อาการกะเผลกเหตุปวดประสาท (Neurogenic Claudication)
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 6 พฤศจิกายน 2556
- Tweet
- บทนำ
- อาการปวดน่อง เดินกะเผลก และปวดขาเวลาเดินนั้น มีลักษณะอาการอย่างไร?
- เมื่อมีอาการปวดขาเมื่อเดิน เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?
- อาการกะเผลกเหตุปวดเกิดจากอะไร?
- แพทย์ให้การวินิจฉัยสาเหตุอาการขากะเผลกเหตุปวดอย่างไร?
- มีวิธีรักษาอาการกะเผลกเหตุปวดอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- อาการกะเผลกเหตุปวดมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีอาการกะเผลกเหตุปวด?
- ป้องกันอาการกะเผลกเหตุปวดได้อย่างไร?
- สรุป
บทนำ
บางคนคงสงสัยว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะช่วงนี้จะปวดน่องมากเวลาเดิน บางครั้งเดินกะเผลก จนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ เป็นอะไรกันแน่ และสังเกตว่าเดินได้ระยะทางใกล้ลงมากขึ้นเรื่อยๆ อาการเหล่านี้คืออะไร อ่านได้จากบทความนี้ครับ
อาการปวดน่อง เดินกะเผลก และปวดขาเวลาเดินนั้น มีลักษณะอาการอย่างไร?
อาการ/ภาวะปวดน่อง เดินกะเผลก และปวดขาเวลาเดินนั้น เป็นอาการผิดปกติอย่างหนึ่ง เรียกว่า “อาการ/ภาวะกะเผลกเหตุปวด (Claudication)” คือก่อนเดินไม่ปวด แต่เมื่อเริ่มเดินได้พักหนึ่งจะปวดขา ปวดน่อง จนเดินกะเผลก และเมื่อพักแล้ว อาการปวด อาการกะเผลกจะดีขึ้น พอเดินใหม่ก็กลับมีอาการปวดขา ปวดน่องอีก เป็นอยู่อย่างนี้เสมอๆ เรียกว่า “อาการ/ภาวะกะ เผลกเป็นพักๆเหตุปวด (Intermittent claudication)”
เมื่อมีอาการปวดขาเมื่อเดิน เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?
ผู้ที่มีอาการดังกล่าวในหัวข้อ อาการ ควรไปพบแพทย์ เมื่อ
- อาการกะเผลกนั้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
- เดินได้ระยะทางสั้นลงๆก็ปวดแล้ว
- ปวดขณะนอนหลับ
- กดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง และ/หรือ
- มีไข้ ร่วมด้วย
อาการกะเผลกเหตุปวดเกิดจากอะไร?
อาการกะเผลกเหตุปวดเกิดจาก 3 กลไกหลัก คือ
- Vascular claudication ขากะเผลกสาเหตุจากกล้ามเนื้อขาขาดเลือด เกิดจาก กล้าม เนื้อขา สะโพก และ/หรือก้น ที่ใช้ช่วยในการเดินขาดเลือด เช่น จากโรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดอักเสบ (เช่น จากโรคเบาหวาน) หรือ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral arterial disease : PAD เช่น จากโรคเบาหวาน)
- Neurogenic claudication ขากะเผลกสาเหตุจากโรคของเส้นประสาท เช่น จากเส้น ประสาทถูกกดทับ (เช่น โรคโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบ) โรคเส้นประสาทอักเสบ (เช่น จากโรคเบาหวาน) และ/หรือโรคของหมอนรองกระดูกสันหลัง (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง)
- ขากะเผลกเหตุจากกล้ามเนื้อขาหดเกร็ง เกิดตะคริว อาจจากการขาดเลือด หรือจากโรคของเส้นประสาทกล้ามเนื้อ หรือจากโรคต่างๆที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยพบเกิดจากโรคของกล้ามเนื้อโดยตรงได้น้อยกว่า ซึ่งในสมัยก่อนใช้คำ Muscular claudication ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไม่นิยมใช้ คำว่า Muscular claudication แล้ว เพราะการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมักไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เกิดจากพยาธิสภาพของหลอดเลือด และ/หรือของเส้นประสาท
อนึ่ง อาการตะคริว พบได้ทั้งขณะมีกิจกรรม และ/หรือขณะนอนพัก (โดยส่วนใหญ่พบขณะนอน) มักพบในผู้ป่วย โรคตับแข็ง ไตวาย ผู้ป่วยโรคไตที่รักษาด้วยการล้างไตโดยการฟอกเลือด โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน (เช่น โรคหลอดเลือดอักเสบจากโรคเบาหวาน) โรคกระดูกสันหลังเสื่อม และ/หรือ ในโรคกล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น
แพทย์ให้การวินิจฉัยสาเหตุอาการขากะเผลกเหตุปวดอย่างไร?
แพทย์ให้การวินิจฉัยหาสาเหตุอาการขากะเผลกเหตุปวด ได้จากลักษณะของ การปวดขา ปวดน่อง เดินกะเผลก หรือมีอาการตะคริวขณะเดิน ร่วมกับการตรวจร่างกาย
กรณีเป็นการกะเผลกเหตุปวดประสาทนั้น อาจกดเจ็บบริเวณหลัง ชาบริเวณน่อง และ/หรือด้านข้างของเท้า ตรวจรีเฟล็กซ์ของขาลดลง นอนราบเหยียดขาและยกสูงขึ้น อาจก่อให้เกิดอาการปวดร้าวบริเวณน่อง (Straight leg raising test) เอกซเรย์กระดูกสันหลังพบการเสื่อมของกระดูกสันหลัง หรือพบ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ
แต่ถ้าเป็นกรณีของการกะเผลกเหตุปวดจากหลอดเลือด จะพบชีพจรบริเวณขาหลังเท้าเบาลง และขนบริเวณขาร่วง เป็นต้น
ส่วนที่เกิดจากกล้ามเนื้อเป็นตะคริว การวินิจฉัยจะขึ้นกับอาการอื่นๆ ที่เกิดจากแต่ละโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น โรคตับแข็ง โรคไต เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บางกรณีก็ไม่สามารถแยกสาเหตุออกจากกันได้ชัดเจน เพราะอาการที่เกิดขึ้นก็มีซ้ำซ้อนกันได้ในระหว่างสาเหตุต่างๆ
ลักษณะแยกโรคระหว่างอาการกะเผลกเหตุปวดประสาท (Neurogenic claudication) และเหตุปวดจากหลอดเลือด (Vascular claudication)
ลักษณะอาการ | Neurogenic claudication | Vascular claudication |
มีอาการเมื่อเดิน | มี | มี |
มีอาการเมื่อยืน | มี | ไม่มี |
มีระยะทางในการเดินก่อนมีอาการ | มี | ไม่มี |
อาการดีขึ้นเมื่อก้มตัว | มี | ไม่มี |
อาการดีขึ้นเมื่อนั่ง | มี | มี |
คลำชีพจรได้เบาลง | ไม่มี | มี |
อนึ่ง การตรวจเพิ่มเติม/การสืบค้นเพิ่มเติมด้วยการตรวจกระดูกสันหลังด้วยเอกซเรย์ธรรมดา หรือเอมอาร์ไอนั้น ข้อดีของการตรวจเอมอาร์ไอ คือ เห็นความผิดปกติของกระดูกสันหลัง เส้นเอ็นกระดูก หมอนรองกระดูก ไขสันหลัง เส้นประสาท และเนื้อเยื่ออื่นๆได้ แต่มีค่าใช้ จ่ายสูง ใช้เวลานาน มีสถานพยาบาลที่ให้บริการตรวจน้อยแห่ง เสียเวลารอคิวนาน ส่วนเอกซ เรย์ธรรมดาทำได้ง่าย ประหยัด รวดเร็ว แต่เห็นเฉพาะกระดูกสันหลังเท่านั้น
ดังนั้น แพทย์จะส่งตรวจเอกซเรย์ธรรมดาก่อนเสมอในการประเมินอาการ และให้การวินิจ ฉัยเบื้องต้น แต่ถ้ามีความผิดปกติรุนแรงต้องผ่าตัด แพทย์จะส่งตรวจเอมอาร์ไอตั้งแต่แรก ส่วนใหญ่จะตรวจเอมอาร์ไอเมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษา หรือมีอาการรุนแรง หรือสงสัยภาวะติดเชื้อในกระดูก หรือในไขสันหลัง
มีวิธีรักษาอาการกะเผลกเหตุปวดอย่างไร?
การรักษาอาการกะเผลกเหตุปวดประสาท ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ถ้าอาการไม่มาก การทานยาแก้ปวดร่วมกับกายภาพบำบัดก็เพียงพอ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น รุนแรงมากก็อาจพิจารณาผ่าตัด
การรักษาอาการกะเผลกเหตุปวดจากหลอดเลือดนั้น ต้องใช้ยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับยาขยายหลอดเลือด การใส่ท่อขยายหลอดเลือด และ/หรือการผ่าตัดต่อหลอดเลือด/บายพาสหลอดเลือด (Vascular bypass)
การรักษาอาการจากกล้ามเนื้อเกร็ง เป็นตะคริว ขึ้นกับสาเหตุของแต่ละโรค เช่น รักษาโรคตับแข็ง หรือ รักษาโรคไต เป็นต้น
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าอาการนั้นกลับเป็นมากขึ้น มีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้าง เคียง เช่น อาการอ่อนแรง การเดินได้สั้นลงๆเพราะหมดแรงง่ายขึ้น ปวดจนนอนไม่ได้ ปัสสาวะ อุจจาระไม่สะดวก หรือกลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา เช่น ผลแทรกซ้อนของยาที่ใช้ (เช่น ปวดท้องมากเมื่อกินยาแก้ปวด เป็นต้น)
อาการกะเผลกเหตุปวดมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรค หรือผลการรักษาอาการกะเผลกเหตุปวดนั้น ขึ้นกับสาเหตุว่าสามารถแก้ไขได้หรือไม่, กลับเป็นซ้ำได้หรือไม่, เป็นโรคที่รักษาหายหรือไม่, และมาพบแพทย์เร็วมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นจึงขึ้นกับแต่ละบุคคลๆไป
และถ้ามาพบแพทย์ล่าช้า อาจส่งผลให้เกิดอาการอัมพาตได้ ซึ่งจะรักษาให้กลับมาเป็นปกติยาก ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ อาการ จึงควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีอาการกะเผลกเหตุปวดนี้?
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการกะเผลกเหตุปวด คือ
- การลดปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการนี้ และเพื่อลดความรุนแรงของอาการ เช่น โรคกระ ดูกเสื่อม, โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตันจากโรคเบาหวาน, โรคตับ, และโรคไต
- ไม่ควรทานยาแก้ปวดมากเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดอาการติดยาแก้ปวดหรืออาการปวดจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกิน
- การทำกายภาพบำบัดสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้อาการดังกล่าวดีขึ้น
- พบแพทย์ตามนัดเสมอ
ป้องกันอาการกะเผลกเหตุปวดได้อย่างไร?
การป้องกันอาการกะเผลกเหตุปวด คือ การป้องกัน รักษา ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ ที่สำคัญ คือ โรคกระดูกเสื่อม โรคของหมอนรองกระดูก (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง) โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตันจากเบาหวาน โรคตับ และโรคไต ซึ่งการดูแลตนเองที่สำคัญ ได้แก่
- การออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพทุกวัน ร่วมกับการกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้มีน้ำหนักตัวเกิน/โรคอ้วน
- ปรับพฤติกรรมการใช้หลังให้ถูกวิธี
- ใช้ชีวิตด้วยพฤติกรรมที่ดี เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
- ทานอาหารจืด
- รักษาและควบคุมโรคเรื้อรัง ที่สำคัญคือ โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคความดันโลหิตสูง (โรคในกลุ่มอาการเมตาโบลิก)
สรุป
จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมต่างๆที่ทำในชีวิตประจำวัน มีความสำคัญต่อสุขภาพเสมอ ดังนั้น จงดูแลสุขภาพทั่วไป และสุขภาพหลังให้แข็งแรง จะได้ไม่มีอาการปวดหลัง ปวดขา หรือเดินขากะเผลก