เซฟาดรอกซิล (Cefadroxil)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 13 มิถุนายน 2560
- Tweet
- บทนำ
- เซฟาดรอกซิลมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
- เซฟาดรอกซิลมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- เซฟาดรอกซิลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- เซฟาดรอกซิลมีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- เซฟาดรอกซิลมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้เซฟาดรอกซิลอย่างไร?
- เซฟาดรอกซิลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาเซฟาดรอกซิลอย่างไร?
- เซฟาดรอกซิลมีชื่ออื่นอีกไหม?ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone)
- ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
- ถุงยางอนามัยชาย (Male Condom)
บทนำ
ยาเซฟาดรอกซิล(Cefadroxil หรือ Cefadroxil monohydrate) เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มเซฟาโลสปอริน(Cephalosporin) ที่มีการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด(Broad-spectrum antibiotic) ทางคลินิกนำมาใช้รักษาโรคติดเชื้อที่ระบบอวัยวะต่างๆของต่างกาย เช่น ทอลซิลอักเสบ การติดเชื้อที่ผิวหนัง กรวยไตอักเสบ โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ โรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน รวมถึงใช้เป็นยา ป้องกันเยื่อบุหัวใจอักเสบซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย
ยาเซฟาดรอกซิลมีรูปแบบเภสัชภัณฑ์เป็นยารับประทาน ตัวยาสามารถถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้เกือบทั้งหมด ยาเซฟาดรอกซิลจะแทรกซึมผ่านไปตามเนื้อเยื่อและของเหลวได้ทั่วร่างกาย และยังสามารถซึมผ่านรกและเข้าในน้ำนมของมารดาได้ ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง เพื่อกำจัดยานี้ออกจากกระแสเลือด โดยผ่านทิ้งไปทางปัสสาวะเป็นส่วนมาก ด้วยคุณสมบัติและลักษณะการกระจายตัวของยาเซฟาดรอกซิลในร่างกายดังที่กล่าว ทำให้ผู้ป่วยต้องรับประทานยานี้วันละ 1–2 ครั้ง ตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ ก็สามารถรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียได้แล้ว
ตัวอย่างกลุ่มแบคทีเรียที่ตอบสนองต่อการใช้ยาเซฟาดรอกซิล เช่น Beta-hemolytic streptococci, Staphylococci, Streptococcus, Escherichia coli, Proteus mirabilis, Klebsiella species และ Moraxella (Branhamella) catarrhalis
กลไกการทำลายและต่อต้านแบคทีเรียของยาเซฟาดรอกซิล โดยตัวยาจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถกระจายพันธุ์ หยุดการเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด
ทั้งนี้ มีแนวทางปฏิบัติของผู้ป่วยเมื่อได้รับยาเซฟาดรอกซิลที่ควรทราบดังต่อไปนี้ เช่น
- ยาเซฟาดรอกซิลเป็นยาต่อต้านแบคทีเรีย ห้ามนำมาใช้รักษาการติดเชื้อโรค ประเภทเชื้อรา และเชื้อไวรัส
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยานี้ และแพ้ยากลุ่มเซฟาโลสปอรินและเป็นหน้าที่ที่ผู้ป่วยต้องแจ้งให้ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทราบทุกครั้งที่เข้ารับการรักษาว่า ตนเองมีประวัติแพ้ยาอะไรบ้าง
- การรับประทานยาเซฟาดรอกซิลต้องอาศัยความต่อเนื่อง ถึงแม้ได้รับยา 1–2 วันแล้วอาการป่วยจะดีขึ้นจนดูเหมือนปกติ ผู้ป่วยยังต้องรับประทานยาจนครบเทอม การรักษาตามคำสั่งแพทย์
- กรณีที่รับประทานยาเซฟาดรอกซิลในขณะท้องว่าง แล้วมีอาการไม่สบายในท้อง อาจรู้สึกคลื่นไส้ ให้เปลี่ยนมารับประทานยาพร้อมอาหารแทน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ ประสิทธิภาพของการรักษาด้อยลงไป
- ระหว่างที่ได้รับยานี้แล้วพบอาการผื่นคันขึ้นตามร่างกาย รู้สึกอึดอัด/หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก วิงเวียนรุนแรง ให้หยุดใช้ยานี้ แล้วรีบนำผู้ป่วยมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน ด้วยอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณว่าผู้ป่วยอาจแพ้ยาชนิดนี้
- การใช้ยาเซฟาดรอกซิลต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป อาจเปิดโอกาสทำให้ ร่างกายโดนเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ไม่ตอบสนองต่อเซฟาดรอกซิลเล่นงาน และ ก่อให้เกิดอาการโรคที่ใช้ยานี้รักษาแล้วไม่ได้ผล ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้จึงไม่ แนะนำให้ผู้ป่วยไปซื้อหายานี้มารับประทานเองโดยมิได้ขอคำปรึกษาจากแพทย์
- ขณะได้รับยากลุ่มเซฟาโลสปอริน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้อง ปวดท้อง ท้องเสียรุนแรง ทางคลินิกได้แนะนำว่า ไม่ควรไปซื้อยาแก้ท้องเสียมา รับประทานเอง นอกจากจะไม่ตรงกับแนวทางการรักษาที่ถูกต้องแล้ว ยังอาจทำให้ อาการป่วยทวีความรุนแรงมากขึ้น กรณีนี้ควรนำผู้ป่วยกลับมาปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ปรับแนวทางการใช้ยานี้ ซึ่งจะปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากที่สุด
- การใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาจทำให้ค่าน้ำตาลในเลือดผิดปกติ ผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์ผู้ที่รักษาโรคเบาหวานทราบด้วยว่า ขณะนี้ตนเองกำลังใช้ยา เซฟาดรอกซิล แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยารักษาเบาหวานได้อย่างเหมาะสม และถูกต้อง
- ผู้ป่วยกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ของยาเซฟาดรอกซิลได้ง่ายกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น
- สตรีมีครรภ์/ตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ต้องให้แพทย์พิจารณาเป็นกรณีๆไปว่า เหมาะสมที่จะใช้ยาเซฟาดรอกซิลหรือไม่ สิ่งที่แพทย์จะระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ การส่งผ่านยาเซฟาดรอกซิลจากร่างกายมารดาไปถึงทารกนั่นเอง
ยาเซฟาดรอกซิลจัดเป็นยาปฏิชีวนะที่สามารถใช้รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียได้ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก กรณีใช้ยาเซฟาดรอกซิลประเภทยาน้ำแขวนตะกอนกับผู้ป่วยเด็ก ต้องเก็บยาเซฟาดรอกซิลประเภทแขวนตะกอนซึ่งได้รับการผสมเจือจางด้วยน้ำแล้วไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ 2–8 องศาเซลเซียส (Celsius) และห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งตู้เย็น
หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยการใช้ยาเซฟาดรอกซิล สามารถสอบถามข้อมูลการใช้ยานี้เพิ่มเติมได้จากแพทย์ที่ทำการตรวจรักษา หรือสอบถามจากเภสัชกรได้ทั่วไป
เซฟาดรอกซิลมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
ยาเซฟาดรอกซิลมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น
- รักษาอาการอักเสบที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ทอลซิลอักเสบ กรวยไตอักเสบ การติดเชื้อของผิวหนัง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ โดยมีขนาดและระยะเวลาการรับประทานที่แตกต่างกันตามอาการและความรุนแรงของโรค
- ใช้เป็นยาป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่เยื่อบุหัวใจ (Bacteria endocarditis prophylaxis)
เซฟาดรอกซิลมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
ยาเซฟาดรอกซิลมีกลไกการออกฤทธิ์ โดยตัวยาจะยับยั้งกระบวนการสังเคราะห์สารประกอบในตัวแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า เปปทิโดไกลแคน (Peptidoglycan) ซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญที่แบคทีเรียนำมาใช้สร้างผนังเซลล์ของตัวเอง จากกลไกนี้เองทำให้แบคทีเรียไม่สามารถขยายพันธุ์ หยุดการเจริญเติบโต และตายลงในที่สุด
เซฟาดรอกซิลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาเซฟาดรอกซิลมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น
- ยาแคปซูลชนิดรับประทาน ที่ประกอบด้วยยา Cefadroxil monohydrate ขนาด 500 มิลลิกรัม/แคปซูล
- ยาเม็ดชนิดรับประทาน ที่ประกอบด้วยยา Cefadroxil monohydrate 1,000 มิลลิกรัม/เม็ด
- ยาน้ำแขวนตะกอน ที่ประกอบด้วยยา Cefadroxil monohydrate ขนาด 250 มิลลิกรัม/5 มิลลิลิตร และ 500 มิลลิกรัม/5 มิลลิลิตร
เซฟาดรอกซิลมีขนาดรับประทานอย่างไร?
ยาเซฟาดรอกซิลมีขนาดรับประทาน เช่น
ก. สำหรับป้องกันการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ (Bacterial Endocarditis Prophylaxis)
- ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปี: รับประทานยาขนาด 2,000 มิลลิกรัม ครั้งเดียวก่อนเข้ารับหัตถการทางการแพทย์ 1 ชั่วโมง
- เด็กอายุ 1–18 ปี และมีน้ำหนักตัว 39 กิโลกรัมลงมา: รับประทานยาขนาด 50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ครั้งเดียวก่อนเข้ารับหัตถการทางการแพทย์ 1 ชั่วโมง โดยห้ามใช้ยาเกิน 2,000 มิลลิกรัม
- เด็กอายุ 1–18 ปี และมีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 40 กิโลกรัมขึ้นไป: รับประทานยาขนาด 2,000 มิลลิกรัม ครั้งเดียวก่อนเข้ารับหัตถการทางการแพทย์ 1 ชั่วโมง
ข.สำหรับกรวยไตอักเสบ(Pyelonephritis):
- ผู้ใหญ่: รับประทานยาครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม ทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 14 วันต่อเนื่อง
- เด็ก: ขนาดยาอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา
ค. สำหรับผิวหนังอักเสบติดเชื้อ(Skin or Soft Tissue Infection):
- ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 1,000 มิลลิกรัม สามารถรับประทานครั้งเดียว/วัน หรือแบ่งรับประทานเป็นวันละ 2 ครั้งก็ได้ตามแพทย์แนะนำ โดยมีระยะเวลาในการรับประทานตามคำสั่งแพทย์
- เด็กอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป: รับประทานยาขนาด 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 12 ชั่วโมง ห้ามใช้ยาเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 1 เดือน: ขนาดยาขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
ง. สำหรับทอลซิลอักเสบ(Tonsillitis) และคอหอยอักเสบ(Pharyngitis):
- ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 1,000 มิลลิกรัม/วัน อาจรับประทานยาครั้งเดียวต่อวันหรือแบ่งการรับประทานเป็น 2 ครั้งต่อวันก็ได้ตามแพทย์สั่ง โดยมีระยะรับประทานยา 10 วัน ต่อเนื่อง
- เด็กอายุ 1 เดือนขึ้นไป: รับประทานยา 30 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน อาจรับประทานยา วันละ1ครั้งหรือแบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้งก็ได้ตามแพทย์สั่ง และห้ามใช้ยาเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 1 เดือน: ขนาดยาขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
จ.สำหรับการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน(Upper Respiratory Tract Infection)
- ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 500 มิลลิกรัม ทุกๆ 12 ชั่วโมง หรือรับประทานยาขนาด 1,000 มิลลิกรัม ทุกๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 7 – 10 วัน
- เด็ก: ขนาดยาขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
ฉ. สำหรับการติดเชื้อในระบบเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection):
- กรณีติดเชื้อไม่รุนแรง: ผู้ใหญ่: รับประทานยา 1,000–2,000 มิลลิกรัม/วัน โดยรับประทานยาเพียงครั้งเดียว หรือแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้งต่อวันก็ได้ตามคำสั่งแพทย์ ระยะเวลาของการรับประทานให้เป็นไปตามคำสั่งแพทย์เช่นกัน, เด็ก: ขนาดยาขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
- กรณีติดเชื้อรุนแรง: ผู้ใหญ่: รับประทานยา 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง, เด็ก: ขนาดยาขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ระยะเวลาของการรับประทานให้เป็นไปตามคำสั่งแพทย์เช่นกัน
อนึ่ง:
- ยานี้รับประทานช่วงท้องว่าง หรือพร้อมอาหารก็ได้
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียง ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาเซฟาดรอกซิล ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆอย่างเช่น โรคทางลำไส้/โรคทางเดินอาหาร โรคเบาหวาน โรคไต รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาเซฟาดรอกซิลอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาเซฟาดรอกซิล สามารถรับประทานทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า ให้รับประทานยาในขนาดปกติ
อนึ่ง เพื่อประสิทธิผลในการใช้ยาเซฟาดรอกซิล ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยานี้จนครบเทอมการรักษาตามคำสั่งแพทย์
เซฟาดรอกซิลมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาเซฟาดรอกซิลสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย รู้สึกไม่สบายท้อง เบื่ออาหาร อาจเกิดการติดเชื้อที่เรียกว่า ลำไส้ใหญ่อักเสบชนิด Pseudomembranous colitis
- ผลต่อระบบประสาท: เช่น อาจทำให้เกิดอาการชัก
- ผลต่อไต: เช่น ไตทำงานผิดปกติ/ไตอักเสบ
- ผลต่อตับ: เช่น เกิดภาวะตับวาย เอนไซม์การทำงานของตับในเลือดสูงขึ้น
- ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์: เช่น เกิดอาการคันบริเวณทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอดอักเสบ(ในสตรี)
- ผลต่อระบบเลือด: เช่น อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ, Thrombocytopenia(เกล็ดเลือดต่ำ) มีภาวะโลหิตจางจากมีเม็ดเลือดแดงแตก
- ผลต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูก: เช่น มีอาการปวดข้อ
*อนึ่ง: ผู้ที่ได้รับยานี้เกินขนาด จะมีอาการ คลื่นไส้ ประสาทหลอน ไตทำงานผิดปกติและอาจเกิดอาการโคม่า ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
มีข้อควรระวังการใช้เซฟาดรอกซิลอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาเซฟาดรอกซิล เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
- ห้ามรับประทานยานี้ร่วมกับเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ด้วยจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยานี้
- ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์ สตรีในภาวะให้นมบุตร เด็ก และผู้สูงอายุ โดยไม่มีคำสั่งแพทย์
- ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง และต้องใช้ยานี้ตามที่แพทย์แนะนำ
- ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เม็ดยาแตกหัก สียาเปลี่ยนไป หรือแคปซูลเปียกชื้น
- ห้ามซื้อยานี้มารับประทานเอง
- กรณีที่ใช้ยานี้แล้วอาการป่วยไม่ดีขึ้น ให้รีบกลับมาปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาลอีกครั้ง
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาเซฟาดรอกซิลด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
เซฟาดรอกซิลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาเซฟาดรอกซิลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- ห้ามใช้ยาเซฟาดรอกซิลร่วมกับผู้ที่ได้รับวัคซีนอหิวาตกโรค ด้วยตัวยา เซฟาดรอกซิลจะทำให้การกระตุ้นภูมิต้านทานเชื้ออหิวาตกโรคด้อยลง หากจำเป็นต้อง ใช้ร่วมกัน ควรเว้นระยะเวลาการใช้วัคซีนฯหลังการใช้ยาเซฟาดรอกซิลอย่างน้อย 14 วัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเซฟาดรอกซิลร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด อย่างเช่น Ethinyl estradiol ด้วยจะทำให้ประสิทธิผลการคุมกำเนิดของยา Ethinyl estradiol ด้อยลงไป จึงควรต้องใช้ถุงยางอนามัยชายร่วมด้วยขณะใช้ยานี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเซฟาดรอกซิลร่วมกับยา Probenecid ด้วยจะทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงจากยาเซฟาดรอกซิลมากยิ่งขึ้น
- การใช้ยาเซฟาดรอกซิลร่วมกับยาขับปัสสาวะ อย่างเช่น Furosemide อาจจะก่อให้เกิดพิษต่อไต/ไตอักเสบ หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป
ควรเก็บรักษาเซฟาดรอกซิลอย่างไร?
ควรเก็บรักษายาเซฟาดรอกซิล ดังนี้
- กรณียาชนิดเม็ด, แคปซูล, ยาน้ำแขวนตะกอนที่ยังมิได้ผสมน้ำ: สามารถเก็บภายใต้อุณหภูมิ 15–30 องศาเซลเซียส
- สำหรับยาน้ำแขวนตะกอนที่ผสมน้ำแล้ว: ให้เก็บในตู้เย็นซึ่งมีอุณหภูมิ 2–8 องศาเซลเซียส
- ยานี้ทุกรูปแบบ: ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งตู้เย็น เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อนและความชื้น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือรถยนต์
เซฟาดรอกซิลมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาเซฟาดรอกซิล ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Duricef (ดูริเซฟ) | Bristol-Myers Squibb |
อนึ่ง ยาชื่อการค้าอื่นของยานี้ เช่น Acidrox, Acer, Actidrox, Acudrox, Adrox, Affycep, Amdrox, Baxon, Cefadril, Cefadroxyl
บรรณานุกรม
- https://www.drugs.com/pro/cefadroxil.html[2017,May27]
- https://www.drugs.com/dosage/cefadroxil.html[2017,May27]
- http://www.mims.com/thailand/drug/info/cefadroxil/?type=brief&mtype=generic[2017,May27]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Cefadroxil[2017,May27]
- https://www.accessdata.fda.gov/drugsatfda_docs/label/2007/050512s046,050527s022,050528s020lbl.pdf[2017,May27]
- https://www.drugs.com/drug-interactions/cefadroxil-index.html?filter=2&generic_only=[2017,May27]