เฮปาโตบลาสโตมา (Hepatoblastoma)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 28 พฤศจิกายน 2561
- Tweet
- บทนำ
- โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาเกิดจากอะไร? มีปัจจัยเสี่ยงไหม?
- โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมามีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาได้อย่างไร?
- โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมามีกี่ระยะ?
- โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมารุนแรงไหม?
- รักษาโรคตับมะเร็งเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?
- มีผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?
- มีวิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาไหม?
- ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?
- ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- บรรณานุกรม
- มะเร็ง (Cancer)
- มะเร็งในเด็ก (Pediatric cancer)
- เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)
- มะเร็งตับ (Liver cancer)
- ยาเคมีบำบัด (Cancer chemotherapy)
- รังสีรักษา ฉายรังสี ใส่แร่ (Radiation therapy)
- การฉายรังสีรักษา เทคนิคการฉายรังสี (External irradiation)
- การฝากครรภ์ (Antenatal care)
- วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี
- โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Viral hepatitis B)
บทนำ
เฮปาโตบลาสโคมา/มะเร็งเฮปาโตบลาสโตมา หรือ มะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา(Hepatoblastoma ย่อว่า HB) เป็นมะเร็งตับปฐมภูมิของเด็ก/มะเร็งตับในเด็ก(Primary liver cancer, คือมะเร็งเกิดจากเซลล์ตับเอง ไม่ใช่มะเร็งอวัยวะอื่นๆแพร่กระจายมาตับ)โดยเฉพาะเด็กเล็ก โดยประมาณ 95% ของผู้ป่วยจะมีอายุต่ำกว่า 4 ปี (มักพบในช่วงอายุต่ำกว่า 1-2ปี)
เฮปาโตบลาสโตมา เป็นมะเร็งพบน้อย สถิติในสหรัฐอเมริกา พบในอายุน้อยกว่า1ปี 11.2ราย ต่อเด็ก1 ล้านคน และเป็นประมาณ 1.5 รายของมะเร็งในเด็กทั้งหมด(มะเร็งชนิดนี้พบในผู้ใหญ่เพียงเป็นการรายงานผู้ป่วยประปราย) พบในเด็กชายบ่อยกว่าเด็กหญิง ประมาณ 2-3:1 นอกจากนั้นคือ โรคส่วนใหญ่มักเกิดกับตับกลีบขวา ไม่ค่อยเกิดในตับกลีบซ้าย สำหรับในประเทศไทย มะเร็งชนิดนี้ พบได้น้อยมากเช่นกันและยังไม่มีการศึกษาสถิติการเกิดที่ชัดเจน
โรคมะเร็งตับในเด็ก(Pediatric liver cancer) มีหลากหลายชนิดเช่นเดียวกับโรคมะเร็งตับในผู้ใหญ่ แต่ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดเกือบทั้งหมดของมะเร็งตับในเด็ก คือ ชนิดที่เรียกว่า “เฮปาโตบลาสโตมา หรืออีกการออกเสียง คือ เฮพาโทบลาสโตมา(Hepatoblastoma)” ซึ่งในบทความนี้ จะกล่าวเฉพาะ ‘มะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาในเด็ก’เท่านั้น เพราะเป็นชนิดพบบ่อย และทั่วไปเมื่อกล่าวถึง มะเร็งตับในเด็ก หรือ”มะเร็งเฮปาโตบลาสโตมา” จะหมายถึง ”มะเร็งเฮปาโตบลาสโตมาในเด็ก”
มะเร็งเฮปาโตบลาสโตมา แบ่งเป็น2กลุ่มตามการพยากรณ์โรค คือ กลุ่มที่โรครุนแรงน้อย กับ กลุ่มที่โรครุนแรง
ก. กลุ่มโรคลุกลาม/รุนแรงน้อย เรียกว่ากลุ่ม ‘Standard-risk HB’ คือ มะเร็งลุกลามจำกัดเฉพาะในตับ และสามารถผ่าตัดก้อนมะเร็งออกได้หมด ร่วมกับมีสารมะเร็ง ชนิด Alphafetoprotein(AFP)ในเลือดมากกว่า100 ng/mL(นาโนกรัม/ลิตร)
ข.กลุ่มโรครุนแรง(High risk HB) คือ มะเร็งมีการแพร่กระจาย และ/หรือลุกลามทั่วตับ และ/หรือลุกลามออกนอกตับ และร่วมกับมีค่า AFPในเลือด น้อยกว่า100 ng/mL
โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาเกิดจากอะไร? มีปัจจัยเสี่ยงไหม?
สาเหตุเกิดมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาที่แน่นอนยังไม่ทราบ แต่พบปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
- เชื้อชาติ: พบในเด็กผิวขาวมากกว่าเด็กผิวดำ
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรมเกี่ยวกับติ่งเนื้อเมือกลำไส้ใหญ่ (Familial adenomatous polyposis:FAP)
- เด็กคลอดก่อนกำหนด และ/หรือน้ำหนักตัวแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ โดยเฉพาะต่ำกว่า 1,500 กรัม
- เด็กมีความพิการแต่กำเนิด เช่น มีอวัยวะข้างใดข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง (Hemihypertrophy) มีโรคหัวใจ และ/หรือมีไตพิการตั้งแต่กำเนิด
- มีประวัติติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ตั้งแต่แรกคลอด
โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมามีอาการอย่างไร?
อาการที่พบบ่อยที่สุดของมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา คือ การคลำได้ก้อนเนื้อในตับ/ในช่องท้องด้านขวาตอนบน(ตำแหน่งตับ)โดยไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย นอกจากนั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วยได้ เช่น
- ถ้าก้อนเนื้อโตมาก เด็กจะแน่นอึดอัดท้อง ปวดท้อง อาเจียนเมื่อกินอาหาร
- เบื่ออาหาร ผอมลง
- ภาวะซีด
- มีไข้ต่ำๆ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง (โรคดีซ่าน)
แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาได้จาก
- ประวัติอาการ ประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว ประวัติการคลอด
- อายุเด็ก
- การตรวจร่างกายเด็กแล้วคลำพบ ตับโต/ก้อนในตับ อาจร่วมกับเด็กมีความพิการแต่กำเนิด
- การตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็งที่สร้างจากเซลล์มะเร็งตับชนิดนี้ที่เรียกว่า AFP (Alpha fetoprotein)
นอกจากนั้น คือ
- การตรวจภาพตับด้วย อัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอมอาร์ไอ ตามดุลพินิจของแพทย์
- แต่การวินิจฉัยที่แน่นอนจะได้จากการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อในตับเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมามีกี่ระยะ?
ระยะโรคของมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา เป็นระยะโรคที่ต้องประเมินหลังผ่าตัด คือ ดูจากการผ่าตัดว่าโรคลุกลามไปอวัยวะใดบ้าง ดูว่าสามารถผ่าตัดก้อนเนื้อออกได้หมดหรือไม่ และจากการตรวจก้อนเนื้อที่ผ่าตัดทางพยาธิวิทยาว่า เซลลมะเร็งลุกลามอย่างไร ที่เรียกว่า “Surgical staging” โดยทั่วไปแบ่งโรคเป็น 4 ระยะ คือ
- ระยะที่1 ก้อนเนื้อมะเร็ง/โรคลุกลามอยู่เฉพาะในตับและสามารถผ่าตัดก้อนเนื้อออกได้ทั้งหมด ทั้งที่มองเห็นจากตาเปล่าและจากการตรวจทางพยาธิวิทยา
- ระยะที่2 โรคลุกลามอยู่เฉพาะที่ตับ และจากตาเปล่าสามารถผ่าตัดก้อนเนื้อได้หมด แต่การตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า ยังมีเซลล์มะเร็งเหลือค้างในตับ
- ระยะที่3 ไม่สามารถผ่าตัดก้อนเนื้อได้ หรือผ่าตัดออกได้ไม่หมด(มองเห็นว่ามะเร็งเหลืออยู่ด้วยตาเปล่า) และ/หรือโรคลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียงและ/หรือเข้าต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่4 โรคแพร่กระจายเข้าสู่กระแสโลหิตไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่พบบ่อย คือ ปอด รองลงไปคือ สมอง (โดยเฉพาะกรณีเมื่อโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ) แต่ไม่ค่อยพบแพร่กระจายไปกระดูก
โรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมารุนแรงไหม?
การพยากรณ์โรค/ความรุนแรงของมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา ขึ้นกับ
- ระยะโรค ยิ่งระยะโรคสูงขึ้น การพยากรณ์โรคไม่ดี
- ชนิดของเซลล์มะเร็ง ถ้าเซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวสูง การพยากรณ์โรคเลวกว่าชนิดเซลล์แบ่งตัวต่ำ
- การผ่าตัด ถ้าผ่าตัดมะเร็งออกได้หมด การพยากรณ์โรคดีกว่า และ
- การตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด การพยากรณ์โรคดีเมื่อเซลล์มะเร็งตอบสนองดีต่อยาเคมีบำบัด
ทั้งนี้
- ในโรคระยะที่1และ2 ชนิดเซลล์แบ่งตัวต่ำ การพยากรณ์โรคดีมาก อัตรารอดที่ห้า ปี นับหลังการวินิจฉัยโรคได้ สูงถึงประมาณ 80-95%
- ส่วนในโรคระยะอื่นๆ ถ้าโรคตอบสนองได้ดีต่อยาเคมีบำบัด และสามารถผ่าตัดก้อนเนื้อได้ อัตรารอดฯที่ 3 ปี ประมาณ 70%
- แต่ถ้าโรคตอบสนองไม่ดีต่อยาเคมีบำบัด และ/หรือผ่าตัดไม่ได้ การพยากรณ์โรคไม่ดี มักไม่มีอัตรารอดที่ 3ปี
รักษาโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?
วิธีหลักในการรักษามะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา คือ
- การผ่าตัด ร่วมกับยาเคมีบำบัด
- ส่วนรังสีรักษาจะพิจารณาผู้ป่วยเป็นรายๆไป เช่น กรณีมีการแพร่กระจายเข้าสู่กระดูก หรือสมอง และ
- ในส่วนการรักษาด้านยารักษาตรงเป้า/ ยารักษาแบบจำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง ยังอยู่ในการศึกษา
นอกจากนั้น ในกรณีที่โรคลุกลามมาก แต่จำกัดอยู่เฉพาะในตับ ไม่ลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียง หรือเข้าต่อมน้ำเหลือง แพทย์อาจพิจารณาผู้ป่วยเป็นรายๆไปเพื่อ
- การรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนตับ(Liver transplantation)
มีผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?
ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา ขึ้นกับวิธีรักษา ได้แก่
- การผ่าตัด: เช่น การสูญเสียอวัยวะ การเสียเลือด แผลผ่าตัดติดเชื้อ และเสี่ยงต่อการดมยาสลบ
- ยาเคมีบำบัด: เช่น อาการ คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ภาวะซีด และการติดเชื้อจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากเคมีบำบัด และ / หรือรังสีรักษา: การดูแลตนเอง) และการมีเลือดออกได้ง่ายจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- รังสีรักษา: แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บhaamor.com บทความเรื่อง รังสีรักษา การฉายรังสี และการใส่แร่ และเรื่อง เทคนิคการฉายรังสีรักษา
- ยารักษาตรงเป้า /ยารักษาแบบจำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บhaamor.com บทความเรื่อง ยารักษาแบบจำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง
มีวิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาไหม?
ปัจจุบัน ยังไม่มีการแนะนำอย่างเป็นทางการในวิธีตรวจคัดกรองให้พบมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาระยะยังไม่มีอาการ
ควรพบแพทย์เมื่อไร?
ในเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังบอกเล่าอาการไม่ได้ ผู้ปกครองต้องคอยหมั่นดูแล เอาใจใส่ และเมื่อคลำพบก้อนเนื้อผิดปกติ ไม่ว่าเกิดในส่วนใดของร่างกาย ต้องรีบนำเด็กพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
ป้องกันโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุเกิดโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา การป้องกันโรคเต็มร้อยจึงเป็นไปไม่ได้ แต่อาจลดปัจจัยเสี่ยงลงได้ ถ้ามารดามีความพร้อมและดูแลการตั้งครรภ์เป็นอย่างดี เช่น
- การปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ตั้งแต่ทราบว่าตั้งครรภ์ ทั้งนี้เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากคลอดก่อนกำหนด และ/หรือ จากภาวะเด็กมีน้ำหนักตัวน้อย และ/หรือจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดา และ
- การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด ก็อาจลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคนี้ลงได้
ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมาอย่างไร?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเฮปาโตบลาสโตมา จะอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ยังเป็นเด็กเล็ก การดูแลจึงต้องอาศัยบิดามารดา ญาติพี่น้อง ซึ่งต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล ที่ให้การรักษาเด็ก และต้องนำเด็กพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตรงตามนัดเสมอ (แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเด็ก ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง โรคมะเร็งเด็ก)
ผู้ดูแลเด็ก ควรต้องมีสมุดจดบันทึกอาการเด็ก และข้อสงสัย เพื่อการบอกเล่า ปรึกษา สอบถาม แพทย์ พยาบาล ได้ครบถ้วน ถูกต้อง รวมทั้งควรจดบันทึกคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล ด้วย เพื่อการดูแลเด็กได้ถูกต้องเช่นกัน
ผู้ดูแลเด็ก ต้องหมั่นสังเกตอาการต่างๆของเด็ก เพราะเด็กเล็กเกินกว่าจะบอกเล่าได้ ซึ่งควรต้องรีบนำเด็กพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนกำหนดแพทย์นัดเสมอเมื่อเด็ก
- มีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือ
- มีอาการต่างๆเลวลง หรือ
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งมาก เช่น ท้องผูกมาก อาเจียนทุกครั้งที่กินยา
- ผู้ปกครอง/ผู้ดูแลเด็ก กังวลในอาการเด็ก
บรรณานุกรม
- Czauderna.P , Garnier H. (2018). https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5770992/ [2018,Nov10]
- DeVita, V., Hellman, S., and Rosenberg, S. (2005). Cancer: principles& practice of oncology (7th edition). New York: Lippincott Williams & Wilkins.
- Halperin,E., Wazer, D., Perez,C., and Brady,L. (2013). Principle and practice of radiation oncology.(6th ed). Walter KLUWER/Lippincott Williams & Wilkins. Philadelphia.
- Hiyama, E. Transl Pediatr.(2014); 3(4):293-299
- http://www.acco.org/hepatoblastoma/ [2018,Nov10]
- https://emedicine.medscape.com/article/986802-overview#showall [2018,Nov10]
- http://www.chp.edu/our-services/transplant/liver/education/liver-disease-states/hepatoblastoma-liver-cancer [2018,Nov10]
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22692949% [2018,Nov10]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Hepatoblastoma [2018,Nov10]