โพรงเลือดดำตับอุดตัน (Sinusoidal Obstruction Syndrome)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 21 สิงหาคม 2561
- Tweet
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือด การปลูกถ่ายไขกระดูกในโรคมะเร็ง (Peripheral blood stem cell and bone marrow transplantation in cancer)
- โรคเลือด (Blood Diseases)
- ยาเคมีบำบัด (Cancer chemotherapy)
- โรคตับ (Liver disease)
- ตับวาย ตับล้มเหลว (Liver failure)
โพรงเลือดดำตับอุดตัน(Sinusoidal Obstruction Syndrome ย่อว่า SOS)คือ โรค/ภาวะ/กลุ่มอาการที่เกิดการอุดตันในโพรงเลือดดำขนาดเล็กขนาดหลอดเลือดฝอย(Sinusoid)ในตับ ที่ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดดำในตับเสียไป และร่วมกับมีเซลล์เนื้อเยื่อตับบาดเจ็บและตาย จนเกิดเป็น พังผืดขึ้นมาทดแทน ซึ่งถ้าเนื้อเยื่อตับกลายเป็นพังผืดเกือบทั้งหมด จะส่งผลต่อเนื่องให้ตับสูญเสียการทำงานจนเกิดภาวะตับวายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด
โพรงเลือดดำตับอุดตับ พบได้ทุกเพศและทุกวัย ไม่ขึ้นกับเชื้อชาติ เกือบทั้งหมดของผู้ป่วยพบเป็นผลข้างเคียงของการปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งในระบบโลหิตวิทยา ซึ่งภาวะนี้ มีรายงานพบในผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูกได้ประมาณ 5% ถึงมากกว่า 60% ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะนี้ของแต่ละผู้ป่วย
อนึ่ง
- ไซนูซอยด์(Sinusoid) คือโพรงเลือดดำที่มีขนาดเล็กๆคล้ายเป็นหลอดเลือดดำฝอยที่อยู่ในเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ สมอง ไขกระดูก ม้าม รก โพรงนี้มีหน้าที่เก็บกักเลือดดำจากเนื้อเยื่ออวัยวะนั้นๆและก่อให้เกิดไหลเวียนเลือดดำเชื่อมต่อไปยังหลอดเลือดดำของอวัยวะนั้นๆ แล้วเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของร่างกายต่อไป
- ชื่อเดิมของโรคนี้ คือ หลอดเลือดดำตับอุดตัน(Hepatic veno-occlusive disease) หรือ Veno-occlusive hepatic disease หรือ Veno-occlusive disease (ย่อว่า VOD)
สาเหตุ และพยาธิสรีรวิทยา
สาเหตุเกิดโพรงเลือดดำอุดตัน ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่แพทย์เชื่อว่า น่าเกิดจากพิษของยาเคมีบำบัด และ/หรือ รังสีรักษาต่อตับ โดยลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาพบว่า เซลล์เยื่อบุภายในโพรงเลือดดำมีการบาดเจ็บ ส่งผลให้มีเม็ดเลือดแดงแตกเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อบุโพรงฯร่วมกับมีสารโปรตีนจับตัวรวมกันเป็นก้อนเรียกว่า ไฟบริน(Fibrin) ส่งผลให้โพรงฯนี้อุดตัน นอกจากนี้ ยังมีเซลล์เม็ดเลือดขาวมาจับกินไฟบรินเหล่านี้และกระตุ้นให้โพรงเลือดดำเกิดเป็นพังผืดซึ่งยิ่งช่วยเสริมการอุดตัน กลไกทั้งหมดดังกล่าว ทำให้การไหลเวียนเลือดดำในโพรงฯ/ในตับเสียไป ร่วมกับมีการตายเกิดเป็นจุดๆของเซลล์เนื้อเยื่อตับที่ส่งผลให้ตับสร้างพังผืดขึ้นมาชดเชย ซึ่งถ้าภาวะนี้รุนแรง เนื้อเยื่อตับส่วนใหญ่จะกลายเป็นพังผืด จนส่งผลให้ตับหมดสภาพในการทำงาน จึงเกิดเป็นภาวะตับวาย ที่เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต(ตาย)ในที่สุด
โพรงเลือดดำตับอุดตัน เป็นภาวะที่ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดดังกล่าวแล้วว่า เกิดจากผลข้างเคียงจากการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่ส่วนน้อยมากเป็นผลข้างเคียงจาก ยาบางชนิด หรือจากสารพิษจากสมุนไพรบางชนิด เช่น กลุ่มอัลคลอยด์ หรือจากโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดได้ที่ผิดปกติในจีนสร้างสารโปรตีนที่ชื่อ SP110/ซึ่งโรคนี้พบได้น้อยมาก
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะโพรงเลือดดำตับอุดตัน
ปัจจัยเสี่ยงเกิดโพรงเลือดดำตับอุดตันในผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูก ที่พบบ่อยได้แก่
- ผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
- ผู้ป่วยมีโรคตับร่วม หรือเคยมีประวัติเป็นโรคตับ โดยปัจจัยเสี่ยงขึ้นกับความรุนแรงของโรคตับด้วย
- ได้รับยาเคมีบำบัดปริมาณสูงในการปลูกถ่ายไขกระดูก
- ได้รับยาเคมีบำบัดชนิด Busulfan โดยเฉพาะชนิดรับประทาน และ/หรือได้รับ Busulfan ร่วมกับยาเคมีบำบัดชนิด Cyclophosphamide และ/หรือชนิด Melphalan
- ได้รับปริมาณรังสีสูงที่ตับในการฉายรังสีรักษาทั้งตัวในการปลูกถ่ายไขกระดูก
- เป็นการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้ไขกระดูกมาจากผู้อื่น
- ปลูกถ่ายไขกระดูกที่ไม่ใช่ครั้งแรก เช่น ครั้งที่2 หลังมะเร็งโรคเลือดนั้นๆเกิดกลับเป็นซ้ำหลังเคยปลูกถ่ายไขกระดูกมาแล้ว
- มีประวัติเป็นโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก
อาการ
อาการของภาวะโพรงเลือดดำตับอุดตันมักเกิดภายใน20วันหลังปลูกถ่ายไขกระดูก แต่อาจเกิดเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ได้ อาการทั่วไป คือ ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วจากมีภาวะตัวบวม แขนขาบวม (น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5%ของน้ำหนักตัวเดิม ) และมีท้องมาน/มีน้ำในท้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตับโตและเจ็บตับตลอดเวลา ตับทำงานผิดปกติ/ตับอักเสบ ตัวเหลืองตาเหลือง และมักมีไตวายร่วมด้วย
วิธีวินิจฉัยภาวะโพรงเลือดดำตับอุดตัน
แพทย์วินิจฉัยโพรงเลือดดำตับอุดตันได้จาก อาการผู้ป่วย ร่วมกับประวัติมีการรักษา ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก หรือการได้รับสารพิษเช่นใช้สมุนไพรต่างๆ หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์การทำงานของตับในเลือด ที่รวมถึงค่าบิลิรูบิน แต่การวินิจฉัยที่แม่นยำคือ การตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวด์เทคนิคเฉพาะตรวจหลอดเลือด(Liver doppler ultrasound) และที่ให้ผลถูกต้องที่สุดคือ การตัดชิ้นเนื้อจากตับเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษาภาวะโพรงเลือดดำตับอุดตัน
ปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือวิธีรักษาเฉพาะในภาวะโพรงเลือดดำตับอุดตัน การรักษาเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การพักผ่อน การใช้ยาขับปัสสาวะกรณีผู้ป่วยบวมมาก การให้ยาแก้ปวดกรณีมีอาการปวด/เจ็บตับ เป็นต้น
การพยากรณ์โรคในภาวะโพรงเลือดดำตับอุดตัน
โพรงเลือดดำตับอุดตันมีการพยากรณ์โรคแบ่งเป็น3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มมีอาการน้อย
- กลุ่มอาการปานกลาง และ
- กลุ่มอาการรุนแรง
โดยความรุนแรงของอาการ/ของโรคขึ้นกับ การทำงานของตับที่สูญเสียไปในระดับน้อยหรือมาก รวมถึง ผลกระทบจากที่ตับเสียการทำงานที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย เช่น ไต หัวใจ ปอด สมอง ระบบเลือด ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย โดย
- ในกลุ่มที่อาการโรคเกิดกับตับอวัยวะเดียวและตับยังทำงานได้ดี (กลุ่มผู้ป่วยอาการน้อย) อาการต่างๆมักจะดีขึ้นในระยะเวลาประมาณ100วันหลังเกิดอาการ โดยอัตราเสียชีวิตประมาณ 10%จากที่โรคเปลี่ยนไปเป็นอาการรุนแรงจนเกิดตับวายที่ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการล้มเหลวในการทำงานของอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย
- ในกลุ่มอาการรุนแรงปานกลาง อัตราเสียชีวิตที่100วันหลังมีอาการ ประมาณ20%
- ส่วนในผู้มีอาการรุนแรงตั้งแต่แรก อัตราเสียชีวิตที่100วันฯ ประมาณมากกว่า 80-90%
การป้องกันโพรงเลือดดำตับอุดตัน
การป้องกันโพรงเลือดดำตับอุดตันให้ได้100%เป็นไปไม่ได้ เพราะสาเหตุเกิดที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ในการรักษาโรคมะเร็งด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกแพทย์จะพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างดังได้กล่าวในหัวข้อ”ปัจจัยเสี่ยงฯ” เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะนี้ลงให้ต่ำที่สุด โดยจะพูดคุยปรึกษากับ ผู้ป่วย ครอบครัวผู้ป่วย และในทีมแพทย์ ถึงอัตราเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นกรณีๆไป
บรรณานุกรม
- Jean-Hugues Dalle and Sergio A. Giralt. Biol Blood Marrow Transplant 2016;22:400-409
- https://en.wikipedia.org/wiki/Hepatic_veno-occlusive_disease [2018,Aug4]
- https://emedicine.medscape.com/article/989167-overview#showall [2018,Aug4]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Sinusoid_(blood_vessel) [2018,Aug4]
- https://emedicine.staging.medscape.com/article/989167-clinical [2018,Aug4]