ลิรากลูไทด์ (Liraglutide)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาลิรากลูไทด์(Liraglutide)เป็นยาที่เป็นสารประเภท Glucagon-like peptide-1 receptor angonist หรือ Incretin mimetics มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ได้นาน จึงนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ประโยชน์อีกประการหนึ่งของยานี้ คือใช้เป็นยาลดน้ำหนัก/ยาลดความอ้วนในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินที่คำนวณจากค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 กิโลกรัม/ตารางเมตร

รูปแบบยาแผนปัจจุบันของยาลิรากลูไทด์จะเป็นยาฉีด โดยใช้ฉีดเข้าทางใต้ผิวหนัง และใช้เวลาประมาณ 8 – 12 ชั่วโมง ตัวยาในกระแสเลือดจึงจะมีความเข้มข้นสูงสุด อัตราการกระจายตัวของยานี้ในร่างกายมีเพียงครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 55% ยาลิรากลูไทด์ในกระแสเลือดจะเข้าจับกับพลาสมาโปรตีนได้มากกว่า 98% และร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมงขึ้นไปในการขับยานี้ออกจากกระแสเลือด โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะและอุจจาระ ซึ่งการใช้ยาลิรากลูไทด์จะต้องมีความต่อเนื่อง และเป็นไปตามคำสั่งแพทย์

ผู้ที่ได้รับยาลิรากลูไทด์เกินขนาด จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อย่างรุนแรง การช่วยเหลือบำบัดรักษากรณีนี้ แพทย์จะบำบัดรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น(การรักษาประคับประคองตามอาการ)

มีข้อห้ามใช้ประการสำคัญของยาลิรากลูไทด์กับผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อไทรอยด์ ชนิด Medullary thyroid carcinoma ย่อว่า MTC) ดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ อาจได้รับคำแนะนำให้ตรวจคลำก้อนเนื้อหรือาการบวมในบริเวณลำคอ(บริเวณต่อมไทรอยด์)ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงสังเกตการมีอาการเสียงแหบ การกลืน ลำบาก และหายใจขัด/หายใจลำบาก หรือไม่ หากพบอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยควรต้องรีบมาพบแพทย์โดยเร็วโดยไม่ต้องรอถึงวันนัด

นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามใช้ยาลิรากลูไทด์อื่นๆอีกบางประการ ที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยานี้ได้ เช่น

  • ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้ยาลิรากลูไทด์มาก่อน
  • ผู้ป่วยโรคเนื้องอกในหลายๆอวัยวะของระบบต่อมไร้ท่อพร้อมกันที่เรียกว่าโรค Multiple endocrine neoplasia(ย่อว่า MEN) syndrome Type2 ก็จัดเป็นกลุ่มที่ห้ามใช้ยาลิรากลูไทด์
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาอินซูลินลดน้ำตาลในเลือด
  • ผู้ที่มีภาวะตับอ่อนอักเสบอย่างมาก หากได้รับยานี้จะทำให้อาการโรครุนแรงมากขึ้น
  • ห้ามใช้ยานี้กับเด็ก ด้วยยังไม่มีการประเมินผลดี-ผลเสียของการใช้ยานี้กับเด็กอย่างชัดเจน
  • สตรีตั้งครรภ์จัดเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ห้ามใช้ยานี้ ด้วยการลดน้ำหนักตัวของมารดาที่ตั้งครรภ์จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ด้วยยังไม่มีข้อมูลอย่างแน่ชัดว่ายานี้ ผ่านเข้าน้ำนมมารดา และสามารถส่งผ่านไปถึงทารกได้หรือไม่

ทั้งนี้ อาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ที่อาจพบได้บ่อยขณะที่ใช้ยาลิรากลูไทด์ ได้แก่ ท้องผูกหรือท้องเสีย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

ในประเทศไทยโดยคณะกรรมการอาหารและยา ได้กำหนดให้ยาลิรากลูไทด์อยู่ในหมวดยาอันตราย การจะใช้ยานี้ต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น และเรามักพบเห็นการใช้ยานี้แต่ในสถานพยาบาล

อนึ่ง หากต้องการทราบข้อมูลการใช้ยาลิรากลูไทด์เพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้จากแพทย์ และจากเภสัชกรได้โดยทั่วไป

ลิรากลูไทด์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

ลิรากลูไทด์

ยาลิรากลูไทด์มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น

  • ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เมื่อการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถใช้ ยาลิรากลูไทด์ร่วมกับยารักษาเบาหวานตัวอื่นได้ อย่างเช่น Metformin + Liraglutide, Sulfonylurea/Sulphonylurea + Liraglutide, Liraglutide + Metformin + Sulphonylurea, Liraglutide + Metformin + Glitazone, และกรณีที่ใช้ยาเหล่านี้ร่วมกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อาจใช้ยาอินซูลินเพื่อช่วยควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือดร่วมด้วยอีกทางหนึ่ง
  • ใช้เป็นยาลดน้ำหนักตัว/ยาลดความอ้วน

ลิรากลูไทด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

กลไกการออกฤทธิ์ของยาลิรากลูไทด์คือ ตัวยาจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งฮอร์โมนอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญน้ำตาลในกระแสเลือด นอกจากนี้ ตัวยานี้ยังออกฤทธิ์ต่อสมอง ส่งผลชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด และลดการอยากอาหาร จากกลไกที่กล่าวมา จึงมีผลให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ

ลิรากลูไทด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาลิรากลูไทด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาฉีด ขนาด 6 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และ 18 มิลลิกรัม/3 มิลลิลิตร

ลิรากลูไทด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร?

ยาลิรากลูไทด์มีขนาดการบริหารยา/ใช้ยา เช่น

ก.สำหรับรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2:

  • ผู้ใหญ่: เริ่มต้นฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังขนาด 0.6 มิลลิกรัม วันละ1ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ขนาดที่ใช้คงระดับการรักษาอยู่ที่ 1.2 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง แต่หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยังไม่ดีพอ แพทย์อาจเพิ่มขนาดการฉีดยาเป็น 1.8 มิลลิกรัม วันละ 1ครั้ง ขนาดการใช้ยาสูงสุดไม่เกิน 1.8 มิลลิกรัม/วัน

ข.สำหรับใช้ลดน้ำหนัก/ยาลดความอ้วน:

  • ผู้ใหญ่: สัปดาห์แรก: ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังขนาด 0.6 มิลลิกรัม วันละ1 ครั้ง, สัปดาห์ที่2 ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังขนาด 1.2 มิลลิกรัม วันละ1ครั้ง, สัปดาห์ที่3 ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังขนาด 1.8 มิลลิกรัม วันละ1ครั้ง, สัปดาห์ที่4 ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังขนาด 2.4 มิลลิกรัม วันละ1ครั้ง, สัปดาห์ที่5 ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังขนาด 3 มิลลิกรัม วันละ 1ครั้ง ทั้งนี้ขนาดที่ใช้คงระดับการรักษาอยู่ที่ 3 มิลลิกรัม/วัน

อนึ่ง:

  • เด็ก: ยังไม่มีขนาดการใช้ยานี้กับเด็ก
  • กรณีที่ใช้ร่วมกับยาอินซูลิน แพทย์จะพิจารณาขนาดของยาลิรากลูไทด์ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นกรณีๆไป เพื่อป้องกันเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • กรณีใช้เพื่อลดน้ำหนักตัว หากใช้ขนาด 3 มิลลิกรัม วันละ1ครั้งแล้วยังไม่เห็นประสิทธิผล แพทย์จะพิจารณาปรับแนวทางการรักษาใหม่ โดยทั่วไป แพทย์จะมีการประเมินน้ำหนักตัวผู้ป่วยภายใน 16 สัปดาห์หลังได้รับยานี้
  • การใช้ยานี้เพื่อลดน้ำหนัก จะใช้กับผู้ใหญ่ที่มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 กิโลกรัม/ตารางเมตร ขึ้นไป
  • การคำนวณค่า ดัชนีมวลกาย ใช้สูตรดังนี้ น้ำหนักตัวผู้ป่วยในหน่วยกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงในหน่วยเมตรยกกำลังสอง [น้ำหนักตัว(กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง2(เมตรยกกำลังสอง)]

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียง ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาลิรากลูไทด์ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆอย่าง เช่น โรคมะเร็ง โรคเนื้องอก รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาลิรากลูไทด์อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมมารับการฉีดยาควรทำอย่างไร?

หากลืมมารับการฉีดยาลิรากลูไทด์ สามารถมารับการฉีดยาเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการใช้ยาในครั้งถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า

ลิรากลูไทด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาลิรากลูไทด์สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย ดังนี้ เช่น

  • ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ ท้องเสียหรือไม่ก็ท้องผูก อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง กรดไหลย้อน ท้องอืด ปากแห้ง ติดเชื้อไวรัสในกระเพาะอาหารและลำไส้(ไวรัสลงกระเพาะ ท้องเดินจากไวรัส) ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
  • ผลต่อการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำ เบื่ออาหาร ร่างกายสูญเสียน้ำ/ภาวะขาดน้ำ
  • ผลต่อระบบประสาท: เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน
  • ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น หลอดลมอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ คออักเสบ โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน
  • ผลต่อหัวใจ: เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตต่ำ
  • ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ: เช่น ทางเดินปัสสาวะอักเสบ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
  • ผลต่อไต: เช่น เป็นพิษกับไต/ไตอักเสบ ไตวายเฉียบพลัน
  • ผลต่อผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นคัน ลมพิษ
  • ผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ: เช่น ค่า Calcitonin(ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ที่ควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด)ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น
  • ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวล มีความคิดอยากทำร้ายตนเอง
  • ผลต่อตับ: เช่น ค่าเอนไซม์การทำงานของตับในเลือดเพิ่มขึ้น ค่าบิลิรูบินในเลือดสูง ตับอักเสบ

มีข้อควรระวังการใช้ลิรากลูไทด์อย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาลิรากลูไทด์ เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก
  • ห้ามใช้ยาที่มีภาชนะบรรจุแตกหัก หรือเกิดการปนเปื้อนในหลอดที่บรรจุยา เช่น สียาเปลี่ยน มีกลิ่นผิดปกติ มีผง เป็นต้น
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยประเภท มะเร็งชนิด Medullary thyroid carcinoma และเนื้องอกชนิด Multiple endocrine neoplasia
  • ห้ามฉีดยานี้เข้าหลอดเลือด หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ต้องฉีดเฉพาะเข้าใต้ผิวหนัง โดยฉีดเหนือต้นแขน หรือบริเวณหน้าท้องก็ได้
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes)
  • การใช้ยานี้ไม่ขึ้นกับมื้ออาหาร โดยแพทย์จะเป็นผู้กำกับเวลาการให้ยานี้กับผู้ป่วย
  • ระหว่างการใช้ยานี้ ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดควบคู่กันไปตามคำแนะนำของแพทย์
  • ผู้ป่วยควรเรียนรู้การปฐมพยาบาลจาก แพทย์ พยาบาล กรณีเมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง น้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวาน)
  • มารับการฉีดยานี้ตามคำสั่งแพทย์ กรณีที่มาไม่ได้ตามนัด ควรแจ้งให้แพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ทราบ เพื่อนัดหมายการฉีดยากันใหม่ ไม่ควรละเลยหรือละทิ้งการรักษากลางครัน
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาลิรากลูไทด์ด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บhaamor.comบทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมถึงต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

ลิรากลูไทด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาลิรากลูไทด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • การใช้ยาลิรากลูไทด์ร่วมกับ ยาInsulin, ยา MAOI, Quinolone, Antibiotics, Salicylates, SSRIs, Sulfonylureas, อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาลิรากลูไทด์ร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่ม Thiazide ด้วยจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของยารักษาเบาหวาน
  • การใช้ยาลิรากลูไทด์ร่วมกับยา Bexarotene อาจทำให้เกิดอาการตับอ่อนอักเสบ หากไม่มีความจำเป็นใดๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
  • การใช้ยาลิรากลูไทด์ร่วมกับยา Hydrocortisone อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลิรากลูไทด์ด้อยลงไป การใช้ยาร่วมกัน ควรต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติเสมอตามแพทย์แนะนำ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหลังจากได้รับ ยาลิรากลูไทด์ ด้วยจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนควบคุมไม่ได้

ควรเก็บรักษาลิรากลูไทด์อย่างไร?

ควรเก็บยา ลิรากลูไทด์ในช่วงอุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส(Celsius) ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ทั้งนี้ หลังเปิดใช้ยาแล้วอาจเก็บต่อได้อีก 30 วัน โดยเก็บยาในช่วงอุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส

นอกจากนั้น ควรเก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด/แสงสว่าง ความร้อนและความชื้น และเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ลิรากลูไทด์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาลิรากลูไทด์ ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Victoza (วิกโทซา)Novo Nordisk

อนึ่ง ยาชื่อการค้าของยานี้ ที่จำหน่ายในต่างประเทศ เช่น Saxenda

บรรณานุกรม

  1. https://www.drugs.com/cdi/liraglutide.html [2016,Nov5]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Liraglutide [2016,Nov5]
  3. http://www.mims.com/thailand/drug/info/liraglutide/?type=brief&mtype=generic [2016,Nov5]
  4. http://www.mims.com/thailand/drug/info/victoza/?type=brief [2016,Nov5]