อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ (Adrenergic antagonist)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ (Adrenergic antagonist หรือ Adrenergic blocker) เป็นสารประกอบที่แสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่คอยยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทประเภทแคททีโคลามีน (Catecholamines)ที่บริเวณตัวรับ(Receptor)ที่มีชื่อว่า แอดริเนอร์จิก รีเซพเตอร์(Adrenergic receptor) ที่เป็นตัวรับของกลุ่มสารสื่อประสาทชนิด Epinephrine, Norepinephrine, และ Dopamine การออกฤทธิ์ของยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์จะเป็นไปในลักษณะตรงกันข้ามกับสาร/ยาประเภทอะดรีเนอร์จิก อะโกนิสต์ (Adrenergic agonist)

นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ ออกเป็น 2 หมวด/กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1 แอลฟา-บล็อกเกอร์ (Alpha-blocker หรือ Alpha adrenergic blocker): เป็นกลุ่มยาที่นำมารักษาอาการของโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด อย่างเช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ, ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign prostatic hyperplasia), และ ปรากฏการณ์ Raynaud’s phenomenon(ความผิดปกติของการหดและขยายตัวของหลอดเลือด)

ในทางปฏิบัติ มักจะพบว่ายากลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์ถูกนำมาใช้กับ โรคความดันโลหิตสูง และภาวะต่อมลูกหมากโต เสียเป็นส่วนมาก แต่ยังมียาบางตัวในกลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์ ที่ถูกนำมาใช้รักษาอาการซึมเศร้าได้ด้วย เช่นยา Mirtazapine

ยาแอลฟา-บล็อกเกอร์ สามารถแบ่งออกเป็นอีก 3 กลุ่มย่อย คือ

  • แอลฟา-1 บล็อกเกอร์ (Alpha-1 blocker) เช่นยา Prazosin
  • แอลฟา-2 บล็อกเกอร์ (Alpha-2 blocker) เช่นยา Atipamezole
  • แอลฟา-บล็อกเกอร์ ชนิด Non-selective alpha adrenergic blockers เช่นยา Phentolamine

2 เบต้า-บล็อกเกอร์ (Beta-blocker): เป็นกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ (Receptor) ที่มีชื่อว่า เบต้า รีเซปเตอร์ (Beta receptor) ตัวรับดังกล่าวถูกพบที่กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อเรียบ หลอดลม หลอดเลือดฝอย ไต และเนื้อเยื่อของเซลล์ประสาท ชนิด Sympathetic nervous system หากมีฮอร์โมน หรือสารสื่อประสาทบางประเภท เช่น Epinephrine เข้ามาจับกับตัวรับเบต้าก็จะทำให้อวัยวะต่างๆที่มีตัวรับเบต้าแสดงอาการตามชนิดของสารสื่อประสาทที่เข้ามาทำปฏิกิริยา

ประโยชน์ทางคลินิกของยากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์ นี้ได้ถูกนำมาบำบัดอาการ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการหัวใจล้มเหลว ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคต้อหิน เป็นต้น

นักวิทยาศาสตร์แบ่งกลุ่มยาเบต้า-บล็อกเกอร์ ออกเป็น 4 กลุ่มย่อย คือ

  • เบต้า-บล็อกเกอร์ ชนิด Non-selective beta antagonist /Non selective beta blocker เช่น ยา Timolol
  • เบต้า-2 บล็อกเกอร์ (Beta-2 selective blockers) เช่นยา Pindolol
  • เบต้า-3 บล็อกเกอร์ (Beta-3 selective blockers) ซึ่งยาในกลุ่มนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาตัวยา

การใช้ยากลุ่มอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ อาจต้องใช้ยาเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง มีระยะเวลายาวนาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์ของการปรับเปลี่ยนการใช้ยาเหล่านี้ในผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

ยากลุ่มอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ จัดอยู่ในหมวดยาอันตราย มีข้อจำกัด ข้อห้ามใช้ซึ่งเป็นรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละตัวยาย่อย การใช้ยานี้จึงต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น และห้ามมิให้ผู้ป่วยไปซื้อหายามารับประทานเอง

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

อะดรีเนอร์จิกแอนตาโกนิสต์

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น

ก.ยากลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์:

  • รักษาภาวะต่อมลูกหมากโต
  • รักษาความดันโลหิตสูง
  • ลดภาวะเส้น/หลอดเลือดหดเกร็ง
  • สงบประสาท/ยาคลายเครียด และระงับอาการปวด/ยาแก้ปวด
  • รักษาอาการซึมเศร้า และเป็นยารักษาทางจิตเวช
  • รักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

ข. ยากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์:

  • รักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia)
  • รักษาและบรรเทาอาการหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure)
  • รักษาโรคต้อหิน (Glaucoma)
  • รักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial infarction)
  • ป้องกันโรคไมเกรน (Migraine)
  • รักษาโรคความดันโลหิตสูง(Hypertension)

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้ เช่น

ก. ยาแอลฟา-บล็อกเกอร์: มีกลไกการออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับตัวรับที่อยู่ภายในเซลล์ของกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอดเลือดที่หัวใจ และที่ต่อมลูกหมาก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทภายในเซลล์ดังกล่าว ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ และทำให้ผนังหลอดเลือดขยายออก รวมถึงทำให้ต่อมลูกหมากลดอาการหดเกร็ง จากกลไกดังกล่าวทั้งหมด จึงส่งผลให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ

ข. ยาเบต้า บล็อกเกอร์: จะออกฤทธิ์โดยเข้าไปปิดกั้นตัวรับ ซึ่งมี 3 ชนิด คือ เบต้า-1, เบต้า-2, และ เบต้า-3 (ดังได้กล่าวใน บทนำ) ตัวรับ เหล่านี้อยู่ตามเนื้อเยื่อของ หัวใจ หลอดเลือด หลอดลม ส่งผลให้หัวใจลดการบีบตัวและลดอัตราการเต้นลง รวมถึง หลอดเลือด และหลอดลม เกิดการขยายตัว และพร้อมกับยับยั้งการปลดปล่อยสารเรนิน(Renin,สารที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันโลหิตของร่างกาย)จากไต ส่งผลให้เพิ่มการขับถ่ายโซเดียมและน้ำออกจากร่างกายจึงช่วยลดความดันโลหิตได้ จากกลไกดังกล่าวทั้งหมด จึงส่งผลให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น

  • ยาชนิดรับประทาน
  • ยาฉีด
  • ยาหยอดตา
  • ยาเหน็บทวาร

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีขนาดรับประทานอย่างไร?

ยาในกลุ่ม อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ มีหลากหลายรายการตัวยาย่อย ขนาดรับประทานจึงหลากหลาย จึงขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ โดยต้องอาศัยข้อมูลทางการแพทย์ของตัวผู้ป่วยแต่ละคน เช่น อายุ โรคประจำตัว การตั้งครรภ์ การให้นมบุตร การใช้ยาอื่นๆ รวมกับชนิดอาการผู้ป่วย เพื่อแพทย์เลือกใช้ยาให้ตรงตามอาการโรค และมีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากที่สุด การรับประทานยาในกลุ่มนี้ จึงต้องเป็นไปตามคำสั่งของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น บทความนี้จึงขอไม่กล่าวถึงขนาดการใช้ยาในกลุ่มนี้

เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆอย่างเช่น ความดันโลหิตต่ำ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่เพราะยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

หากลืมรับประทาน/ใช้ยายาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ สามารถรับประทาน/ใช้ยาเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทาน/ใช้ยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทาน/ใช้ยาเป็น 2 เท่า

แต่อย่างไรก็ดี เพื่อประสิทธิผลของการรักษา ควรรับประทาน/ใช้ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ ตรงเวลา

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกายดังนี้ เช่น

  • ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นช้า เท้าและขาบวม เจ็บหน้าอก
  • ผลต่อระบบการหายใจ: เช่น แน่น/คัดจมูก หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก ไอ มีอาการคล้ายหอบหืด
  • ผลต่อระบบประสาท: เช่น วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ เป็นลม
  • ผลต่อผิวหนัง: เช่น เหงื่อออกมาก ผื่นคัน
  • ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น ท้องผูก ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  • ผลต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม น้ำตาลในเลือดต่ำ ไขมันในเลือด ชนิดเฮชดีแอล (HDL) ลดต่ำลง ในขณะที่ไขมันชนิดแอลดีแอล (LDL)เพิ่มสูงขึ้น
  • ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น ซึมเศร้า ฝันร้าย ประสาทหลอน
  • ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ: เช่น ปัสสาวะสีคล้ำ
  • ผลต่อระบบสืบพันธ์: เช่น มดลูกบีบรัดตัวมาก
  • ผลต่อกล้ามเนื้อ: เช่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว
  • ผลต่อตา: เช่น ระคายเคืองตา
  • อื่นๆ: เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย

มีข้อควรระวังการใช้อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์อย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยากลุ่มอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์
  • ห้ามใช้กับผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่กำลังมีอาการช็อกด้วยโรคหัวใจล้มเหลว มีอาการโรคหืด
  • ด้วยยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์หลายตัว ทำให้มีอาการวิงเวียนคล้ายเป็นลม บางครั้งแพทย์จึงอาจแนะนำให้รับประทานยากลุ่มนี้ก่อนนอน
  • ไม่แนะนำการใช้ยากลุ่มนี้กับเด็ก
  • ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนสนับสนุนผลของการใช้ยานี้กับหญิงตั้งครรภ์และกับหญิงที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร การจะใช้ยานี้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จึงต้องให้แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสมเป็นกรณีไป
  • ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วยโรคตับ
  • ระหว่างใช้ยากลุ่มนี้ ต้องระวังการทำงานกับเครื่องจักร รวมถึงการขับขี่ยานพาหนะ ด้วยอาจเกิดอาการวิงเวียน จนเกิดอันตรายได้ง่าย
  • ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าอย่างรุนแรง
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ด้วย) ยาแผนโบราณ ทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพร ต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • การใช้ยากลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์ ร่วมกับยารักษาอาการสมรรถภาพทางเพศเสื่อม เช่นยา Sildenafil สามารถทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำ จนถึงขั้นเป็นลมได้ จึงควรหลีก เลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
  • การใช้ยากลุ่มแอลฟา-บล็อกเกอร์ร่วมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สามารถทำให้ เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ ผู้ป่วยจะรู้สึกวิงเวียนจนถึงขั้นเป็นลม จึงห้ามรับประทานร่วมกัน
  • การรับประทานยากลุ่มเบต้า บล็อกเกอร์ร่วมกับยาแก้ปวด เช่น Aspirin หรือยากลุ่ม NSAIDs เช่นยา Ibuprofen อาจส่งผลทำให้ฤทธิ์ของการลดความดันโลหิตของยาเบต้า บล็อกเกอร์ด้อยประสิทธิภาพลงไป จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกัน
  • การรับประทานยากลุ่มเบต้า บล็อกเกอร์ร่วมกับยากันชัก เช่น Phenobarbital อาจลดประสิทธิภาพในการทำงานของยาเบต้า บล็อกเกอร์ หากมีความจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีๆไป
  • การรับประทานยากลุ่มเบต้า บล็อกเกอร์ร่วมกับยาลดความดันโลหิต เช่น Clonidine สามารถทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นจนถึงระดับที่อันตราย จึงควรหลีกเลี่ยง/ห้ามใช้ร่วมกัน

ควรเก็บรักษาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์อย่างไร?

ควรเก็บยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ ภายใต้อุณหภูมิตามที่ระบุในเอกสารกำกับยา ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์ เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อนและความชื้น และเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

อะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาอะดรีเนอร์จิก แอนตาโกนิสต์ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Cardoxa (คาร์ด็อกซา)Sriprasit Pharma
Cardura/Cardura XL (คาร์ดูรา/คาร์ดูรา เอ็กซ์แอล)Pfizer
Carxasin (คาร์ซาซิน)M & H Manufacturing
Cazosin (คาโซซิน)Millimed
Dezcard (เดซการ์ด)Siam Bheasach
Dovizin (โดวิซิน)Ranbaxy
Dozozin (โดโซซิน)Umeda
Duracard (ดูราการ์ด)Sun Pharma
Genzosin (เจนโซซิน)Genovate Biotechnology
Pencor (เพนคอร์)Unison
Xadosin (ซาโดซิน)MacroPhar
Urief (ยูรีฟ)Eisai
Atodel (อโทเดล)Remedica
Hyposin 2 (ไฮโพซิน 2)V S Pharma
Lopress (โลเพรส)Siam Bheasach
Mima (มิมา)New Life Pharma
Minipress (มินิเพรส)Pfizer
Polypress (โพลีเพรส)Pharmasant Lab
Prazosin T.O. (พราโซซิน ที.โอ.)T.O. Chemicals
Pressin (เพรสซิน)Utopian
Harnal OCAS (ฮาร์นอล โอซีเอเอส)Astellas Pharma
Xatral XL (ซาทอล เอ็กซ์แอล)sanofi-aventis
Hytrin (ไฮทริน)Abbott
Desirel (ดิไซเรล)Codal Synto
Trazo (ทราโซ)Medifive
Trazodone Pharmasant (ทราโซโดน ฟาร์มาซันท์)Pharmasant Lab
Zodonrel (โซดอนเรล)Condrugs
Zorel (โซเรล)Utopian
Brevibloc (เบรวิบล็อก)Baxter Healthcare
Caraten (คาราเทน)Berlin Pharm
Dilatrend (ไดลาเทรน)Roche
Tocarlol 25 (โทคาร์ลอล 25)T. O. Chemicals
Cardoxone R (คาร์ดอซอน อาร์)Remedica
Meloc (เมล็อก)T. Man Pharma
Melol (เมลอล)Pharmasant Lab
Metoblock (เมโทบล็อก)Silom Medical
Metoprolol (เมโทโพรลอล)Stada
Metprolol (เมทโพรลอล)Pharmaland
Sefloc (เซฟล็อก)Unison
Bisloc (บิสล็อก)Unison
Concor (คอนคอร์)Merck
Hypercor (ไฮเพอร์คอร์)Sriprasit Pharma
Novacor (โนวาคอร์)Tri Medical
Nebilet (เนบิเลท)Menarini
Betoptic S (เบท็อปติก เอส)Alcon
Arteoptic (อาร์ติออพติก)Otsuka
Betagan (เบทาแกน)Allergan
Archimol (อาร์ชิมอล)T P Drug
Glauco Oph (กลายูโค ออฟ)Seng Thai
Opsartimol (ออพซาร์ไทมอล)Charoon Bhesaj
Timodrop (ไทโมดร็อพ)Biolab
Timolol Maleate Alcon (ทิโมลอล มาลีทเอท อัลคอน) Alcon
Timo-optal (ทิโม-ออฟตัล)Olan-Kemed
Timoptol (ทิมอพทอล)MSD
Timosil (ทิโมซิล)Silom Medical
Atcard (แอทการ์ด)Utopian
Atenol (อะทีนอล)T. O. Chemicals
Atenolol Community Pharm (อะทีนอล คอมมูนิตี้ ฟาร์ม)Community Pharm PCL
Atenolol Kopran (อะทิโนลอล โคพราน)Kopran
Betaday-50 (เบต้าเดย์-50)Vesco Pharma
Enolol (อีโนลอล)Charoon Bhesaj
Esnolol (เอสโนลอล)Emcure Pharma
Eutensin (ยูเทนซิน)Greater Pharma
Oraday (ออราเดย์)Biolab
Prenolol (พรีโนลอล)Berlin Pharm
Tenocard (ทีโนคาร์ด)IPCA
Tenolol (ทีโนลอล)Siam Bheasach
Tenormin (ทีนอร์มิน)AstraZeneca
Tenrol (เทนรอล)Unique
Tetalin (ทีตาลิน)Pharmasant Lab
Tolol (โทลอล)Suphong Bhaesaj
Velorin (วีโลริน)Remedica
Alperol (อัลพีรอล)Pharmasant Lab
Betalol (เบต้าลอล)Berlin Pharm
Betapress (เบต้าเพรส)Polipharm
C.V.S. (ซี.วี.เอส.)T. Man Pharma
Cardenol (คาร์ดีนอล)T.O. Chemicals
Chinnolol (ชินโนลอล)Chinta
Emforal (เอมโฟรอล)Remedica
Idelol 10 (ไอดีลอล 10)Medicine Products
Inderal (อินดีรอล)AstraZeneca
Normpress (นอร์มเพรส)Greater Pharma
Palon (พาลอล)Unison
Perlon (เพอร์ลอน)Asian Pharm
P-Parol (พี-พารอล)Osoth Interlab
Pralol (พราลอล)Pharmasant Lab
Prolol (โพรลอล)Atlantic Lab
Propanol (โพรพานอล)Utopian
Propranolol GPO (โพรพราโนลอล จีพีโอ)GPO
Syntonol (ซินโทนอล)Codal Synto

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Adrenergic_antagonist [2017,Dec9]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Catecholamine [2017,Dec9]
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Alpha_blocker [2017,Dec9]
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Beta_blocker [2017,Dec9]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Alpha-1_blocker [2017,Dec9]
  6. https://en.wikipedia.org/wiki/Alpha-2_blocker [2017,Dec9]
Updated 2017,Dec9