นหัวใจ (Angina Pectoris)
บทนำ
ยาไอวาบราดีน(Ivabradine หรือ S-16257) เป็นยาที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ มีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างจากยากลุ่ม Beta blockers และกลุ่ม Calcium channel blockers ทางคลินิกนำมาใช้บำบัดอาการเจ็บหน้าอก และอาการหัวใจล้มเหลว รูปแบบยาแผนปัจจุบันของยานี้จะเป็นยาชนิดรับประทาน โดยตัวยานี้จะถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดเพียงประมาณ 40% จากนั้นยาไอวาบราดีนในเลือด ก็จะเข้าจับกับพลาสมาโปรตีนประมาณ 70% ก่อนที่จะถูกส่งไปทำลายโครงสร้างที่ตับ ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำในการกำจัดยานี้ออกไปกับปัสสาวะและกับอุจจาระ
ข้อจำกัดของการใช้ยาไอวาบราดีนกับผู้บริโภค/ผู้ป่วยที่ควรทราบมีดังนี้ คือ
- ห้ามใช้กับผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจล้มเหลวแบบเฉียบพลัน (Acute decompensated heart failure) หรือ ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำกว่า 90/50 มิลลิเมตรปรอท
- ห้ามใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจชนิดต่างๆ อย่าง Sick sinus syndrome, Sinoatrial block, ผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจขณะร่างกายหยุดพักต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที, ผู้ที่มีภาวะโรคตับระยะรุนแรง
- ห้ามใช้ร่วมกับ ยา CYP3A4 inhibitors คือยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ไซโตโครมพี450 3เอ4 (Cytochrome P450 3A4 ย่อว่า CYP3A4, เอนไซม์ในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการทำลายยาต่างๆ) ยาCYP3A4 inhibitors เช่น ยา Ritonavir, Clarithromycin, Ketoconazole
- ระวังการใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร รวมถึงผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ (Pacemaker) เพื่อให้อาการเจ็บหน้าอก จากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด(Angina) ดีขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาไอวาบราดีน ตรงเวลาและตามขนาดที่แพทย์สั่งจ่าย ซึ่งยานี้ควรรับประทานพร้อมอาหาร
ระหว่างที่ได้รับยาไอวาบราดีน ผู้ป่วยอาจมีความผิดปกติของการมองเห็น จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะต่างๆ รวมไปถึงการทำงานกับเครื่องจักร เพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หลีกเลี่ยงการรับประทานยานี้ร่วมกับน้ำผลไม้อย่าง Grape fruit juice และต้องหมั่นตรวจตราความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจว่า ยังเป็นปกติดีหรือไม่ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา พยาบาล และ/หรือเภสัชกร และผู้ป่วยอาจได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) จากแพทย์ผู้รักษา/สถานพยาบาลเป็นระยะๆ
สำหรับประเทศไทยโดยคณะกรรมการอาหารและยา ได้กำหนดให้ยาไอวาบราดีน เป็นยาควบคุมพิเศษ ที่มีใช้แต่ในสถานพยาบาล ซึ่งต้องมีใบสั่งจ่ายยาจากแพทย์กำกับเท่านั้น
ไอวาบราดีนมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
ยาไอวาบราดีนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น
- บำบัดรักษาอาการหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure)
- บำบัดอาการเจ็บหน้าอกจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Chronic stable angina pectoris in coronary artery disease patients with normal sinus rhythm)
ไอวาบราดีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธ์ของยาไอวาบราดีนคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งกระแสประสาทที่กระตุ้นการเต้นของหัวใจ ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจลดต่ำลง โดยทำให้จังหวะการคลายตัวของหัวใจทำได้อย่างสม่ำเสมอ จากผลดังกล่าว ทำให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณหัวใจได้เพียงพอมากขึ้น และยังทำให้หัวใจไม่ทำงานหนักมากจนเกินไป จากกลไกนี้ จึงก่อให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ
ไอวาบราดีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาไอวาบราดีนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น
- ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 5 และ 7.5 มิลลิกรัม/เม็ด
ไอวาบราดีนมีขนาดรับประทานอย่างไร?
ยาไอวาบราดีนมีขนาดรับประทาน เช่น
- ผู้ใหญ่: เริ่มต้นรับประทานครั้งละ 5 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น พร้อมอาหาร ขนาดรับประทานสูงสุดไม่เกินครั้งละ 7.5 มิลลิกรัม เช้า-เย็น
- ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป: รับประทานครั้งละ 2.5 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- เด็ก: ทางคลินิก ยังไม่มีข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงของยานี้ในเด็ก อย่างชัดเจน การใช้ยานี้ในเด็ก จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีไป
*อนึ่ง:
- ระหว่างการรักษา แพทย์อาจปรับขนาดรับประทานยานี้ทุก 3-4สัปดาห์ โดยประเมินจากอาการผู้ป่วยต่อการตอบสนองต่อยานี้ เช่น สัญญาณชีพ เป็นต้น โดยร่วมกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคตับระยะรุนแรง
*****หมายเหตุ: ขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาไอวาบราดีน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาไอวาบราดีนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาไอวาบราดีน สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม เพื่อประสิทธิผลของการรักษา ควรรับประทานยาไอวาบราดีนตรงเวลา
ไอวาบราดีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
การใช้ยาไอวาบราดีนสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น
- ผลต่อหัวใจ: เช่น เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นช้าผิดปกติ มีความดันโลหิตผิดปกติ คือ อาจสูงหรือไม่ก็ต่ำ มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial fibrillation) เจ็บหน้าอก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- ผลต่อการมองเห็น: เช่น ตาพร่า การมองเห็นภาพทำได้ไม่ชัดเจน
- ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เยื่อจมูกอักเสบ มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจช่วงบน เกิดภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผลต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นคล้ายเป็นเบาหวาน ไขมันคอเลสเตอรอลสูง เกลือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ มีภาวะกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น ท้องเสียหรือไม่ก็ท้องผูก กระเพาะอาหารอักเสบ คลื่นไส้ ปวดท้อง
- ผลต่อไต: เช่น ไตล้มเหลว
- ผลต่อตับ: เช่น เอนไซม์ทรานซามิเนส(Transaminase,เอนไซม์ที่บอกการทำงานของตับ)ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น
- ผลต่อผิวหนัง: เช่น พบผื่นคัน และลมพิษ
มีข้อควรระวังการใช้ไอวาบราดีนอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาไอวาบราดีน เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที ผู้ที่อยู่ในภาวะช็อก ผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำกว่า 90/50 มิลลิเมตรปรอท ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจชนิด Sick sinus syndrome ผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ(Pacemaker)
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคตับระยะรุนแรง
- ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก
- ห้ามปรับขนาดรับประทาน และต้องรับประทานยานี้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคไต
- หมั่นตรวจสอบความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจในขณะได้รับยานี้ตามแพทย์ผู้รักษาแนะนำ
- ระวังการรับประทานยานี้เกินขนาด โดยสังเกตจากอาการที่หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ ซึ่งถ้ามีอาการดังกล่าว ให้รีบแจ้งแพทย์ พยาบาล(เมื่อยังได้รับการรักษาอยู่ในสถานพยาบาล) หรือรีบมาโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน กรณีอาการเกิดขึ้นที่บ้าน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยานี้กับน้ำผลไม้ประเภท Grape fruit juice
- หากมีอาการแพ้ยานี้ อย่างเช่น ตัวบวม ผื่นคันขึ้นทั่วตัว อึดอัด/หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก ให้หยุดใช้ยานี้ทันที แล้วรีบแจ้ง แพทย์/พยาบาล และ/หรือมาโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉินกรณีอาการเกิดที่บ้าน
- การปรับขนาดรับประทานยานี้ แพทย์อาจต้องใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 3 – 4 สัปดาห์หลังเริ่มรับประทานยานี้ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม และสั่งปรับขนาดรับประทานเอง
- มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ด้วยผู้ป่วยอาจต้องรับการตรวจ ECG
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาไอวาบราดีนด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.comบทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
ไอวาบราดีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาไอวาบราดีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- การใช้ยาไอวาบราดีนร่วมกับยาบางกลุ่ม อย่างเช่น Rifampin, Barbiturates, Phenytoin, อาจทำให้ระดับยาไอวาบราดีนในกระแสเลือดลดต่ำลงจนส่งผลเสียต่อการรักษา หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
- ห้ามรับประทานยาไอวาบราดีนร่วมกับน้ำผลไม้บางประเภทอย่าง Grape fruit ด้วยอาจทำให้ระดับความเข้มข้นของยาไอวาบราดีนในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น จนก่อให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆของยาไอวาบราดีนตามมา
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาไอวาบราดีนร่วมกับยา Ofloxacin ด้วยจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา
- ห้ามใช้ยาไอวาบราดีนร่วมกับยา Ritonavir ด้วยจะทำให้ระดับยาไอวาบราดีนในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ได้รับอาการข้างเคียงต่างๆจากยาไอวาบราดีนสูงขึ้นตามมา เช่น หัวใจเต้นช้าลง
ควรเก็บรักษาไอวาบราดีนอย่างไร?
ควรเก็บยาไอวาบราดีนภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส(Celsius) เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์
ไอวาบราดีนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาไอวาบราดีน ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Coralan (โคราแลน) | Servier |
อนึ่ง ยาชื่อการค้าของยานี้ในต่างประเทศ เช่น Procoralan, Coralan, Corlentor, Coraxan, Ivabid, Bradia
บรรณานุกรม
- https://www.drugs.com/cdi/ivabradine.html [2016,July30]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Ivabradine [2016,July30]
- http://www.mims.com/thailand/drug/info/coralan/?type=brief [2016,July30]
- https://www.drugs.com/drug-interactions/ivabradine-index.html?filter=3&generic_only=#P [2016,July30]