เบาหวานขึ้นตา เบาหวานกินตา (Diabetic retinopathy) - Update
- โดย ชฎาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์ และ ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู
- 15 สิงหาคม 2568
- Tweet
สารบัญ
- เกริ่นนำ (Introduction)
- อาการและสัญญาณบ่งชี้ (Signs and symptoms)
- การวินิจฉัยและการจำแนกประเภท (Diagnosis and classification)
- การตรวจคัดกรอง (Screening)
- สาเหตุ (Causes)
- ปัจจัยเสี่ยง (Risk factors)
- พยาธิสรีรวิทยา (Pathogenesis)
- การรักษา (Management)
- ระยะ NPDR ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง (Mild or moderate NPDR)
- ภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน (Diabetic macular edema)
- การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser photocoagulation)
- การยิงเลเซอร์ทั่วจอตา (Panretinal laser photocoagulation)
- การใช้ยา (Medications)
- การฉีดไตรแอมซิโนโลนเข้าวุ้นตา (Intravitreal triamcinolone acetonide)
- การฉีดสารต้าน VEGF เข้าวุ้นตา (Intravitreal anti-VEGF)
- อื่นๆ (Other)
- การผ่าตัด (Surgery)
- ระบาดวิทยา (Epidemiology)
- การศึกษาวิจัย (Research)
- การรักษาด้วยแสง (Light treatment)
- ซีเปปไทด์ (C-peptide)
- การบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell therapy)
- การควบคุมความดันโลหิต (Blood pressure control)
- การวิเคราะห์ภาพจอตาด้วยเครื่องตรวจตา (Fundoscopic image analysis)
เกริ่นนำ
“เบาหวานขึ้นจอตา” (Diabetic retinopathy) หรือที่เรียกกันว่า “โรคเบาหวานขึ้นตา” เป็นภาวะทางการแพทย์ที่เกิดจากความ เสียหายที่จอตาอันเป็นผลมาจากโรคเบาหวาน โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังเป็นหนึ่งใน สาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นทั่วโลก แม้ว่าจะมีแนวทางการรักษาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้นก็ตาม
โรคเบาหวานขึ้นจอตาส่งผลกระทบได้ถึง ร้อยละ 80 ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 มาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ในกรณีของผู้ป่วยรายใหม่ ความรุนแรงเพ่ิ่มขึ้นของโรคในจอตาและโรคของจุดภาพชัดสามารถลดลงได้อย่างน้อย ร้อยละ 90 ด้วยการรักษาและการตรวจติดตามทางจักษุที่เหมาะสม ระยะเวลาที่บุคคลเป็นโรคเบาหวานนานขึ้น ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิด ภาวะนี้ ในแต่ละปีในสหรัฐอเมริกา โรคเบาหวานขึ้นจอตาพบเป็นร้อยละ 12 ของผู้ป่วยตาบอดรายใหม่ทั้งหมด และยังเป็นสาเหตุ หลักของการตาบอดในประชากรที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 64 ปี

อาการและสัญญาณบ่งชี้
ผู้ป่วยเบาหวานแทบทุกคนจะมีความเสียหายบางระดับที่จอตา (Retinopathy) เมื่อเวลาผ่านไปหลายทศวรรษของการเป็นโรค เบาหวาน สำหรับหลายคน ความเสียหายนี้สามารถตรวจพบได้จากการตรวจจอตา แต่ไม่มีผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างชัดเจน
เมื่อเวลาผ่านไป ความเสียหายที่จอตาอาจปรากฏให้เห็นในการตรวจ เช่น หลอดเลือดขนาดเล็กโป่งพอง ในจอตา (Micro-aneurysms) จากนั้นจะเกิดความผิดปกติที่ใหญ่ขึ้น เช่น จุดปุยฝ้าย (การขาดเลือดของเส้นใยประสาทในจอตา) (Cotton wool spots), จุดเลือดออก, การสะสมของไขมันที่เรียกว่า "Hard exudates", ความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กในจอตา และ หลอดเลือดดำในจอตาที่ดูผิดปกติ
ในระยะต่อมา ผู้ป่วยจำนวนมากอาจเข้าสู่ระยะที่มีการเจริญเติบโตของหลอดเลือดใหม่ทั่วจอตา ซึ่งหลอดเลือดใหม่เหล่านี้ มักแตกและเกิดเลือดออก การเลือดออกเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เกิดจุดดำลอยไปมาขวางการมองเห็น ส่วนเลือดออกปริมาณมาก สามารถบดบังการมองเห็นทั้งหมดได้
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานขึ้นจอตาจะเกิดอาการบวมที่บริเวณจุดภาพชัด ซึ่งเรียกว่า "จุดภาพชัดบวม" (Macular edema) และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากการบวมเกิดขึ้นใกล้กับศูนย์กลางของจุดภาพชัด อาจส่งผลกระทบ ต่อการมองเห็น ตั้งแต่ภาพเบลอเล็กน้อยไปจนถึงการสูญเสียการมองเห็นในบริเวณศูนย์กลางของสายตาอย่างรุนแรง
หากไม่ได้รับการรักษา ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่มีอาการบวมดังกล่าวจะประสบปัญหาการมองเห็นภายใน 3–5 ปีข้างหน้า จุดภาพชัดบวมเป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุดของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตา กระบวนการที่เกิดขึ้น ซ้ำๆ ของการเจริญเติบโตของหลอดเลือดการบวม และการเกิดแผลเป็นสามารถนำไปสู่ภาวะ จอตาลอกหลุด (Retinal detachment) ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของจุดดำลอยไปมาแบบเฉียบพลัน แสงวาบ หรือการมองเห็นที่พร่ามัว
การวินิจฉัยและการจำแนกประเภท
โรคเบาหวานขึ้นจอตา (กได้รับการวินิจฉัยโดยการตรวจจอตาด้วยเครื่องตรวจส่องภายในลูกตา (Ophthalmoscopy) สถาบัน จักษุวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Ophthalmology) แบ่งระดับความรุนแรงของโรคออกเป็น 5 ระดับตามการดำเนินโรค
- ไม่มีภาวะจอตาผิดปกติให้เห็น – จอตายังมีสุขภาพดีตามการตรวจ
- ระดับอ่อน (Mild NPDR) – มีหลอดเลือดขนาดเล็กโป่งพอง (Microaneurysm) ในจอตา แต่ไม่มีความเสียหายเพิ่มเติม
- ระดับปานกลาง (Moderate NPDR) – มีความเสียหายมากขึ้นกว่า NPDR ระดับอ่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง
- ระดับรุนแรง (Severe NPDR) – มีเลือดออกมากกว่า 20 จุดในแต่ละส่วนของจอตา เมื่อแบ่งพื้นที่จอตาเป็น 4 ส่วน มีลักษณะของหลอดเลือดดำผิดปกติที่เรียกว่า"venous beading"อย่างน้อย 2 ส่วนจากพื้นที่ 4 ส่วนและพบความ ผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กภายในจอตา (IRMA)อย่างชัดเจน
- ระดับลุกลาม (Proliferative diabetic retinopathy) – มีหลอดเลือดใหม่เกิดขึ้นทั่วจอตา (Retinal neo-vascularization) หรือมีเลือดไหลเข้าสู่วุ้นตา (Vitreous hemorrhage) หรือระหว่างเยื่อหุ้มวุ้นตากับจอตา (Preretinal hemorrhage)
แนวทางเดียวกันนี้แบ่งภาวะจุดภาพชัดบวม ออกเป็น 2 ประเภท:
- ไม่มีภาวะจุดภาพชัดบวม (Macular edema apparently absent)
- มีภาวะจุดภาพชัดบวม (Macular edema apparently present) – พบอาการบวม ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ได้แก่:
- ระดับน้อย (Mild) – มีอาการบวมของจอตาหรือมีการสะสมของไขมันห่างจากศูนย์กลางของจุดภาพชัด
- ระดับปานกลาง (Moderate) – มีอาการบวมหรือการสะสมของไขมันอยู่ใกล้ศูนย์กลางของจุดภาพชัด
- ระดับรุนแรง (Severe) – มีอาการบวมหรือการสะสมของไขมันที่โดนศูนย์กลางของจุดภาพชัด
ซึ่งโดยทั่วไป จะใช้การตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพตัดขวางจอตาด้วยแสง (Optical coherence tomography: OCT) ในการ ประเมินภาวะจุดภาพชัดบวม
การตรวจหลอดเลือดจอตาด้วยฟลูออเรสซีน (Fluorescein angiography) ถูกใช้โดยผู้เชี่ยวชาญด้านจอตาเพื่อประเมิน ระดับความรุนแรงของโรคเบาหวานขึ้้นจอตาและระบุตำแหน่งของความเสียหายที่จุดภาพชัด
การตรวจคัดกรอง
เนื่องจากโรคเบาหวานขึ้นจอตามักไม่มีอาการในระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ จนกว่าจะไป พบจักษุแพทย์ ทั้งสมาคมโรคเบาหวานแห่งอเมริกา (ADA) และสภาจักษุแพทย์สากล (ICO) แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้ารับ การตรวจตาเป็นประจำเพื่อตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขึ้นจอตา (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์) ADA แนะนำให้ตรวจตา อย่างละเอียดตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และภายใน 5 ปีหลังจากเริ่มมีอาการของเบาหวานชนิดที่ 1 สำหรับผู้หญิงที่เป็นเบาหวานและตั้งครรภ์ ADA แนะนำให้ตรวจตาก่อนตั้งครรภ์ ทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์ และหนึ่งปีหลังคลอด ICO แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้ารับการตรวจตา ซึ่งรวมถึงการตรวจวัดสายตาและตรวจจอตา ด้วยการส่องตรวจตา หรือการถ่าย ภาพจอตา
ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักรเป็นประเทศเดียวที่มีโครงการตรวจคัดกรองโรคจอตาจากเบาหวานในระดับประเทศ อย่างครบถ้วน ขณะที่บางพื้นที่ในยุโรป เอเชีย และบอตสวานา ได้ดำเนินโครงการตรวจคัดกรองในระดับภูมิภาค ในสหราชอาณา จักร การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขึ้นจอตาถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน โดยหลังจากได้รับการตรวจ คัดกรองครั้งแรกที่ไม่มีความผิดปกติแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเพิ่มเติมทุกปี ทั้งนี้้เทคโนโลยีตรวจตาทางไกล (Teleophthalmology) ถูกนำมาใช้ในโครงการเหล่านี้ด้วย
สาเหตุ
โรคเบาหวานขึ้นจอตาเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดเลือดขนาดเล็กในจอตาได้รับความเสียหาย แม้ว่ากลไกที่แน่ชัดของกระบวนการนี้จะยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด การดำเนินโรคมักเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเซลล์ของผนัง เส้นเลือด ฝอย ความสามารถในการซึมผ่านของหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น และการไหลเวียนของเลือดในจอตาที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ ปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงจอตาลดลง เมื่อเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ร่างกายจะกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ ทั่วทั้งจอตา นำไปสู่ระยะลุกลามของโรค ทั้งนี้หลอดเลือดใหม่เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะแตกง่าย ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในตา เกิดแผลเป็น และความเสียหายต่อจอตาหรือจุดภาพชัดงานวิจัยล่าสุดพบว่ามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่าง โรคเบาหวาน ขึ้นจอตาและภาวะอักเสบ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคเบาหวานขึ้นจอตา ได้แก่ ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดี และในระดับที่ รองลงมา คือ ภาวะความดันโลหิตสูง ห้าปีหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน พบว่าประมาณร้อยละ 25ของผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 1 จะมีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาในบางระดับของความรุนแรง และ ร้อยละ 2 มีเบาหวานขึ้นจอตา ชนิดลุกลาม
หลังจากได้รับการวินิจฉัยโรคเบาหวานเป็นเวลา 15 ปี อัตรานี้จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 ที่ตรวจพบมีภาวะเบาหวานขึ้นจอตา และ ร้อยละ 25 พบว่ามีเบาหวานขึ้นจอตาชนิดลุกลาม
เด็กมีข้อยกเว้น เด็กจะไม่พบความสัมพันธ์ ของระยะเวลาของการเป็นเบาหวานกับเบาหวานขึ้นจอตาในเด็กมักไม่พบเบาหวาน ขึ้นจอตาที่คุกคามการมองเห็น อย่างไรก็ตาม วัยเจริญพันธุ์พบว่าสามารถเร่งให้โรคเบาหวานขึ้นจอตาดำเนินไปเร็วขึ้น
การตั้งครรภ์ก็สามารถเร่งการดำเนินโรคได้เช่นกัน (แต่ผู้หญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ไม่ได้มีความเสี่ยง ต่อโรคเบาหวาน ขึ้นจอตา)
ทั้งระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรัง (ซึ่งวัดได้จากค่า HbA1c ที่สูง) และระดับน้ำตาลในเลือดที่แปรปรวนมาก ล้วนมีความสัมพันธ์กับ การเกิดโรคเบาหวานขึ้นจอตา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงรองอื่นๆ ที่ทำให้โรคเบาหวานขึ้นจอตาแย่ลง ได้แก่ โรคไต ความผิดปกติ ของไขมันในเลือด ดัชนีมวลกายที่สูง และการสูบบุหรี่
ความโน้มเอียงทางพันธุกรรมต่อโรคเบาหวานขึ้นจอตาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เกี่ยวข้องกับการกลายพันทางพันธุกรรม หลาย ตำแหน่งทั่วทั้งจีโนม ซึ่งร่วมกันส่งผลต่อความเสี่ยงของโรค (เรียกว่าความเสี่ยงเชิงพหุยีน) และมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยง ทางพันธุกรรมของระดับน้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอลชนิดไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) และความดันโลหิตซิสโตลิก นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการกลายพันธุ์บางตำแหน่งในยีน VEGFC ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเกิด ภาวะจุดภาพชัด บวม (Macular edema)
ผู้ที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม ซึ่งมีสารพันธุกรรมของโครโมโซม 21 มากกว่าปกติ แทบจะไม่เป็นโรคจอตาจากเบาหวานเลย การป้องกันนี้ดูเหมือนจะเกิดจากระดับที่สูงขึ้นของเอนโดสแตติน ซึ่งเป็นโปรตีนต้านการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Anti-angiogenic protein) ที่ได้มาจากคอลลาเจนชนิดที่ XVIII โดยยีนที่ควบคุมการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ XVIII นั้นตั้งอยู่บนโครโมโซม 21
พบว่าอุบัติการณ์ในกลุ่มผู้ป่วยจอตาเสื่อมชนิดเรตินิติสพิกเมนโตซา (Retinitis Pigmentosa) พบว่ามีโรคจากหลอดเลือด ขนาดเล็กที่มีจำนวนน้อยกว่าและมีความรุนแรงลดลง ทั้งในมนุษย์และแบบจำลองในหนู โดยโรคนี้ทำให้เซลล์รับแสงแบบแท่ง (Rod receptors) ในบริเวณรอบกลางของจอตาสูญเสียไป ส่งผลให้มีการใช้ออกซิเจนน้อยลง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปล่อย VEGF และการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไม่พึงประสงค์ในจอตาที่น้อยลง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) มีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคตาจากเบาหวานที่สูงขึ้น เนื่องจากระดับ ออกซิเจนในเลือดลดลงจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจช่วงบนเป็นระยะๆ การรักษา OSA สามารถช่วยลดความเสี่ยงของ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้
พยาธิสรีรวิทยา
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา เกิดจากความเสียหายต่อหลอดเลือดขนาดเล็กและเซลล์ประสาทของจอตา การเปลี่ยนแปลงในระยะแรก ที่นำไปสู่ภาวะนี้ ได้แก่
- หลอดเลือดแดงที่จอตาตีบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงจอตาน้อยลง
- เซลล์ประสาทในจอตาชั้นในทำงานผิดปกติ และในระยะต่อมา เซลล์ในจอตาชั้นนอกก็ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มเปลี่ยนไป
- การทำงานของกำแพงกั้นเลือดที่จอตาบกพร่อง ซึ่งปกติช่วยปกป้องจอตาจากสารในเลือด เช่น สารพิษและเซลล์ภูมิคุ้มกัน เมื่อระบบนี้เสียหาย ทำให้เลือดรั่วเข้าสู่เครือข่ายของเส้นใยประสาทและเซลล์ประสาทที่จอตา (Retinal neuropile) ในระยะหลัง
- เยื่อฐานของหลอดเลือดที่จอตาหนาขึ้น
- เส้นเลือดฝอยเสื่อมสภาพและสูญเสียเซลล์ โดยเฉพาะเพอริไซต์และเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
- เกิดการไหลเวียนเลือดลดลงและภาวะขาดเลือดเรื้อรัง
- เกิดหลอดเลือดโป่งพองขนาดเล็ก ดูเหมือนโครงสร้างคล้ายบอลลูนที่นูนออกจากผนังเส้นเลือดฝอย และอาจกระตุ้นการอักเสบ
- เซลล์ประสาทและเซลล์เกลียของจอตาทำงานผิดปกติและเสื่อมสภาพมากขึ้น โดยทั่วไป ภาวะนี้มักพัฒนาหลังจาก ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานประมาณ 10 – 15 ปี
งานวิจัยเชิงทดลองชี้ให้เห็นว่าการตายของเพอริไซต์ (Pericyte) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไปกระตุ้น โปรตีนไคเนส ซี (Protein Kinase C) และกลุ่มของเอนไซม์โปรตีนไคเนสที่ถูกกระตุ้นโดยไมโตเจน (Mitogen-activated protein Kinase หรือ MAPK) โดยผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ส่งผลให้การส่งสัญญาณผ่านตัวรับของปัจจัยการเจริญเติบโต จากเกล็ดเลือด (Platelet-Derived Growth Factor Receptors) ถูกยับยั้ง ทั้งที่สัญญาณนี้มีบทบาทสำคัญต่อการอยู่รอด การเพิ่มจำนวน และการเติบโตของเซลล์ เมื่อสัญญาณดังกล่าวถูกตัดออก เซลล์ในโมเดลทดลองนี้จึงเข้าสู่กระบวนการตายของ เซลล์แบบโปรแกรม (Apoptosis)
นอกจากนี้ ปริมาณซอร์บิทอลที่มากเกินไปในผู้ป่วยเบาหวานสามารถสะสมในเนื้อเยื่อจอตา และยังมีการเสนอว่ามีบทบาท ในการเกิดภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
งานวิจัยล่าสุดพบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างการอักเสบของจอตาและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเบาหวานขึ้น
จอตา
งานวิจัยด้านพันธุศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าโรคเบาหวานขึ้นจอตามีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับระดับน้ำตาลในเลือด, คอเลส เตอรอลชนิดไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL cholesterol), และความดันโลหิตค่าซิสโตลิก ซึ่งบ่งชี้ว่าการควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดและปัจจัยด้านระบบเผาผลาญหัวใจ (Cardiometabolic factors) อาจมีบทบาทสำคัญในการเกิดโรคเบาหวานขึ้นจอตา
การเกิดออกซิเดชันของไขมัน (Lipid peroxidation) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินโรคเบาหวานขึ้นจอตา อนุมูลอิสระ เช่น ไฮดรอกซิล (Hydroxyl) และไฮโดรเปอร์ออกซิล (Hydroperoxyl) ซึ่งมีออกซิเจนเป็นหมู่ฟังก์ชัน สามารถออกซิไดซ์ไขมันและ ฟอสโฟลิพิด ในระดับเซลล์ กระบวนการนี้ส่งผลให้เกิดออกซิเดชันของไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์ และในทางนี้สามารถกระตุ้น ให้เกิด โรคเบาหวานขึ้นจอตาได้
การรักษา
แม้ว่าวิธีการรักษาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพสูงในการชะลอหรือหยุดการสูญเสียการมองเห็นเพิ่มเติม แต่ก็ไม่สามารถรักษาโรค เบาหวานขึ้นจอตาให้หายขาดได้ การยิงเลเซอร์ควรทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจทำให้เนื้อเยื่อของจอตาสูญเสียไป โดยทั่วไป การฉีดยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) หรือยาต้าน VEGF มักเป็นทางเลือกที่ใช้มากกว่า โดยในผู้ป่วย บางราย การรักษานี้ามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการบวมน้ำที่บริเวณจุดภาพชัด
นอกจากนี้ การรักษาตามแบบมาตรฐานสำหรับภาวะเบาหวานขึ้นจอตา รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้
- ระยะ NPDR ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
สำหรับผู้ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาระยะไม่รุนแรงถึงปานกลาง สถาบันจักษุวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำ ให้ตรวจจอตา ทุก 6 ถึง 12 เดือน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปเป็นภาวะ เบาหวานขึ้น จอตาแบบลุกลาม หรือเกิดภาวะบวมน้ำ ที่จุดภาพชัด การฉีดยาต้าน VEGF (anti-VEGF drugs) หรือสเตียรอยด์ สามารถช่วยลดการดำเนินโรคของภาวะเบาหวาน ขึ้นจอตาได้ในประมาณครึ่งหนึ่งของดวงตาที่ได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการรักษานี้ จะช่วยปรับปรุง การมองเห็นในระยะยาวหรือไม่ ยาเฟโนไฟเบรต (Fenofibrate) ซึ่งเป็นยาลดไขมัน ยังพบว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยชะลอการดำเนินโรคในผู้ที่มีภาวะเบาหวาน ขึ้นจอตาในระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง
- ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวาน
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการสูญเสียการมองเห็น โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะบวมน้ำใกล้จุดภาพชัด จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรักษา ด้วยการฉีดยาต้าน VEGF เช่น flibercept, bevacizumab, หรือ ranibizumab
ในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการกำหนดปริมาณยาที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย แต่โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักได้รับการฉีดยา ในช่วง ปีแรกของการรักษาบ่อยกว่า และหลังจากนั้นจะลดความถี่ลงเพื่อควบคุมสภาวะโรคให้คงตัว
ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้าน VEGF อาจได้รับการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ (laser photocoagulation) ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบของ เลเซอร์ที่ปล่อยพัลล์สั้นๆ
สำหรับผู้ที่มีภาวะบวมน้ำที่จุดภาพชัดแต่ยังไม่สูญเสียการมองเห็น การรักษาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ชัดเจน สถาบันจักษุวิทยา แห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ชะลอการรักษาไปจนกว่าค่าการมองเห็น (Visual acuity) ลดลงถึงอย่างน้อยระดับ 20/30
อาการของภาวะจุดภาพชัดบวมเนื่องจากโรคเบาหวาน (diabetic macular edema) นั้นคาดการณ์ได้ยาก มีการพบว่า แอนติบอดีต่อต้านเอนไซม์เฮกโซไคเนส 1 (Hexokinase 1 Autoantibodies) มีความเกี่ยวข้องกับโรคนี้ โดยพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยมีผลเป็นบวกต่อแอนติบอดีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม แอนติบอดีเหล่านี้พบได้น้อยมากในผู้ที่เป็นภาวะเบาหวานขึ้นจอตาหรือโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว และไม่สามารถใช้คาดการณ์การเกิดโรคได้ มีแนวโน้มว่าแอนติบอดีเหล่านี้เกิดขึ้นจากสิ่งกระตุ้น ที่สร้างความเสียหาย ต่อเนื้อเยื่อในระยะเริ่มต้นของภาวะบวมน้ำที่จุดภาพชัดเนื่องจากโรคเบาหวาน ไม่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดล่วงหน้า ของภาวะจุดภาพชัดบวมด้
- การรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ สามารถใช้ใน 2 กรณีสำหรับการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ได้แก่
-
- รักษาภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน
- การยิงเลเซอร์ทั่วจอตา (Panretinal photocoagulation) เพื่อควบคุมการเติบโตของหลอดเลือดผิดปกติ (Neovascularization) ซึ่งนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในระยะเริ่มต้นของภาวะเบาหวานขึ้นจอตาแบบลุกลาม โดยมีเลเซอร์หลายประเภทที่สามารถใช้ในการรักษา และมีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนประสิทธิภาพ ของเลเซอร์ในการรักษาโรคเบาหวานขึ้นจอตาแบบลุกลาม
- การยิงลเซอร์ทั่วจอตา
สำหรับผู้ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาแบบลุกลาม หรือแบบไม่ลุกลามแต่มีความรุนแรง การสูญเสียการมองเห็นสามารถป้องกันได้ ด้วยการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ทั่วจอตา
เป้าหมายของการรักษาคือการสร้างรอยไหม้ 1,600–2,000 จุด บนจอตา เพื่อช่วยลดความต้องการออกซิเจนของจอตา และลด โอกาสเกิดภาวะขาดเลือด (Ischemia) กระบวนการนี้ดำเนินการหลายครั้ง แทนที่จะทำเพียงครั้งเดียว เพื่อให้จอตาปรับตัวและลด ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ในการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอตาขั้นสูง รอยไหม้ที่เกิดจากเลเซอร์ถูกใช้เพื่อทำลายหลอดเลือดใหม่ ที่ผิดปกติซึ่งก่อตัวขึ้น บน จอตา วิธีนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นอย่างรุนแรงในผู้ที่มีความเสี่ยงได้ร้อยละ 50
ก่อนรักษาด้วยเลเซอร์ จักษุแพทย์จะขยายม่านตาและหยอดยาชา เพื่อลดความรู้สึกบริเวณดวงตา ในบางกรณี แพทย์อาจฉีดยาชา บริเวณด้านหลังดวงตาเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายเพิ่มเติม
ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยจะนั่งหันหน้าเข้าหาเครื่องเลเซอร์ ในขณะที่แพทย์จับเลนส์พิเศษบนดวงตา แพทย์สามารถใช้ เลเซอร์ แบบจุดเดี่ยว (Single-spot laser), เลเซอร์แบบแพทเทิร์น (Pattern-scan laser) ซึ่งสร้างรูปทรงสองมิติ เช่น สี่เหลี่ยม วงแหวน และเสี้ยววงกลม, หรือ เลเซอร์นำทาง (Navigated laser) ซึ่งทำงานโดยติดตามการเคลื่อนไหวของจอตาแบบเรียลไทม์ ระหว่าง กระบวนการ ผู้ป่วยจะเห็นแสงวาบ ซึ่งมักทำให้รู้สึกไม่สบายคล้ายอาการแสบตา
หลังการรักษาด้วยเลเซอร์ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยงดขับรถเป็นเวลาหลายชั่วโมง เนื่องจากม่านตายังขยายอยู่ การมองเห็นมักจะ ยังคงพร่ามัวไปจนถึงช่วงที่เหลือของวัน แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่มีอาการเจ็บปวดที่ดวงตาโดยตรง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึก ปวดศีรษะคล้ายอาการปวดเมื่อรับประทานไอศกรีม ซึ่งอาจคงอยู่ได้หลายชั่วโมงหลังการรักษา
หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็นบริเวณรอบข้าง (Peripheral vision) ไปบางส่วน แม้ว่าผู้ป่วยอาจแทบไม่สังเกตเห็น การเปลี่ยนแปลงนี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ช่วยรักษาการมองเห็นบริเวณตรงกลางของภาพ ทำให้ผู้ป่วยยังสามารถมองเห็น สิ่งสำคัญได้ตามปกติ ในการนี้ การรักษาด้วยเลเซอร์อาจส่งผลให้การมองเห็นสีและการมองเห็นตอนกลางคืนลดลงเล็กน้อยด้วย
ผู้ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาแบบลุกลามจะยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกใหม่อยู่เสมอ รวมถึงโรคต้อหิน (Glaucoma) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ ดังนั้น อาจต้องได้รับการรักษาหลายครั้ง เพื่อปกป้องการมองเห็น และควบคุมอาการของโรค
การใช้ยา
- การฉีดไตรแอมซิโนโลนเข้าวุ้นตา
ไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) เป็นสเตียรอยด์ชนิดออกฤทธิ์ยาวที่ใช้รักษาภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน การฉีด ไตรแอมซิโนโลนเข้าในวุ้นตาอาจช่วยปรับปรุงความสามารถในการมองเห็นได้ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก เมื่อฉีด ยาเข้าไปในวุ้นตา ไตรแอมซิโนโลนจะช่วยลดภาวะบวมน้ำที่จุดภาพชัด จากภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากเบาหวาน ขึ้นจอตา (Diabetic maculopathy) และอาจส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลของยาไม่ได้คงอยู่ถาวร และมักคงอยู่ประมาณ 3 เดือน ซึ่งหมายความว่า อาจต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาประสิทธิภาพ ของยา จากการศึกษาพบว่า ไตรแอมซิโนโลนมีผลดีที่สุดในผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกมาก่อน เราพบภาวะแทรกซ้อนที่อาจ เกิดขึ้นจากการฉีดไตรแอมซิโนโลนเข้าในวุ้นตา ได้แก่ ต้อกระจก, ต้อหินจากสเตียรอยด์, และภาวะอักเสบภายในลูกตา
- การฉีดสารต้าน VEGF เข้าในวุ้นตา
ยา Aflibercept อาจมีข้อได้เปรียบในการเพิ่มผลลัพธ์ด้านการมองเห็นมากกว่า ยา Bevacizumab และ ยา Ranibizumab หลังจากผ่านไปหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ในระยะยาวยังไม่มีความชัดเจน
ในกรณีที่มีภาวะเลือดออกในวุ้นตา (Vitreous hemorrhage) การฉีดยาต้าน VEGF มีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการฟื้นฟูความ สามารถในการมองเห็น เมื่อเทียบกับการผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) ร่วมกับการยิงเลเซอร์ทั่วจอตา
- อื่น ๆ
ยา Fenofibrate เป็นยาที่ใช้ลดระดับคอเลสเตอรอล และมีการศึกษาถึงบทบาทของมันในการช่วยลดผลกระทบด้านลบ ที่เกิดจาก โรคเบาหวาน รวมถึงลดการเกิดการอักเสบของจอตา มีหลักฐานบางส่วนที่ชี้ว่า โดยรวมแล้วในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 Fenofibrate อาจไม่มีผลสำคัญทางคลินิกต่อการชะลอการดำเนินโรคของภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน
แต่ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และมีอาการเบาหวานขึ้นจอตาที่ชัดเจน (Overt retinopathy) มีหลักฐานว่าการใช้ Fenofibrate มีประสิทธิภาพในการชะลอการดำเนิน โรคที่ก่อความเสียหายต่อจอตาได้
การผ่าตัด
แทนที่จะใช้การยิงเลเซอร์ บางรายอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดวุ้นตา (vitrectomy) เพื่อฟื้นฟูการมองเห็น การผ่าตัดวุ้นตาจะถูก ดำเนินการเมื่อมีเลือดจำนวนมากในช่องวุ้นตา ซึ่งทำให้การมองเห็นลดลงกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการนำวุ้นตาที่ขุ่นออก และแทนที่ด้วยสารละลายน้ำเกลือ เพื่อให้แสงสามารถผ่านเข้าไปยังจอตาได้อย่างชัดเจนขึ้น
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดวุ้นตา ไม่นานหลังจากเกิดภาวะเลือดออกในช่องวุ้นตาจำนวนมาก มีแนวโน้มที่จะ สามารถรักษาการมองเห็นไว้ได้ มากกว่าผู้ที่รอเข้ารับการผ่าตัดในภายหลัง
การผ่าตัดวุ้นตาในระยะเริ่มต้นมีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ต้องพึ่งพาอินซูลิน เนื่องจากบุคคล กลุ่มนี้อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียการมองเห็นจากเลือดออกในดวงตา
การผ่าตัดวุ้นตาสามารถดำเนินการได้โดยใช้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่ แพทย์จะทำรอยกรีดขนาดเล็กบนนัยน์ตาขาว (Sclera) หรือส่วนที่เป็นสีขาวของดวงตา จากนั้นจะใช้เครื่องมือขนาดเล็กสอดเข้าไปในดวงตาเพื่อนำวุ้นตาที่ขุ่นออก และแทนที่ด้วย สารละลายน้ำเกลือเพื่อปรับปรุงการมองเห็น
ผู้ป่วยอาจสามารถกลับบ้านได้ไม่นานหลังการผ่าตัดวุ้นตา หรืออาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลข้ามคืนตามความเหมาะสม หลังการผ่าตัด ดวงตาจะมีอาการแดงและไวต่อความรู้สึก, และผู้ป่วยมักต้องใส่ผ้าปิดตา (Eyepatch) เป็นระยะเวลาหลายวัน หรือหลายสัปดาห์เพื่อป้องกันดวงตา แพทย์จะสั่งยาหยอดตาที่มีตัวยา (Medicated eye drops) เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ
มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า การใช้ยาต้าน VEGF ทั้งก่อนหรือระหว่างการผ่าตัดวุ้นตา อาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะเลือดออก ในช่องวุ้นตาด้านหลัง (Posterior vitreous cavity hemorrhage)
โดยทั่วไป การผ่าตัดวุ้นตามักถูกนำมาใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
ระบาดวิทยา
ประมาณร้อยละ 35 ของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และประมาณร้อยละ 10 มีการสูญเสียการมองเห็นในระดับหนึ่ง
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตาพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 1 โดยมีอัตราการเกิดร้อยละ 25 ภายใน 5 ปีหลังได้รับการ วินิจฉัย, ร้อยละ 60 ภายใน 10 ปี, และ ร้อยละ 80 ภายใน 15 ปี
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีผลสำคัญต่อความรุนแรงของโรค อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยร้อยละ 7 ของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาแบบลุกลามและ ร้อยละ 7 มีภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน โรคเบาหวานขึ้นจอตาเป็นสาเหตุ หลักของการสูญเสียการมองเห็นในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 20–74 ปี
ปัญหาโรคเบาหวานขึ้นจอตาทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างปี ค.ศ. 1990 ถึง ค.ศ.2015 จำนวนผู้ที่มีความบกพร่องทาง การมองเห็นจากโรคนี้เพิ่มขึ้นจาก 14 ล้านคนเป็น 26 ล้านคน, และจำนวนผู้ที่สูญเสียการมองเห็นโดยสิ้นเชิงเพิ่มขึ้นจาก 02 ล้านคนเป็น 04 ล้านคน สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากภาระของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง
การศึกษาวิจัย
มีการศึกษา การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มขนาดใหญ่หลายแห่ง (Large multicenter randomized clinical trials) เพื่อประเมิน แนวทางการรักษาผู้ที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญ ได้แก่
- การศึกษาการรักษาเบาหวานขึ้นจอตาในระยะเริ่มต้น
- การศึกษาการผ่าตัดวุ้นตาสำหรับภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
- การศึกษาเกี่ยวกับโรคเบาหวานขึ้นจอตา
- การทดลองเกี่ยวกับการควบคุมโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน
- การศึกษาล่วงหน้าเกี่ยวกับโรคเบาหวานในสหราชอาณาจักร
- แนวทางการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับโรคเบาหวานขึ้นจอตา (โปรโตคอล I, S และ T)
- การรักษาด้วยแสง
ในปี ค.ศ. 2016 มีการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหน้ากากที่ปล่อยแสงสีเขียวผ่านเปลือกตาขณะผู้ป่วยนอนหลับ แสงจาก หน้ากากนี้ช่วยยับยั้งเซลล์รับแสงแบบแท่ง (rod cells) ในจอตาไม่ให้ปรับตัวเข้ากับความมืด ซึ่งเชื่อกันว่าช่วยลดความต้องการ ใช้ออกซิเจนของเซลล์เหล่านี้ ส่งผลให้ลดการสร้างหลอดเลือดใหม่และช่วยป้องกันภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ในปี ค.ศ. 2016 มีการ ดำเนินการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์นี้ อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2018 ผลการทดลอง ทางคลินิกระบุว่า หน้ากากนี้ไม่มีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอตาในระยะยาว
- ซีเปปไทด์
เคยแสดงผลลัพธ์ที่น่ามีความหวังในการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมของหลอดเลือด (Vascular degeneration) บริษัท Creative Peptides, Eli Lilly, และ Cebix ต่างมีโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ C-peptide สำหรับ การรักษา
อย่างไรก็ตาม Cebix เป็นบริษัทเดียวที่มีโครงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2014 บริษัทได้ดำเนินการ ทดลองทางคลินิกระยะที่ IIb (Phase IIb trial) แต่ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่าง C-peptide และยาหลอก หลังจากผลการทดลอง Cebix ได้ยุติโครงการและเลิกดำเนินการ
- การบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด
กำลังมีการดำเนินการทดลองทางคลินิก หรืออยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาที่ศูนย์การแพทย์ในบราซิล, อิหร่าน, และสหรัฐอเมริกา การทดลองในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การใช้เซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยเอง ซึ่งได้มาจากไขกระดูก (Bone marrow) และนำมาฉีดเข้าสู่บริเวณที่เสื่อมสภาพเพื่อฟื้นฟูระบบหลอดเลือด
- การควบคุมความดันโลหิต
การทบทวนงานวิจัยของ Cochrane ได้ศึกษาการวิจัยทางคลินิกแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมจำนวน 29 งานวิจัย เพื่อประเมินว่าการ ควบคุมหรือการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยเบาหวานมีผลต่อโรคเบาหวานขึ้นจอตาหรือไม่ ผลการศึกษาพบว่า การควบคุมหรือ การลดความดันโลหิตสามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวานขึ้นจอตาถึง 4–5 ปี ในผู้ป่วยเบาหวาน อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่า มาตรการเหล่านี้ส่งผลต่อการชะลอการดำเนินของโรคเบาหวานขึ้นจอตา, การรักษาความสามารถในการมองเห็น, ผลข้างเคียง, คุณภาพชีวิต, หรือค่าใช้จ่ายทางการรักษา
- การวิเคราะห์ภาพจอตาด้วยเครื่องตรวจตา
โรคเบาหวานขึ้นจอตาถูกวินิจฉัยโดยการตรวจพบความผิดปกติในภาพจอตา ที่ได้จากการตรวจตาด้วยเครื่องส่องตรวจูจอตา (Fundoscopy)
-
- การถ่ายภาพจอตาแบบสี ใช้สำหรับประเมินระยะของโรค
- การถ่ายภาพหลอดเลือดจอตาด้วยสารฟลูออเรสซิน ใช้เพื่อประเมินขอบเขตของโรคเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งช่วยใน การวางแผนการรักษา
- การถ่ายภาพตัดขวางจอตาด้วยคลื่นแสง ใช้เพื่อวัดความรุนแรงของภาวะจุดภาพชัดบวม และติดตามผลของ การรักษา
เนื่องจาก ภาพตรวจตาด้วยเครื่องส่องตรวจจอตา (Fundoscopic images) เป็นแหล่งข้อมูลหลักในการวินิจฉัย โรคเบาหวานขึ้นจอตา การวิเคราะห์ภาพเหล่านี้ด้วยมืออาจใช้เวลานานและมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากความ สามารถในการตรวจพบความ ผิดปกติอาจแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของแพทย์ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ จึงได้พัฒนาแนวทางการวินิจฉัยด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer-aided diagnosis) เพื่อทำให้กระบวนการนี้ เป็นไปโดยอัตโนมัติ วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการดึงข้อมูลเกี่ยวกับหลอดเลือด และรูปแบบที่ผิดปกติจากภาพตรวจตา ด้วยเครื่องส่องตรวจจอตา แล้วนำมาวิเคราะห์
แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Diabetic_retinopathy [2025, August 15] โดย ชฎาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์
อ่านตรวจทานโดย ผศ. นพ. ชวกิจ ภูมิบุญชู