ยารักษากลาก (Ringworm medications)
- โดย พรลภัส บุญสอน
- 3 เมษายน 2562
- Tweet
- ยารักษากลากคืออะไร?
- ยารักษากลากแบ่งเป็นกี่กลุ่ม?
- ยารักษากลากมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- ยารักษากลากมีข้อบ่งใช้อย่างไร?
- ยารักษากลากมีข้อห้ามใช้อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้ยารักษากลากอย่างไร?
- การใช้ยารักษากลากในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยารักษากลากในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
- การใช้ยารักษากลากในเด็กควรเป็นอย่างไร?
- อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยารักษากลากเป็นอย่างไร?
- สรุป
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- กลาก (Tinea)
- เชื้อรา โรคเชื้อรา (Fungal infection)
- ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
- กลุ่มอาการคล้ายปฏิกิริยาจากยาไดซัลฟิแรม (Disulfiram-like Reaction)
- กลุ่มอาการคล้ายโรคลูปัส (Lupus-like Syndrome) หรือ กลุ่มอาการคล้ายโรคลูปัสที่เกิดจากการเหนี่ยวนำโดยยา (Drug-Induced Lupus Erythematosus)
ยารักษากลากคืออะไร?
โรคกลาก (Dermatophyte infections หรือ Tinea หรือ Ringworm) มีสาเหตุจากการติดเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟท์ (Dermatophytes) ซึ่งเป็นเชื้อราก่อโรคบริเวณผิวหนัง ผม และเล็บ
ดังนั้น ‘ยาที่ใช้รักษาโรคกลาก(Ringworm medications หรือ Tinea medication หรือ Dermatophytosis medications) จึงเป็นยาที่ออกฤทธิ์เป็นยาต้านเชื้อราในกลุ่มโรคกลาก
ยารักษาโรคกลาก มีทั้งรูปแบบยาใช้เฉพาะที่ และยารับประทาน ซึ่งสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยอาจพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น
- ความรุนแรงของโรค
- บริเวณที่เป็นโรค
- โรคร่วมต่างๆของผู้ป่วย
- ความพึงพอใจของผู้ป่วยในการเลือกใช้รูปแบบของยา
- อาการไม่พึงประสงค์จากยาที่อาจเกิดขึ้นกับแต่ละผู้ป่วย
ยารักษากลากแบ่งเป็นกี่กลุ่ม?
ยารักษากลาก แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอก (Topical antifungals) เช่นยา
- คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
- โคลไตรมาโซล (Clotrimazole)
- ไมโคนาโซล (Miconazole)
- อีโคนาโซล (Econazole)
- เซอร์ทาโคนาโซล (Sertaconazole )
- ไซโคลไพร็อก (Ciclopirox)
- เทอร์บินาฟีน (Terbinafine)
- โทลนาฟเตท (Tolnaftate)
- ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ (Whitfield's ointment)
2. ยาต้านเชื้อราที่อยู่ในรูปแบบแชมพูสระผม (Antifungal shampoos) เช่นยา
- คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
- ซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide)
- ซิงก์ ไพริไทโอน (Zinc pyrithione)
3. ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน (Oral antifungals) เช่นยา
- กริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin)
- ฟลูโคนาโซล (Fluconazole)
- ไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
- คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
- เทอร์บินาฟีน (Terbinafine)
4. ยาทาสูตรผสมระหว่าง ยาสเตียรอยด์ กับ ยาต้านเชื้อรา (Combination corticosteroid/antifungal agents) เช่นยา
- เบต้าเมทาโซน + โคลไตรมาโซล (Betamethasone + Clotrimazole)
ยารักษากลากมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยารักษากลากมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เป็น
- ครีม (Cream)
- เจล (Gel)
- ผง (Powder)
- โลชั่น (Lotion)
- ยาน้ำใส (Solution)
- ขี้ผึ้ง (Ointment)
- ยาทาเล็บ (Nail lacquer)
- แชมพู (Shampoo)
- ยาเม็ด (Tablet)
- ยาแคปซูล (Capsule)
- ยาน้ำเชื่อม (Syrup)
- ยาน้ำแขวนตะกอนชนิดรับประทาน (Oral suspension)
- ยาน้ำใสชนิดรับประทาน (Oral solution)
อนึ่ง แนะนำอ่านเพิ่มเติมเรื่องรูปแบบของยาต่างๆได้จากเว็บ haamor.com บทความเรื่อง “รูปแบบยาเตรียม”
ยารักษากลากมีข้อบ่งใช้อย่างไร?
ยารักษากลากมีข้อบ่งใช้ เพื่อ
- ใช้รักษาโรคกลาก และ/หรือ ป้องกันการกลับเป็นซ้ำ โดยมีรายละเอียดดังนี้ เช่น
- ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอก ใช้ทาเมื่อมีผื่นเฉพาะที่ เช่น ใบหน้า ลำตัว ขาหนีบ มือ เท้า หรือเล็บ เป็นต้น โดยให้ทาเกินขอบผื่นออกมาอีกอย่างน้อย 2 เซนติเมตร
- ยาต้านเชื้อราที่อยู่ในรูปแบบแชมพูสระผม ใช้เป็นยาเสริมในการรักษาโรคกลากในบางบริเวณ เช่น หนังศีรษะ
- ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน ใช้เป็นยาหลักในการรักษาโรคกลากบริเวณหนังศีรษะและเล็บ นอกจากนี้ยังใช้เมื่อมีผื่นเป็นบริเวณกว้าง หรือผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาทา
- ยาทาสูตรผสมระหว่างยาสเตียรอยด์ กับ ยาต้านเชื้อรา ใช้รักษาโรคกลากที่มีอาการอักเสบของผิวหนังร่วมด้วย เช่น บวม แดง คัน แสบร้อน
ยารักษากลากมีข้อห้ามใช้อย่างไร?
ยารักษากลากมีข้อห้ามใช้ เช่น
- ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานั้นๆ หรือมีปฏิกิริยาตอบสนอง/ปฏิกิริยาไวเกินที่รุนแรง
- ยา Fluconazole ถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางไต ดังนั้นควรปรับลดขนาดยาลงในผู้ที่มีการทำงานของไตผิดปกติ
- ห้ามใช้ยา Itraconazole ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะอาจทำให้อาการแย่ ลง
- ห้ามใช้ยา Terbinafine ในผู้ป่วยที่เป็น โรคตับ หรือ โรคไต
มีข้อควรระวังการใช้ยารักษากลากอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยารักษากลาก เช่น
- ขณะที่ใช้ยาในรูปแบบยาสระผม ควรมัดระวังไม่ให้เข้าตา หากผลิตภัณฑ์เข้าตา ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก
- การใช้แชมพูฟอกบริเวณผิวหนัง ให้ฟอกบริเวณที่เป็นโรค แล้วทิ้งไว้นานประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก ไม่ควรทิ้งไว้นานเกินไป หรือใช้บ่อยกว่าที่กำหนด เพราะอาจทำให้ระคายเคือง แสบร้อน ผิวแห้งลอก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยา Ketoconazole ในรูปแบบรับประทาน เพราะอาจทำให้เกิดพิษต่อตับ
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับ
- ควรเลือกใช้ยานี้เมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาทา หรือ รักษาด้วยยาต้านเชื้อราชนิดอื่นไม่ได้ผล หรือไม่สามารถทนต่อยาต้านเชื้อราชนิดอื่นได้เท่านั้น
- ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน Ketoconazole, Fluconazole, และ Itraconazole เป็นยาที่มีคุณสมบัติเป็นตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme inhibitor), ส่วน Griseofulvin เป็นยาที่เพิ่มการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme inducer) ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug interaction) กับยาอื่นได้ง่าย
- ขณะที่ใช้ยาต้านเชื้อรา Griseofulvin และ Ketoconazole ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการคล้ายปฏิกิริยาจากยาไดซัลฟิแรม (Disulfiram-like Reaction) อาการที่เกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้อาเจียน ใบหน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว หากมีอาการรุนแรงอาจทำให้หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก ช็อก หรือเสียชีวิต
- ควรหลีกเลี่ยงการทายาทาสูตรผสมระหว่าง ยาสเตียรอยด์ กับ ยาต้านเชื้อราบริเวณผิวหนังที่บอบบาง เช่น ขาหนีบ รักแร้ เต้านม ใบหน้า อวัยวะเพศ และควรใช้ยานี้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมตามแพทย์/เภสัชกรแนะนำ ไม่ใช้ติดต่อกันนานเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้โรคกลากกลับมาเป็นซ้ำแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ยาจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์อีกด้วย
- ควรระวังการใช้ยา Terbinafine ในผู้ที่เป็นโรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus ย่อว่า SLE), ผู้มีความผิดปกติของเม็ดเลือด, หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
การใช้ยารักษากลากในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยารักษากลากใน หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ควรเป็นดังนี้ เช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทานในหญิงมีครรภ์/ตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ควรเลือกใช้ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอก เนื่องจากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย จึงมีความปลอดภัยมากกว่า โดยเลือกใช้ยา Clotrimazole, Terbinafine, หรือ Ciclopirox เป็นตัวเลือกแรก
การใช้ยารักษากลากในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยารักษากลากในผู้สูงอายุควรเป็นดังนี้ เช่น
- เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีโรคร่วม/โรคประจำตัว และมียาที่ต้องใช้เป็นประจำหลายชนิดอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีอาการของโรคกลากที่ไม่รุนแรง ควรเริ่มจากการใช้ยาต้านเชื้อราชนิดทาก่อน เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา และอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
- หากมีอาการกลากรุนแรง มีผื่นบริเวณกว้าง หรือใช้ยาทาไม่ได้ผล สามารถใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทานได้ โดยเลือกยา Terbinefine เป็นยาตัวเลือกแรก เพราะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี นอกจากนี้ยังพบการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาและอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาน้อยกว่ายาต้านเชื้อราตัวอื่น
การใช้ยารักษากลากในเด็กควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยารักษากลากในเด็กควรเป็นดังนี้ เช่น
- ผู้ป่วยเด็กสามารถใช้ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอกได้เช่นเดียวกันกับวัยผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าอาการของโรคกลากไม่รุนแรง ควรเริ่มรักษาโดยการใช้ยาทาภายนอกก่อน
- หากมีอาการรุนแรง สามารถใช้ยารับประทานได้เช่นกัน โดยเลือกยา Terbinafine เป็นตัวเลือกแรก เพราะมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยค่อนข้างดีในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยารักษากลากเป็นอย่างไร?
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในกลุ่ม ยารักษากลาก เช่น
- ยาต้านเชื้อราชนิดทาภายนอกและแชมพูสระผม พบอาการไม่พึงประสงค์ฯได้น้อยและส่วนใหญ่จะพบในบริเวณที่ใช้ยา เช่น
- คัน
- ระคายเคือง
- ผิวแดง
- ผิวหนังแสบร้อน
- ผื่นลมพิษ
- ผิวแห้งลอก
- ยา Griseofulvin อาจทำให้
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย
- ท้องอืด
- เหนื่อยล้า
- มึนงง
- นอนไม่หลับ
- ตาพร่า
- ปลายประสาทอักเสบ
- เป็นพิษต่อตับ/ ตับอักเสบ
- ผิวหนังไวต่อแสง (Photosensitivity)
- มีอาการคล้ายโรคลูปัส (Lupus-like reaction หรือ Lupus like syndrome)
- ยา Fluconazole อาจทำให้
- ปวดศีรษะ
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย
- การรับรสผิดปกติ
- ผื่นคันบริเวณผิวหนัง
- ยา Itraconazole อาจทำให้เกิดอาการ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- บวมน้ำ
- ปวดศีรษะ
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย
- มีไข้
- อ่อนเพลีย
- ความดันโลหิตสูง
- เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- ยา Ketoconazole ชนิดรับประทาน อาจทำให้เกิดอาการ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- เบื่ออาหาร
- ปวดศีรษะ
- มึนงง
- อ่อนเพลีย
- หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- เต้านมโตในเพศชาย
- อาการไม่พึงประสงค์ต่อระบบตับและน้ำดี เช่น
- ตับอักเสบ/ เซลล์ตับถูกทำลาย
- ดีซ่าน
- ระดับเอนไซม์การทำงานของตับในเลือดเพิ่มขึ้น
- ภาวะตับโต
- ยา Terbinafine อาจทำให้
- มีไข้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- ปวดศีรษะ
- การรับกลิ่นหรือรสผิดปกติ
- น้ำหนักตัวลดลง
- ระดับเม็ดเลือดขาวต่ำ
- มีอาการคล้ายโรคลูปัส (Lupus-like reaction)
- เป็นพิษต่อตับ/ตับอักเสบ
- ยาทาสูตรผสมระหว่างยาสเตียรอยด์กับยาต้านเชื้อรา อาจทำให้เกิด อาการไม่พึงประสงค์จากยากลุ่มสเตียรอยด์เมื่อร่างกายได้รับยาสเตียรอยด์นี้ในปริมาณมากเกินไป หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น
- สิว
- ผิวหนังบาง
- ผิวแตกลาย
- เส้นเลือดฝอยขยายตัว
- โรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย (Rosacea)
สรุป
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมยารักษากลาก) ยาแผนโบราญ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะ ยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
บรรณานุกรม
- โกวิท คัมภีรภาพ. ยาทาต้านเชื้อรา. วารสารสมาคมศิษย์เก่าสถาบันโรคผิวหนัง ฉบับที่ 37 (กันยายน 2557): 15-21.
- คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญแห่งชาติด้านการคัดเลือกยา สาขาโรคผิวหนัง พ.ศ. 2556 – 2558. คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาที่ใช้ทางโรคผิวหนัง https://goo.gl/Lp2nfU[2019,March16]
- Hainer, B., L. Dermatophyte Infections. American Family Physician 67 (January 2003): 101-108.
- Ely, J., E. and others. Diagnosis and Management of Tinea Infections Available from: https://www.aafp.org/afp/2014/1115/p702.html [2019,March16]
- Kaul, S., Yadav, S. Dogra, S. Treatment of Dermatophytosis in Elderly, Children, and Pregnant Women. Indian Dermatol Online J. 8 (September – October 2017): 310-318.