เด็กพัฒนาการภาษาล่าช้า หรือ ภาวะพูดช้า (Child’s Delayed language or speech development)
- โดย แพทย์หญิง จอมสุรางค์ โพธิสัตย์
- 27 สิงหาคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: ความหมาย
- พบเด็กพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าบ่อยไหม?
- พัฒนาการภาษาหรือการพูดปกติตามวัยเป็นอย่างไร?
- อะไรเป็นสาเหตุของพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้า?
- เมื่อไหร่ควรต้องไปพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยเด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าอย่างไร?
- การดูแลรักษาช่วยเหลือเด็กควรทำอย่างไร?
- คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ปกครอง
- สรุป
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- ออทิสติก : กลุ่มโรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
- โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity disorder: ADHD)
บทนำ: ความหมาย
พัฒนาการภาษาล่าช้าหรือภาวะพูดช้า (Child’s delayed language or speech develop ment) หมายถึง เด็กที่อายุ 2 ขวบแล้วยังไม่เริ่มพูดเป็นคำที่มีความหมาย หรือเด็กที่อายุ 18 เดือนที่ยังไม่พูดเป็นคำที่มีความหมายร่วมกับยังไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆได้
พบเด็กพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าบ่อยไหม?
พบเด็กพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าได้ประมาณ 5 - 8 % ของเด็กอายุ 2 - 5 ปี ส่วนใหญ่พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง 2 - 3 เท่า
พัฒนาการภาษาหรือการพูดปกติตามวัยเป็นอย่างไร?
การพัฒนาภาษาหรือการพูดปกติของเด็กควรเป็นดังนี้
อายุ | พัฒนาการภาษา |
4 - 6 เดือน | หันหาที่มาของเสียงหัวเราะ ส่งเสียงอ้อแอ้ เล่นน้ำลาย |
7 - 9 เดือน | ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ ส่งเสียงยังไม่เป็นภาษา |
10 - 12 เดือน | ทำท่าตามคำสั่งที่มีท่าทางประกอบ พูดเป็นคำที่มีความหมาย |
18 เดือน | ชี้รูปภาพ/อวัยวะตามคำบอกได้ ทำตามคำสั่ง 1 ขั้นได้ พูดคำ 1 พยางค์ได้ 10 คำ |
2 ปี | พูดคำ 2 - 3 คำติดกันได้อย่างมีความหมาย |
3 ปี | พูดเป็นประโยคได้ เล่าเรื่องได้เข้าใจ 50% |
อะไรเป็นสาเหตุของพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้า?
สาเหตุของพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือภาวะพูดช้า ได้แก่
- การได้ยินผิดปกติ: เด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้าโดยไม่เข้าใจคำสั่ง, พูดไม่ได้ ร่วมกับ ไม่ตอบสนองต่อเสียง, ไม่จ้องมองหน้าหรือริมฝีปากของคู่สนทนา, และไม่ใช้ภาษาท่าทางในการสื่อสาร, อาจพบปัญหาทางอารมณ์ร่วมด้วยได้ คือ ร้องไห้โวยวายเมื่อขัดใจเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้, แต่มีทักษะทางสังคมและการเล่นปกติ
- ภาวะสติปัญญาบกพร่อง/ปัญญาอ่อน: เด็กมีปัญหาพัฒนาการล่าช้าด้านภาษาร่วมกับพัฒนาการด้านอื่นๆล่าช้าด้วยโดยเฉพาะความสามารถในการใช้ตาและมือทำงานประสานกัน เช่น การร้อยลูกปัด การต่อบล็อกไม้ หรือการวาดรูปทรงเรขาคณิต
- ออทิสติก (Autistic child): เป็นภาวะที่เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าร่วมกับความบกพร่อง ด้านสังคม ด้านทักษะการเล่น และมีพฤติกรรมหรือความสนใจหรือกิจกรรมที่ซ้ำๆ โดยเด็กจะไม่มองหน้า ไม่สบตา เรียกไม่หัน ไม่เข้าใจคำสั่ง ไม่มีภาษาท่าทางในการสื่อสาร เวลาต้องการอะไรจะไม่ใช้นิ้วมือของตัวเองชี้สิ่งที่ต้องการแต่จะจับมือคนอื่นไปที่สิ่งนั้นแทน ไม่มีความสนใจร่วมกับคนอื่น ไม่แสดงความผูกพันกับคนเลี้ยง สีหน้าเรียบเฉย ไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ไม่สนใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เล่นคนเดียว เล่นเสียงตนเอง ส่งเสียงไม่เป็นภาษา เล่นซ้ำๆ เล่นสมมติไม่เป็น ไม่แสดงท่าทางเลียนแบบ สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ เช่น เล่นแต่ล้อรถหรือใบ พัด มีท่าทางหรือการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ติดวัตถุบางประเภท เอาของมาเรียงเป็นแถว ชอบของหมุนๆ ดูหนังการ์ตูนเรื่องเดิมๆ มีกิจกรรมเดิมๆซ้ำๆซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ลำบาก
- พัฒนาการทางภาษาผิดปกติ: เด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้ากว่าพัฒนาการด้านอื่นๆ และล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันโดยไม่ได้มีความผิดปกติของสมองการได้ยิน กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด โรคออทิสติก หรือขาดการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ผิดปกติในด้านต่างๆ ได้แก่ การเรียนรู้และความเข้าใจคำศัพท์จำกัด แต่งประโยคไม่ถูกต้อง ใช้ภาษาไม่ถูกต้องตามสถานการณ์ทางสังคม จำแนกเสียงในภาษาไม่ได้ พูดไม่ชัด โดยพัฒนาการด้านภาษาที่ผิดปกติแบ่งเป็นกลุ่ม ดังนี้
- ความผิดปกติด้านการสื่อสาร (พูดช้ากว่าวัย): เด็กกลุ่มนี้ความเข้าใจภาษาปกติแต่บกพร่องด้านการสื่อภาษาจึงทำให้พูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน สามารถสื่อความต้องการได้โดยภาษาท่าทาง เมื่อพูดได้จะสื่อสารและเรียนรู้ได้ทันเด็กปกติ
- ความผิดปกติด้านความเข้าใจและการใช้ภาษา: พัฒนาการภาษาล่าช้าทั้งการเข้าใจภาษาและการใช้ภาษา ถ้าความบกพร่องรุนแรงจะส่งผลต่อทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ตามมาด้วย
- ความบกพร่องในการใช้ภาษาอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ทางสังคม: ทำให้เด็กมีปัญหาการใช้ภาษาในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งต้องติดตามเพื่อแยกโรคจากกลุ่มออทิสติก
- ขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม: การเลี้ยงดูมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนา การด้านภาษาโดยส่วนใหญ่มักเป็นสาเหตุร่วมของภาวะพูดช้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุหลักต้องเป็นการละเลยทอดทิ้งที่รุนแรง เมื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูให้เหมาะสมจะทำให้เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น
เมื่อไหร่ควรต้องไปพบแพทย์?
บิดามารดาหรือผู้ปกครองควรนำเด็กพบแพทย์เมื่อ
อายุ | พัฒนาการภาษา |
18 เดือน | ไม่เข้าใจหรือทำตามคำสั่งอย่างง่ายได้ |
2 ขวบ | ไม่พูดเป็นคำที่มีความหมาย |
2 ขวบ 6 เดือน | ยังไม่พูด 2 คำติดกันหรือยังไม่พูดเป็นวลี |
3 ขวบ | ยังพูดไม่เป็นประโยค |
แพทย์วินิจฉัยเด็กมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าหรือพูดช้าอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยเด็กมีพัฒนาการทางภาษาช้าหรือพูดช้าโดย
- การซักถามประวัติ: ประวัติพัฒนาการด้านภาษาทั้งความเข้าใจภาษาและความสามารถในการสื่อสาร พัฒนาการด้านอื่นๆ ประวัติการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดภาวะพูดช้าในครอบครัว การเลี้ยงดู
- การตรวจร่างกาย: เพื่อตรวจความผิดปกติของระบบประสาทและสมองรวมถึงความผิดปกติแต่กำเนิดและความผิดปกติทางพันธุกรรม
- การสังเกตพฤติกรรม: ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่และแพทย์ การเล่น ทักษะทางสังคม ภาษาท่าทางในการสื่อสาร พฤติกรรมซ้ำซาก พฤติกรรมการตอบสนองต่อเสียง และพฤติกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของการพูดช้า
- การประเมินพัฒนาการ: ประเมินพัฒนาการด้านต่างๆ ได้แก่ การใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (มัดที่ ใช้ในการเคลื่อนไหว) กล้ามเนื้อมัดเล็ก (มัดที่เกี่ยวกับการใช้มือและสายตา) ความเข้าใจภาษา และการสื่อสาร การช่วยเหลือตัวเองและทักษะทางสังคม รวมถึงการตรวจวัดระดับพัฒนาการหรือเชาวน์ปัญญา/ไอคิว (IQ, Intelligence quotient) ซึ่งถ้าพัฒนาการด้านอื่นๆปกติหรือเชาวน์ปัญญาที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษาปกติจะบ่งบอกถึงการพยากรณ์โรคที่ดี
- ตรวจการได้ยิน
การดูแลรักษาช่วยเหลือเด็กควรทำอย่างไร?
ควรดูแลช่วยเหลือเด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้า โดย
- ให้การเลี้ยงดูที่เอื้อต่อพัฒนาการทุกด้านของเด็ก เช่น การเล่น การเล่านิทาน การพูดคุยกับเด็กไม่ให้ดูโทรทัศน์มากเกินไป และควรสังเกตพัฒนาการด้านต่างๆของเด็กอย่างใกล้ชิด
- ตรวจประเมินเพื่อหาสาเหตุของภาวะพูดช้าและให้การรักษาที่ตรงกับสาเหตุ รวมถึงใช้อุปกรณ์ช่วยฟังถ้ามีความบกพร่องทางการได้ยิน
- ส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาและด้านอื่นๆที่บกพร่องอย่างสม่ำเสมอ ดูแลเด็กให้มีโอกาสได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในชีวิตประจำวัน และครอบครัวควรต้องมีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาการ
- การใช้ยา: การใช้ยาอาจจำเป็นเพื่อบรรเทาปัญหาพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ซน ไม่อยู่นิ่ง ต่อต้าน อาละวาด ก้าวร้าว แต่ไม่มียาหรือวิตามินหรืออาหารเสริมชนิดใดที่ทำให้พัฒนาการดีขึ้น
- ตรวจหาและรักษาความผิดปกติที่พบร่วม เช่น ปัญหาซนสมาธิสั้น การใช้กล้ามเนื้อมือและสายตา ทักษะทางสังคม และปัญหาการเรียนรู้
- การช่วยเหลือด้านการศึกษา: ถ้าเด็กได้รับการประเมินจากแพทย์และโรงเรียนร่วมกันว่ามีความพร้อมเพียงพอ เด็กสามารถเข้าเรียนได้ตามวัยและควรเรียนในโรงเรียนทั่วไปร่วมกับเด็กปกติ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม การสื่อสาร และทักษะอื่นๆในการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อเน้นเนื้อหาสาระในการเรียน ควรมีการจัดแผนการสอนเฉพาะตัวสำหรับเด็กโดยความร่วมมือของครูแพทย์และพ่อแม่ให้สอดคล้องกับปัญหาและระดับพัฒนาการของเด็ก เช่น ใช้สื่อการสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาเช่น สื่อรูปภาพ เป็นต้น
คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ปกครอง
ผู้ปกครองควรให้การดูแลเด็กมีพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือพูดช้า โดย
- สื่อสารกับเด็กมากขึ้น โดยเลือกใช้คำที่ง่ายและสั้นรวมถึงออกเสียงพูดให้ชัดเจน
- ควรพูดในสิ่งที่เด็กสนใจและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
- สร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ทางภาษาเพิ่มเติมจาก การเล่านิทาน การดูรูปภาพ การพูดคุย งดการดูโทรทัศน์ และการเล่นหรืออยู่คนเดียว
- ฝึกพูดให้ลูกผ่านการพูดคุย โดยฟังลูกพูดอย่างตั้งใจ ตั้งคำถามที่เหมาะสมกับพัฒนาการของลูก ช่วยขยายความคำตอบของลูก และชื่นชมเมื่อลูกร่วมมือในการฝึก
สรุป
การเลี้ยงดูลูกให้มีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาตามวัยจะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการปกติ แต่อย่างไรก็ตามควรสังเกตพัฒนาการของลูกอย่างใกล้ชิด เมื่อพบว่าลูกมีพัฒนาการที่ล่า ช้า ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว การได้รับการดูแลช่วย เหลืออย่างถูกต้องและรวดเร็วตั้งแต่เริ่มแรกเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการรักษา
บรรณานุกรม
- รัตโนทัย พลับรู้การ.Speech and Language Development. ใน: วินัดดา ปิยะศิลป์, พนม เกตุมาน. บรรณาธิการ. ตำราจิตเวชเด็กและวัยรุ่น.กรุงเทพฯ: บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์, 2545:80 – 98.
- รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์. พัฒนาการทางภาษาล่าช้า ( Language delays ) . ใน: นิชรา เรืองดารกานนท์, ชาคริยา ธีรเนตร, รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์, ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย, นิตยา คชภักดี. ตำราพัฒนาการและพฤติกรรม.กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง, 2551:162-78.
- Goodman R, Scott S. Language disorder. Child Psychiatry. Oxford: Blackwell Publishing, 2005:201-5.
- https://www.kidshealth.org/en/parents/not-talk.html [2022,Aug27]