ส้นเท้าแตก (Cracked heels)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 8 มิถุนายน 2564
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- ส้นเท้าแตกมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
- ส้นเท้าแตกมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยส้นเท้าแตกและหาสาเหตุได้อย่างไร?
- รักษาส้นเท้าแตกอย่างไร?
- ส้นเท้าแตกก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- ส้นเท้าแตกรุนแรง/มีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ป้องกันส้นเท้าแตกได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- ผิวหนัง (Human skin)
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis)
- ผิวแห้ง (Dry skin)
- ปิโตรเลียม เจลลี่ (Petroleum jelly) วาสลีน (Vaseline)
- ยาลอกผิวหนัง หรือสารลอกคีราติน (Keratolytic agent)
- ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
- กระดูกอักเสบ (Osteomyelitis)
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)
- โรคภูมิต้านตนเอง โรคออโตอิมมูน (Autoimmune disease)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
ส้นเท้าแตก(Cracked heels) คือ รอยแยก/รอยแตกหลายๆรอยที่เกิดเป็นทางยาวบนผิวส้นเท้าซึ่งมักเกิดทั้ง2ข้าง พบทั้งเพศหญิงและเพศชาย พบสูงขึ้นในผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไป ไม่ค่อยพบในเด็ก ทั้งนี้เกิดจากส้นเท้าแห้งมาก, ได้รับแรงเสียดสี, และ/หรือ แรงกด/แรงกระแทก อย่างต่อเนื่องเรื้อรัง, ผิวส้นท้ายจึงเกิดอาการแสดง/ภาวะที่แห้งมาก หนากร้าน แข็ง จนแตกออกเป็นร่องในที่สุด
ส้นเท้าแตก ไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะ/อาการแสดง/อาการ (โรค-อาการ-ภาวะ)ที่พบบ่อยมากทั่วโลก มีการศึกษาจากประเทศศรีลังการายงานในปี ค.ศ. 2004 พบอัตราเกิดประมาณ 60%ของประชากรศรีลังกาในทั้ง 2 เพศ, ภาวะนี้มักพบในวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป และทั้ง2เพศมีโอกาสเกิดใกล้เคียงกันขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆดังจะได้กล่าวใน ‘หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’
อนึ่ง:
- อีกชื่อของส้นเท้าแตก คือ Heel fissures
- ผิวหนังแตกเป็นรอยลึก/ร่องลึก มักเกิดเฉพาะส้นเท้า เพราะส้นเท้าเป็นผิวหนังส่วนที่แห้งมาก จากมีชั้นหนังกำพร้าหนา แต่ชั้นหนังแท้บาง และยังไม่มีต่อมสร้างน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื่นกับผิวส้นเท้า, จึงส่งผลให้ผิวหนังส่วนนี้แห้งมาก ร่วมกับยังได้รับแรงกดและการเสียดสีตลอดเวลาจึงส่งผลให้เกิดการแห้งกร้าน แข็ง และแตกเป็นร่องได้ง่าย หรือ ‘ส้นเท้าแตก’ นั่นเอง
ส้นเท้าแตกมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงและกลไกเกิดส้นเท้าแตก ได้แก่ การที่ผิวส้นเท้าแห้งมาก จนกร้าน ด้าน แข็ง หยาบ และเมื่อร่วมกับมีแรงกดและ/หรือการเสียดสีมากต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ผิวส้นเท้าแตกเป็นร่องลึก ที่เรียกว่า ‘ส้นเท้าแตก’
ทั้งนี้สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผิวส้นเท้าแห้งกร้าน แตกฯ ได้แก่
- เป็นผู้มีผิวแห้งจากพันธุกรรม
- อาศัย/อาชีพที่อยู่ในภูมิอากาศที่แห้ง หรือในสถานที่ๆแห้ง ร้อน ตลอดเวลา เช่น ครัว หรือโรงงานที่ใช้ความร้อนมาก
- ส้นเท้าสัมผัสสารที่ทำให้เกิดการ ระคายเคือง แห้ง บ่อยๆ เช่น ผงซักฟอก, น้ำยาล้างห้องน้ำ, สารเคมีต่างๆ มีรายงานรวมถึงสบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง
- โรคต่างๆที่ทำให้เกิดผิวแห้งมากทั่วตัวที่รวมถึงส้นเท้า เช่น
- โรคผิวหนังต่างๆ เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดต่างๆ, โรคสะเก็ดเงิน
- โรคเบาหวาน
- โรคเส้นประสาทส่วนปลาย
- โรคหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดส่วนปลาย
- โรคต่อมเหงื่อชนิดที่ทำให้ไม่มีเหงื่อหรือเหงื่อออกน้อยผิดปกติ
- โรคภูมิต้านตนเอง/ โรคออโตอิมมูน โดยเฉพาะโรคหนังแข็ง
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ)
- โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินที่เพิ่มแรงกดต่อส้นเท้าและส่งผลให้ส้นเท้าเสียดสีกับพื้นตลอดเวลา
- เดินเท้าเปล่าเป็นประจำ
- ชอบใส่รองเท้าแตะ หรือ รองเท้าที่เปิดส้น หรือรองเท้าไม่มีส้น เป็นประจำ
- ทำงานที่ต้องยืนหรือเดินทั้งวันบนพื้นที่หนาแข็ง
- เท้าผิดปกติ เช่น เท้าแบน หรือ การเดินที่ผิดปกติ ที่ส่งผลให้เดินกดส้นเท้าเสมอ
- รับประทานยาประจำที่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ง่าย เช่น ยาขับปัสสาวะ ผิวจึงแห้งขาดความชุ่มชื้น
- ขาดสารอาหารที่บำรุงผิวหนัง เช่น วิตามินอี, วิตามิน บี3, วิตามินซี
- การตั้งครรภ์ จาก
- น้ำหนักตัวเพิ่ม น้ำหนักจึงกดลงบนส้นเท้ามากต่อเนื่อง
- ขนาดครรภ์ที่ส่งผลถึงท่าเดินที่มีผลต่อการลงน้ำหนักส้นเท้า
- และอาจจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังส่วนต่างๆ
ส้นเท้าแตกมีอาการอย่างไร?
อาการอื่นๆที่อาจพบร่วมกับส้นเท้าแตก เช่น
- ผิวหนังส้นเท้า หนา แข็ง ด้าน แห้งมากจนอาจขึ้นเป็นสันหรือก้อนแข็ง
- มีร่องแตกเล็กๆทั่วไประหว่างผิวที่แห่งกร้าน
- เจ็บ ระคายเคือง ที่ส้นเท้า โดยเฉพาะเมื่อลงน้ำหนักที่ส้นเท้า
- อาจคัน
- เลือดออกง่ายที่รอยแห้ง แตก
- อาจกดเจ็บ
- สีผิวส้นเท้าออกสีเหลืองอ่อน หรือน้ำตาลอ่อน
- เมื่อเป็นมากจะมีการอักเสบ และมักร่วมกับติดเชื้อร่วมด้วย อาการคือ
- ส้นเท้า รอยแห้ง แตก จะบวม แดง ร้อน ร่องแตกจะขยายใหญ่และลึกขึ้น
- เจ็บ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัส บีบ กด เดิน
- มีน้ำเหลืองหรือสารคัดหลั่งซึมตลอดเวลา
- เมื่ออาการมากขึ้นจะเกิดเป็นแผลแตกเป็นหนอง และลุกลามเป็น เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ(Cellulitis)
- ซึ่งในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี แผลติดเชื้อนี้อาจลุกลามมากจนเกิดแผลเนื้อตายที่อาจลุกลามเข้ากระดูกเท้าจนเกิดกระดูกอักเสบจนเกิดภาวะกระดูกตายจากติดเชื้อตามมาในที่สุด
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อส้นเท้าแตกจนเจ็บมากขึ้นๆหลังดูแลตนเอง หรือ เกิดการบวม แดง ร้อน หรือเป็นแผล ต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลด่วน เพื่อการรักษาและป้องกันการติดเชื้อที่อาจลุกลามรุนแรงจนลายเป็นเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ
แพทย์วินิจฉัยส้นเท้าแตกและหาสาเหตุได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยส้นเท้าแตกได้จาก ซักถามประวัติอาการผู้ป่วย, ประวัติสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง(เช่น ดังกล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’), ร่วมกับตรวจดูและคลำรอยโรคที่ส้นเท้า ก็สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้โดยไม่มีต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และ/หรือเอกซเรย์ภาพส้นเท้า
แต่ถ้าแพทย์ต้องการหาปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน หรือกรณี มีแผล/สารคัดหลั่ง/หนอง/การติดเชื้อ แพทย์อาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- ตรวจเลือด เช่น
- ตรวจซีบีซี/CBC ดู ภาวะซีด และการติดเชื้อ
- ดูค่าน้ำตาลในเลือด/ดูเบาหวาน
- ดูค่าฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์
- ดูค่าสารภูมิต้านทาน และสารก่อภูมิต้านทานกรณีสงสัยโรคภูมิต้านตนเอง
- ตรวจเชื้อ อาจร่วมกับการตรวจเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่ง/หนองจากแผล
- ตรวจภาพเท้า เช่น เอกซเรย์เท้า ดูกระดูกส้นเท้า/กระดูกเท้า
รักษาส้นเท้าแตกอย่างไร?
แนวทางการรักษาส้นเท้าแตก ได้แก่
ก. เมื่ออาการเพิ่งเริ่มเป็น ผิวเริ่มแห้งมากขึ้น แต่ยังไม่แข็ง ยังไม่เป็นร่อง การดูแลรักษาคือ การดูแลตนเอง เช่น
- เลือกใช้รองเท้าที่หุ้มส้นเสมอ และเลือกรองเท้าให้เหมาะกับงานและประเภทกีฬา
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่หุ้มดูแลส้นเท้า(Heel cup)
- ทาครีมบำรุงผิวส้นเท้าให้ชุ่มชื้นเสมอ ทั้งหลังอาบน้ำและก่อนนอน เช่นยา ปิโตรเลียม เจลลี่ (วาสลีนเจลลี)
- ระมัดระวังส้นเท้าไม่ให้ถูกสารเคมีเรื้อรัง
- เลือกใช้สบู่อ่อนโยนกับส้นเท้า
- ควบคุมน้ำหนักตัว เพื่อลดน้ำหนักที่กดทับส้นเท้าต่อเนื่อง
- เมื่อผิวส้นเท้าเริ่มเป็นร่อง หรือหนาแข็ง ควรรีบพบแพทย์
- ป้องกัน รักษา ควบคุม โรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเกิดส้นเท้าแตกรวมถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ส้นเท้าแตกรุนแรงดังกล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’ให้ได้เป็นอย่างดี (แนะนำอ่านรายละเอียดวิธีรักษา, การดูแลตนเอง, และการป้องกันโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงได้จากเว็บ haamor.com’
ข.แพทย์มีวิธีรักษาส้นเท้าแตก โดย
- แนะนำชนิดรองเท้าที่เหมาะสม อาจร่วมกับใช้ผลิตภัณฑ์หุ้มส้นเท้า
- ทาครีมที่เป็นยาลอกผิวหนังที่แห้งแข็ง(Keratolytic agent) ร่วมกับครีมให้ความชุ่มชื้นผิว เช่น วาสลีน
- สอนการดูแลกรณีมีเลือดออก หรือมีแผลแตก
- ให้ยาปฏิชีวนะกรณีมีแผลติดเชื้อ และอาจต้องผ่าตัด กรณีเกิดแผลเนื้อตาย หรือ กระดูกอักเสบ
- รักษาผลข้างเคียงต่างๆที่เกิดขึ้น
- รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงซึ่งจะทำให้เกิดส้นเท้าแตกและรุนแรง เช่น เบาหวาน , ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน, โรคภูมิต้านตนเอง(แนะนำอ่านรายละเอียด วิธีรักษา, การดูแลตนเอง, และการป้องกันโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงได้จากเว็บ haamor.com’
ส้นเท้าแตกก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงจากส้นเท้าแตก ได้แก่
- เป็นปัญหาด้านความสวยงามสำหรับบางคน
- เจ็บเรื้อรังเวลาเดิน
- มีเลือดออกเรื้อรังจากรอยแตกที่ส้นเท้า
- ส้นเท้าติดเชื้อ อาจรุนแรงจนเกิดฝี/หนอง, เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ, และ/หรือ กระดูกอักเสบ
ส้นเท้าแตกรุนแรง/มีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของส้นเท้าแตก คือ เป็นโรคไม่รุนแรง มีการพยากรณ์โรคที่ดี ไม่ทำให้ถึงตาย แต่ถ้าดูแล รักษาไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่การรักษาจะยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายสูง และ อาจต้องใช้การผ่าตัดเข้าช่วยซึ่งอาจส่งผลถึงคุณภาพชีวิตได้
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองในเรื่องส้นเท้าแตกที่ดีที่สุด คือ
- ป้องกันไม่ให้เกิดส้นเท้าแตกซึ่งทั่วไปที่สำคัญ คือ
- หลีกเลี่ยง ป้องกัน สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ดังได้กล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’
- ป้องกัน ควบคุม รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’ให้ได้ดี (แนะนำอ่านรายละเอียด วิธีรักษา, การดูแลตนเอง, และการป้องกันโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงได้จากเว็บ haamor.com)
- ดูแลเท้า/ส้นเท้า ดังได้กล่าวใน ’ข้อ ก. ของหัวข้อ การรักษาฯ’
- เมื่อเริ่มเกิดส้นเท้าแตก: การดูแลเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวใน’ข้อ ก. ของหัวข้อ การรักษาฯ’
- เมื่อส้นเท้าแตกมาก: เช่น เจ็บเสมอเมื่อเดิน ฯลฯ, การดูแลที่ดีที่สุดคือ รีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อการรักษาจากแพทย์เพื่อดูแลรักษาและป้องกัน ผลข้างเคียงจากส้นเท้าแตกรุนแรง
ป้องกันส้นเท้าแตกได้อย่างไร?
ป้องกันส้นเท้าแตกได้โดย
- หลีกเลี่ยงสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเกิดส้นเท้าแตกดังได้กล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง’
- ดูแลตนเองเช่นเดียวกับดังได้กล่าวใน ’หัวข้อ การรักษาฯ ข้อ ก.’
- รีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเมื่อเริ่มสังเกตเห็นส้นเท้าเริ่มหนา กร้าน และไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง เพื่อป้องกันส้นเท้าแตกที่รุนแรงจนอาจเกิดผลข้างเคียงจากส้นเท้าแตก
บรรณานุกรม
- Saroj Jayasinghe, et al. Ceylon Medical Journal 2004, 49(3):101.https://www.researchgate.net/publication/8196817_Cracked_skin_of_feet_an_ignored_entity_in_the_tropics [2021,June5]
- https://www.emedihealth.com/cracked-heels.html [2021,June5]
- https://dermnetnz.org/topics/cracked-heel/ [2021,June5]
- http://www.wikipodiatry.com.au/cracked-heels.php [2021,June5]
- https://www.feetattheclinic.co.uk/cracked-heels-fissures/ [2021,June5]
- https://www.verywellhealth.com/skin-anatomy-4774706 [2021,June5]