แพรมลินไทด์ (Pramlintide)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 30 มิถุนายน 2560
- Tweet
- บทนำ
- แพรมลินไทด์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
- แพรมลินไทด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- แพรมลินไทด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- แพรมลินไทด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมฉีดยาควรทำอย่างไร?
- แพรมลินไทด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้แพรมลินไทด์อย่างไร?
- แพรมลินไทด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาแพรมลินไทด์อย่างไร?
- แพรมลินไทด์มีชื่ออื่นอีกไหม?ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ยาเบาหวาน หรือ ยารักษาโรคเบาหวาน (Antidiabetic agents)
- ยาอินซูลิน (Insulin)
- อะมัยลิน แอนะล็อก (Amylin analogues)
- เบาหวาน (Diabetes mellitus)
- รู้ทันโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
- เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น (Juvenile diabetes mellitus)
- เบาหวานขึ้นตา เบาหวานกินตา (Diabetic retinopathy)
บทนำ
ยาแพรมลินไทด์(Pramlintide หรือ Pramlintide acetate) เป็นยาประเภท อะมัยลิน แอนะล็อก (Amylin analogues) ทางคลินิกใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานประเภท I และ II ยาแพรมลินไทด์จะทำงานควบคู่ไปกับฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย โดยออกฤทธิ์ลดการดูดซึมน้ำตาลกลูโคส/กลูโคส(Glucose)จากระบบทางเดินอาหาร และช่วยควบคุมการเพิ่มปริมาณของฮอร์โมนกลูคากอน(Glucagon )มีผลให้ร่างกายลดการปลดปล่อยน้ำตาลกลูโคสจากตับ จึงส่งผลให้เกิดการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลง นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกอิ่มและหิวอาหารน้อยลง จากกลไกเหล่านี้จึงทำให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงจนมีผลสืบเนื่องให้น้ำหนักตัวลดลงได้เช่นกัน
ยาแพรมลินไทด์มีรูปแบบเภสัชภัณฑ์เป็นยาฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ตัวยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ประมาณ 30–40% และจะเกิดการรวมตัวกับพลาสมาโปรตีนประมาณ 60% ไตจะเป็นอวัยวะที่คอยกำจัดและทำลายโครงสร้างของยาแพรมลินไทด์ ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 48 นาทีเพื่อกำจัดยานี้ออกจากกระแสเลือด โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ อย่างไรก็ตามยาแพรมลินไทด์จะออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้นานประมาณ 3 ชั่วโมงต่อการใช้ยา 1 ครั้ง
สิ่งที่ผู้ป่วยต้องระมัดระวังทุกครั้งที่ได้รับยาแพรมลินไทด์ ได้แก่
- การใช้ยานี้ร่วมกับยาอินซูลิน อาจเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ I ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องใช้ยานี้ตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของตัวผู้ป่วยเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เพื่อตรวจเทียบประสิทธิผลของการรักษาเบาหวาน
- เพื่อให้การออกฤทธิ์ของตัวยาแพรมลินไทด์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยเบาหวานต้องได้รับการฉีดยานี้ก่อนมื้ออาหารทุกครั้ง
- กรณีใช้ยาแพรมลินไทด์ร่วมกับยาอินซูลิน ห้ามนำยาทั้ง 2 ชนิดมาผสมแล้วฉีดรวมกันเข้าใต้ผิวหนัง ให้แยกฉีดคนละตำแหน่งบนพื้นที่ผิวหนัง
- เรียนรู้วิธีการฉีดยา/การใช้ชุดอุปกรณ์ของผลิตภัณฑ์อย่างเข้าใจ และถูกต้องได้จากแพทย์/เภสัชกร/พยาบาล
- สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคไตที่มีค่าครีเอตินินเคลียแรนซ์(Creatinine clearance)ตั้งแต่ 15 มิลลิลิตร/นาทีขึ้นไป แพทย์จะปรับลดขนาดการใช้ยาแพรมลินไทด์ลง
- ยาแพรมลินไทด์มีความไวต่ออุณหภูมิห้อง จึงต้องทำการเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิ 2–8 องศาเซลเซียส(Celsius)
- ระหว่างที่ได้รับยาแพรมลินไทด์แล้วมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง ให้หยุดการใช้ยานี้ แล้วรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว/ทันที/ฉุกเฉิน ขึ้นกับความรุนแรงของอาการผู้ป่วยที่เกิดขึ้น
- ห้ามแบ่งยานี้ใช้ร่วมกับผู้ป่วยเบาหวานคนอื่น
- อาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ที่โดดเด่นของยาแพรมลินไทด์อย่างหนึ่ง คือ อาการคลื่นไส้ ดังนั้นการปรับขนาดการใช้ยานี้เพิ่มขึ้นของผู้ป่วย แพทย์มักเว้นระยะเวลาทุกๆ 3 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการคลื่นไส้เกิดขึ้น
- นอกจากนี้ห้ามใช้ยาแพรมลินไทด์กับผู้ที่มีภาวะกระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนตัวไม่ดีเหมือนปกติ (Delayed gastric emptying)
- ระวังการใช้ยาแพรมลินไทด์ร่วมกับยารักษาโรคเบาหวานชนิดอื่นๆ เช่น ยาอินซูลิน รวมถึงกลุ่มยาแก้ปวด , ยาปฏิชีวนะ , ยาเม็ดคุมกำเนิด , กลุ่มยาACE inhibitor, MAOIs , Salicylate, Somatostatin analogs ด้วยกลุ่มยาดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยทั้งสิ้นทั้งอาจเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลง จึงถือเป็นหน้าที่ที่ผู้ป่วยต้องแจ้งให้ แพทย์ พยาบาบ เภสัชกร ทราบทุกครั้งที่เข้ารับการรักษาว่า ตนเองมียาประเภทใดใช้อยู่ก่อน หรือมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง
- การใช้ยาแพรมลินไทด์ กับกลุ่มผู้ป่วยสตรีตั้งครรภ์/ตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เด็ก และผู้สูงอายุ ต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเป็นกรณีไป
- เรียนรู้สภาวะของร่างกายเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินไป เพื่อจะได้ใช้วิธีปฐมพยาบาลตนเองได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง “ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวาน”)
โดยทั่วไป เรามักจะพบเห็นการใช้ยาแพรมลินไทด์แต่ในสถานพยาบาลเท่านั้น การนำยากลับมาใช้ในที่พักอาศัย ผู้ป่วย/ญาติจะต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจการใช้ยานี้อย่างเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อย่างเคร่งครัด
อนึ่ง ประทศไทยอาจยังไม่พบเห็นการใช้ยานี้ แต่ในต่าง ประเทศเราจะพบเห็นการจัดจำหน่ายยาแพรมลินไทด์ภายใต้ชื่อการค้าว่า “Symlin”
แพรมลินไทด์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
ยาแพรมลินไทด์มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น
- รักษาโรคเบาหวานประเภท I และ II
แพรมลินไทด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธิ์ของยาแพรมลินไทด์จะโดยตัวยานี้ จะรบกวนการปลดปล่อยฮอร์โมนกลูคากอน(Glucagon)จากตับอ่อนซึ่งมีผลให้ลดการปลดปล่อยน้ำตาลกลูโคสจากตับ และยังจะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากระบบทางเดินอาหาร จากกลไกเหล่านี้ จึงมีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
แพรมลินไทด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาแพรมลินไทด์มีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น
- ยาฉีด ที่มีลักษณะเป็นสารละลายใส ที่ประกอบด้วยตัวยา Pramlintide acetate 0.6 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร หรือ 600 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร บรรจุขวด(Vial) 5 มิลลิลิตร
- ยาฉีดที่มีลักษณะใส บรรจุในปากกาฉีดยาพร้อมใช้งานในตัวปากกา(Penfill) โดยจะมีหลอดบรรจุยา Pramlintide acetate ขนาด 1,500 ไมโครกรัม/1.5 มิลลิลิตร หรือในขนาดบรรจุ 2,700 ไมโครกรัม/2.7 มิลลิลิตร รูปแบบเภสัชภัณฑ์นี้ทำให้สามารถฉีดยากับผู้ป่วยได้หลายครั้ง กรณีปากกาที่บรรจุยา 1,500 ไมโครกรัม/1.5 มิลลิลิตร สามารถปรับขนาดการฉีดยาให้ผู้ป่วยได้ 15, 30, 45 และ 60 ไมโครกรัม/ครั้ง หากเป็นปากกาที่มีขนาดบรรจุยา 2,700 ไมโครกรัม/2.7 มิลลิลิตร สามารถปรับขนาดการฉีดยาให้ผู้ป่วยได้สองระดับคือ 60 และ 120 ไมโครกรัม/ครั้ง การใช้ยาลักษณะปากกาฉีดยา จะต้องเปลี่ยนหัวเข็มฉีดยาทุกครั้ง ห้ามนำหัวเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำโดยเด็ดขาด
แพรมลินไทด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
ยาแพรมลินไทด์มีขนาดการบริหารยา/ใช้ยา เช่น
ก. สำหรับรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ II:
- ผู้ใหญ่: ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังครั้งละ 60 ไมโครกรัม ก่อนเวลารับประทานอาหารเล็กน้อย หากผู้ป่วยไม่มีอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ เป็นเวลา 3 วันอย่างต่ำ แพทย์อาจปรับขนาดการใช้ยาเป็น 120 ไมโครกรัม/ครั้ง
ข.สำหรับรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ I:
- ผู้ใหญ่: ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังครั้งละ 15 ไมโครกรัม ก่อนเวลารับประทานอาหารเล็กน้อย แพทย์อาจปรับขนาดการฉีดยาเพิ่มเป็น 30, 45 หรือ 60 ไมโครกรัม/ครั้ง ทุกๆ 3 วัน โดยผู้ป่วยต้องไม่มีอาการคลื่นไส้เกิดขึ้น
อนึ่ง:
- ในเด็ก: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกที่แน่ชัดถึง ขนาดยานี้ ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในเด็ก การใช้ยานี้ในเด็ก จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
- ควรนำยาแพรมลินไทด์ออกจากตู้เย็นสักครู่ก่อนฉีดยาให้ผู้ป่วย ไม่ควรฉีดยานี้ขณะที่ยามีอุณหภูมิต่ำ เพราะอาจส่งผลต่อการระคายเคืองบริเวณที่ฉีดยา และ/หรือลดประสิทธิภาพการดูดซึมชองยา
- การใช้ยานี้ร่วมกับยาอินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานประเภท II แพทย์จะปรับลดขนาดการใช้ยาอินซูลินเดิมลงมาเพื่อป้องกันมิให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำตามมา
- ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามปรับลดหรือเพิ่มขนาดการฉีดยเองโดยมิได้ปรึกษาแพทย์
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองเป็นประจำตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร หากพบว่าหลังการใช้ยาแพรมลินไทด์แล้ว ยังมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง ให้ผู้ป่วยรีบกลับมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็ว ไม่ต้องรอถึงวันแพทย์นัด
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาแพรมลินไทด์ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคไต โรคระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาแพรมลินไทด์อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมฉีดยาควรทำอย่างไร?
หากลืมฉีดยาแพรมลินไทด์ สามารถฉีดยาเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการใช้ยาในครั้งถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการฉีดยาเป็น 2 เท่า ให้ใช้ยาในขนาดปกติ
แต่อย่างไรก็ดี การหยุดใช้ยาแพรมลินไทด์กระทันหัน หรือลืมฉีดยานี้บ่อยครั้ง อาจก่อให้เกิดอาการน้ำตาลในเลือดสูงตามมา
แพรมลินไทด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาแพรมลินไทด์สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง การดูดซึมอาหารต่างๆของระบบทางเดินอาหารลดลง ตับอ่อนอักเสบ
- ผลต่อระบบประสาท: เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน
- ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น ไอ คออักเสบ
- ผลต่อผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นคันตามผิวหนัง
- ผลต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูก: เช่น ปวดข้อ
- ผลต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง เบื่ออาหาร
มีข้อควรระวังการใช้แพรมลินไทด์อย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาแพรมลินไทด์ เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ขณะใช้ยานี้เพราะจะทำให้เกิดภาวะ น้ำตาลในเลือดผิดปกติได้ง่ายทั้งอาจสูงขึ้นหรือต่ำลง
- ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก โดยไม่มีคำสั่งแพทย์
- ห้ามปรับขนาดการใช้ยาด้วยตนเอง และต้องใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ
- ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เกิดตะกอนขุ่น
- ใช้ยานี้ต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
- ควรเปลี่ยนตำแหน่งการฉีดยานี้ไม่ให้ซ้ำบริเวณเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงผิวหนังอักเสบในตำแหน่งฉีดยาซ้ำๆ
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองเป็นประจำตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร
- ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และพักผ่อน ตามที่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกรแนะนำ
- มาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อ แพทย์ตรวจร่างกาย ตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือดตามแพทย์นัดหมายทุกครั้ง
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาแพรมลินไทด์ด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยา ก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
แพรมลินไทด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาแพรมลินไทด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- การใช้ยาแพรมลินไทด์ร่วมกับ ยารักษาเบาหวานชนิดอื่น , กลุ่มยาMAOIs, ACE inhibitor, Salicylates, Disopyramide, Fibrates, Fluoxetine, Pentoxifylline, Propoxyphene, Somatostatin analogues ,Sulfonamide antibiotics อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายผู้ป่วยเป็นกรณีไป
- การใช้ยาแพรมลินไทด์ร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด อย่างเช่น Levonorgestrel จะเกิดการรบกวนการออกฤทธิ์ของยาแพรมลินไทด์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้อยลง หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาแพรมลินไทด์ตามความเหมาะสมเป็นรายบุคคลไป
- ห้ามใช้ยาแพรมลินไทด์ร่วมกับยา Gatifloxacin ด้วยจะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไม่ก็สูงตามมา
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแพรมลินไทด์กับกลุ่มยา Alphaglucosidase inhibitors (อย่างเช่นยา Acarbose), หรือกลุ่มยา Anticholinergics (เช่นยา Scopolamine, Hyoscyamine), ด้วยจะเสี่ยงทำให้ผู้ป่วยได้รับอาการข้างเคียงจากยาแพรมลินไทด์มากขึ้น
ควรเก็บรักษาแพรมลินไทด์อย่างไร?
ควรเก็บยาแพรมลินไทด์ ภายใต้อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งตู้เย็น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์ และเก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อนและความชื้น
แพรมลินไทด์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาแพรมลินไทด์ มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
SymlinPen 60 (ซิมลินเพน 60) | Sharp coporation |
SymlinPen 120 (ซิมลินเพน 120) | Sharp coporation |
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Pramlintide[2017,June10]
- https://www.drugs.com/pro/symlin.html[2017,June10]
- https://www.drugs.com/ppa/pramlintide.html[2017,June10]
- https://www.drugs.com/drug-interactions/pramlintide-index.html?filter=3&generic_only=[2017,June10]
- https://www.drugbank.ca/drugs/DB01278[2017,June10]
- https://www.accessdata.fda.gov/drugsatfda_docs/label/2014/021332s007_S016.pdf[2017,June10]