มะเร็งเหงือก (Gingival cancer)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

มะเร็งเหงือก(Gingival cancer หรือ Gum cancer) คือ โรคมะเร็งที่เกิดกับเหงือก(Gum หรือ Gingiva) ทั้งนี้มะเร็งเหงือกเกิดจากเซลล์ของเหงือกที่จุดใดก็ได้ เกิดกลายพันธ์เป็นเซลล์มะเร็ง คือเซลล์ที่เจริญแบ่งตัวสูงเกินปกติ และที่สามารถรุกราน/ลุกลามทำลายเนื้อเยื่อตัวมันเองและอวัยวะข้างเคียงรวมถึงลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง /เข้าระบบน้ำเหลือง และ/หรือแพร่กระจายทางกระแสโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆได้ทั่วร่างกาย โดยที่ร่างกายควบคุมการเจริญรุกราน/ลุกลามในลักษณะนี้ไม่ได้

“เหงือก” เป็นเนื้อเยื่อ หรือบางคนเรียกว่าเป็นอวัยวะ ของช่องปาก ส่วนที่ปกคลุมเหนือกระดูกกราม ถ้าปกคลุมกระดูกกรามบน เรียกว่า เหงือบน(Upper gum) ถ้าปกคลุมกระดูกกรามล่าง เรียกว่า เหงือกล่าง(Lower gum) โดยเหงือกมีหน้าที่ ปกป้องกระดูกกรามและรากฟัน และช่วยการยึดเกาะของฟันให้กระชับแน่นกับกระดูกกรามเพื่อช่วยในการคบเคี้ยว

เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของเหงือก เป็นเยื่อเมือกชนิดเดียวกับเยื่อเมือกของ เนื้อเยื่อ/อวัยวะอื่นของช่องปาก เช่น ลิ้น เป็นต้น แต่จากหน้าที่ของเหงือกที่ต้องมีความแข็งแรงทนทานกว่า จึงทำให้เยื่อเมือกของเหงือก มีส่วนประกอบของเนื้อเยื่อเส้นใยมากกว่าเนื้อเยื่ออื่นของช่องปาก จึงทำให้เหงือกมีความแข็งแรง และมีลักษณะที่แข็งมากกว่า แต่ยืดหยุ่นได้น้อยกว่าเนื้อเยื่ออื่นๆเหล่านั้น

เหงือก เป็นเนื้อเยื่อที่มีผิวมัน เรียบ ซึ่งในแต่ละจุดของเหงือกจะมีความหนาได้ต่างกัน โดยอยู่ในช่วง 1-5 มิลลิเมตร เหงือกปกติจะมีสีออกชมพู และเซลล์บางชนิดเป็นเซลล์ที่ให้เม็ดสีเช่นเดียวกับที่ผิวหนัง เหงือกจึงเกิดมะเร็งของเซลล์ให้เม็ดสีได้เช่นเดียวกับผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา

มะเร็งหงือก เป็นมะเร็งที่มีธรรมชาติของโรค เช่น เดียวกับมะเร็งช่องปาก ดังนั้น มะเร็งเหงือก จึงจัดอยู่ในมะเร็งช่องปาก และเนื่องจาก มะเร็งเหงือกพบน้อย การศึกษาในเรื่องต่างๆ เช่น สาเหตุ ระยะโรค การรักษา ผลการรักษา และสถิติของโรค จึงมักรวมอยู่ใน มะเร็งช่องปาก

มะเร็งเหงือก เกือบทั้งหมด กล่าวคือ ประมาณ 90-98% เป็นมะเร็งชนิด มะเร็ง คาร์ซิโนมา (Carcinoma) ดังนั้น เมื่อกล่าวถึง ‘มะเร็งเหงือก จึงหมายถึง มะเร็งเหงือกชนิดคาร์ซิโนมา’ ซึ่งรวมถึงในบทความนี้ด้วยเช่นกัน

มะเร็งเหงือก พบเกิดได้ในทุกตำแหน่งของเหงือก แต่มักพบเกิดกับเหงือกส่วนที่รองรับฟันกรามมากกว่าเหงือกส่วนรองรับฟันหน้า และพบได้ทั้งเหงือกบน และเหงือกล่าง แต่พบเกิดกับเหงือกล่างได้สูงกว่า คือ ประมาณ 70%ของผู้ป่วย

มะเร็งเหงือก เป็นมะเร็งของผู้ใหญ่วัยกลางคน มักพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป และจะพบได้สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นๆ พบได้น้อยมากมีเพียงรายงานประปรายในเด็กโต และเป็นมะเร็งพบในเพศชายสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย

ดังกล่าวแล้วว่า มะเร็งเหงือก มักรายงานรวมอยู่ในมะเร็งช่องปาก ซึ่งเป็นมะเร็งที่มักพบในประเทศกำลังพัฒนาหรือที่ด้อยพัฒนา ในสหรัฐอเมริกา พบมะเร็งช่องปากประมาณ 37,000 คนต่อปี(New cases) แต่ทั่วโลกพบได้ประมาณ 640,000 คนต่อปี(New cases) ส่วนในประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2553 - 2555 รายงานจากทะเบียนมะเร็งแห่งชาติ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขในปีพ.ศ. 2558 รายงานมะเร็งเหงือกรวมอยู่ในมะเร็งช่องปาก(ที่ไม่นับรวม มะเร็งริมฝีปาก และมะเร็งลิ้น) โดยพบในผู้ชาย 2.2 รายต่อประชากรชาย 1 แสนคน และพบในผู้หญิง 1.5 รายต่อประชากรหญิง 1 แสนคน

โรคมะเร็งเหงือกมีกี่ชนิด?

มะเร็งเหงือก

มะเร็งเหงือก พบได้ทั้งชนิด มะเร็งคาร์ซิโนมา และมะเร็งซาร์โคมา เช่นเดียวกับ มะเร็งช่องปาก

ก. มะเร็งคาร์ซิโนมา พบได้ประมาณ 90-98% ของมะเร็งเหงือกทั้งหมด ซึ่งชนิดพบบ่อยที่สุด ประมาณ 90-95% จะเป็นมะเร็งของเยื่อเมือกชนิด สความัส (Squamous cell carcinoma) ชนิดอื่นๆที่เหลือ คือ มะเร็งของเซลล์ชนิดต่างๆที่มีอยู่ในเงือก เช่น มะเร็งต่อมน้ำลาย (เช่น Mucoepidermoid carcinoma, Adenocarcinoma), มะเร็งผิวหนังเมลาโนมาที่เกิดจากเซลล์เม็ดสีที่มีอยู่ในเหงือก, ดังนั้น ดังกล่าวแล้วในบทน้ำ เมื่อกล่าวถึง “มะเร็งเหงือก” จึงหมายถึง ‘มะเร็งในกลุ่มคาร์ซิโนมา’นี้

ข. มะเร็งซาร์โคมา พบได้น้อย ประมาณ 2-5% ของมะเร็งที่พบที่เหงือก เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของเหงือก(ธรรมชาติของโรค จะเช่นเดียวกับ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั่วไป), มะเร็งกล้ามเนื้อลาย เป็นต้น ซึ่งมะเร็งในกลุ่มนี้ จะไม่กล่าวถึงในบทความนี้

โรคมะเร็งเหงือกเกิดจากอะไร? มีปัจจัยเสี่ยงไหม?

ปัจจุบัน ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งเหงือก แต่พบปัจจัยเสี่ยง ที่เช่นเดียวกับปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งช่องปาก ซึ่งได้แก่

  • การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ซึ่งถ้าทั้งสูบบุหรี่และดื่มสุราร่วมกัน ปัจจัยเสี่ยงจะสูงขึ้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ
  • การเคี้ยวหมาก เคี้ยวเมื่ยง/ใบยาสูบ
  • การขาดสารอาหาร เช่น วิตามิน เกลือแร่ ต่างๆ
  • การติดเชื้อเรื้อรังของเหงือก
  • การติดเชื้อเอชพีวี (โรคติดเชื้อเอชพีวี) ของช่องปาก
  • การเกิดฝ้าขาวที่เหงือก
  • การเกิดฝ้าแดงที่เหงือก
  • แผลเรื้อรังที่เหงือกที่เกิดจากใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี

โรคมะเร็งเหงือกมีอาการอย่างไร?

ไม่มีอาการเฉพาะของมะเร็งเหงือก แต่เป็นอาการของมะเร็งโดยทั่วไป ซึ่งอาการหลักจะเหมือนกับอาการของมะเร็งช่องปาก คือ พบมีก้อนเนื้อ หรือมีแผล หรือ มีการอักเสบเรื้อรังที่เหงือก ที่ก้อน/แผลโตขึ้นเรื่อยๆ รักษาไม่หาย โดยแผลมักมีเลือดออกได้ง่าย และจะเจ็บได้ถ้ามีการติดเชื้อที่แผลหรือเมื่อแผลลุกลามเข้าเส้นประสาท

และอาการอื่นๆที่อาจพบได้ เช่น

  • ต่อมน้ำเหลืองใต้คาง ใต้ขากรรไกรล่าง และ/หรือที่คอ โต คลำได้ ไม่เจ็บ ต่อมน้ำเหลืองมักโตมากกว่า 1 เซนติเมตร และโตขึ้นเรื่อยๆ อาจคลำพบเพียงข้างเดียว หรือทั้ง 2 ข้าง ซ้าย -ขวา และอาจมีต่อมเดียว หรือหลายๆต่อม
  • มีกลิ่นปากเรื้อรัง
  • ในระยะท้ายๆของโรค มัก
    • อ่อนเพลีย
    • เบื่ออาหาร
    • ซีดจากแผลที่เงือกมีเลือดออกเรื้อรัง และจากภาวะขาดอาหาร

แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งเหงือกได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งเหงือกได้ด้วยวิธีการเช่นเดียวกับการวินิจฉัยมะเร็งช่องปาก โดยวินิจฉัยจาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เข่น ประวัติอาการ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ประเภทอาหารที่บริโภคเป็นประจำ
  • การตรวจร่างกาย ที่รวมถึง การตรวจช่องปากและเหงือก การตรวจคลำต่อมน้ำเหลืองต่างๆในส่วนลำคอ
  • แต่การวินิจฉัยที่ให้ผลแน่นอนคือ การตัดชิ้นเนื้อจากก้อน/แผล/รอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

ทั้งนี้ เมื่อผลชิ้นเนื้อระบุเป็นโรคมะเร็ง จะมีการตรวจสืบค้นต่างๆเพิ่มเติมเพื่อประเมินระยะโรคมะเร็ง และสุขภาพผู้ป่วย เช่น

  • เอกซเรย์ภาพปอด ดูโรคปอด โรคหัวใจ และโรคมะเร็งที่แพร่กระจายสู่ปอด
  • ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอมอาร์ไอช่องปากและลำคอ ดูการลุกลามของโรคในช่องปากและต่อมน้ำเหลืองต่างๆบริเวณลำคอ
  • การตรวจเลือด ดูการทำงานของไขกระดูก (ตรวจซีบีซี/CBC), ของ ตับ ไต, และดูค่าเกลือแร่ต่างๆ
  • การตรวจปัสสาวะ ดูการทำงาน และโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • ตรวจภาพสะแกนกระดูก ดูโรคแพร่กระจายสู่กระดูก

อนึ่งการตรวจดูการแพร่กระจายของโรค ใน 2 วิธีหลัง มักตรวจเฉพาะในผู้ป่วยบางรายที่โรคลุกลามมาก โดยขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา

โรคมะเร็งเหงือกมีกี่ระยะ?

มะเร็งเหงือกมี 4 ระยะเช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่นๆ(ทั่วไปนิยมแบ่งระยะโรคตามคำแนะนำขององค์กรแพทย์ด้านโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกา/ American Joint Committee on Cancer ย่อว่า AJCC) และจะเช่นเดียวกับมะเร็งช่องปาก โดยแต่ละระยะยังอาจแบ่งย่อยได้อีกเป็น A, B, C ทั้งนี้เพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยเป็นแนวทางในวิธีรักษา การพยากรณ์โรค และในการศึกษา ซึ่งทั้ง 4 ระยะ คือ

  • ระยะที่ 1: ก้อน/แผลมะเร็งมีขนาดโตไม่เกิน 2 เซนติเมตร(ซม.) และโรครุกราน/ลุกลามลงลึกไม่เกิน 5 มิลลิเมตร(มม.)
  • ระยะที่ 2: ได้แก่
    • ก้อน/แผลมะเร็งขนาดโตไม่เกิน2ซมก้อนแต่รุกรานลงลึกมากกว่า 5 มม.
    • และ/หรือ ก้อน/แผลมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 2 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 4 เซนติเมตร และโรครุกรานลึกไม่เกิน10มม.
  • ระยะที่ 3: ได้แก่
    • ก้อน/แผลมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 2 ซม. แต่ไม่เกิน4ซม. แต่โรครุกรานลึก มากกว่า 10มม.
    • และ/หรือ ก้อนมะเร็งโตเกิน4ซม. แต่โรคลุกลามลึกไม่เกิน10มม.
    • และ/หรือ มีการลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองลำคอ 1 ต่อมที่ขนาดโตไม่เกิน 3 ซม.และอยู่ข้างเดียวกับรอยโรค
  • ระยะที่ 4: แบ่งเป็น 3 ระยะย่อย คือ
    • ระยะ4A: ได้แก่
      • ก้อน/แผลมะเร็งโตมากกว่า4ซม.และรุกรานลึกมากกว่า10มม.
      • และ/หรือ ลุกลามเข้าผิวหนัง และ/หรือกระดูก และ/หรือ โพรงไซนัส
      • และ/หรือโรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองลำคอคอ 1 ต่อมด้านเดียวกับรอยโรคแต่มีขนาดโตกว่า 3 แต่ไม่เกิน6ซม.
      • และ/หรือโรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองลำคอหลายต่อม, และ/หรือต่อมน้ำเหลืองลำคอทั้ง2ข้าง
      • และ/หรือต่อมน้ำเหลืองเฉพาะด้านตรงข้าม
      • แต่ต่อมน้ำเหลืองแต่ละต่อมโตไม่เกิน6ซม.
    • ระยะ4B: ได้แก่
      • ก้อน/แผลมะเร็งลุกลามเข้ากระดูกฐานสมอง
      • และ/หรือเข้ากล้ามเนื้อที่ใช้เคี้ยวอาหาร
      • และ/หรือเข้าผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ
      • และ/หรือต่อมน้ำเหลืองคอโตมากกว่า 6 ซม.
    • ระยะ4C: ได้แก่
      • โรคแพร่กระจายเข้าระบบน้ำเหลืองทำลายต่อมน้ำเหลืองนอกลำคอ เช่น รักแร้ หรือ ช่องอก หรือขาหนีบ
      • และ/หรือแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด (โลหิต)ไปทำลายอวัยวะอื่นๆได้ทั่วตัว ที่พบได้บ่อยคือ ปอด ตับ และกระดูก

อนึ่ง มะเร็งระยะศูนย์(Stage0) หรือ Carcinoma in situ (CIS) แพทย์ทางโรคมะเร็งยังไม่จัดเป็นมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะโรคยังไม่มีการรุกราน(Non-invasive)ออกนอกชั้นเยื่อบุผิวหรือชั้นเยื่อเมือก จึงยังไม่มีโอกาสที่จะลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ต่อมน้ำเหลือง และ/หรือ แพร่กระจายทางกระแสโลหิต และโอกาสรักษาหายจากการผ่าตัดเพียงวิธีการเดียวสูงถึง 95-100% แต่อย่างไรก็ตาม มะเร็งเหงือกระยะนี้พบน้อยมากเพราะผู้ป่วยมักคิดว่าเป็นรอยโรคที่ไม่ร้ายแรงจึงยังไม่มาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล

โรคมะเร็งเหงือกรักษาอย่างไร?

  • แนวทางการรักษาหลักของมะเร็งเหงือก เช่น

ก. โรคระยะที่ 1 ถึงต้นระยะที่3: คือ การผ่าตัด ซึ่งหลังผ่าตัดแพทย์จะตรวจก้อนเนื้อจากการผ่าตัด เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงที่โรคจะย้อนกลับเป็นซ้ำหรือแพร่กระจาย เพื่อหาข้อบ่งชี้ในการรักษาต่อเนื่องด้วยรังสีรักษาและ/หรือยาเคมีบำบัด

ข. โรคในระยะลุกลามรุนแรง: เช่น ระยะท้ายของระยะที่3 และระยะที่4 ชนิดยังไม่มีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น การรักษาหลัก คือ รังสีรักษาร่วมกับยาเคมีบำบัด

ค. ส่วนโรคในระยะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว การรักษาหลัก คือ ยาเคมีบำบัด รังสีรักษา หรือ การรักษาประคับประคองตามอาการ

*อนึ่ง:

  • การจะรักษาด้วยวิธีใด นอกจากขึ้นกับ ระยะโรคแล้ว ยังขึ้น กับอายุ, และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยด้วย
  • ส่วนการรักษาด้วยยารักษาตรงเป้า /ยารักษาแบบจำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา

มีผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งเหงือกอย่างไร?

ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งเหงือกขึ้นกับวิธีรักษา ได้แก่

ก. การผ่าตัด : เช่น การสูญเสียอวัยวะ คือ เหงือกส่วนที่เกิดโรค ซึ่งอาจผ่าตัดออกเพียงบางส่วน หรืออาจต้องผ่าตัดออกทั้งกระดูกกรามข้างที่เกิดโรคที่เหงือก ทั้งนี้ขึ้นกับระยะโรคและตำแหน่งที่เกิดโรค นอกจากนั้น คือ การเสียเลือด แผลผ่าตัดไม่ติด และ/หรือแผลผ่าตัดติดเชื้อ

ข. รังสีรักษา/ การฉายรังสีรักษา: เช่น ผลข้างเคียงต่อผิวหนังและต่อเนื้อเยื่อช่องปาก (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การดูแลผิวหนังและผลข้างเคียงต่อผิวหนังบริเวณฉายรังสีรักษา และเรื่อง การดูแลตนเองเมื่อฉายรังสีรักษาบริเวณศีรษะและลำคอ)

ค. ยาเคมีบำบัด: เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ภาวะซีด และการติดเชื้อจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษา: การดูแลตนเอง) และอาจมีเลือดออกได้ง่ายจากมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

ง. ยารักษาตรงเป้า/ ยารักษาแบบจำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง: เช่น เกิดสิวขึ้นทั่วตัวรวมทั้งใบหน้า และยาฯบางตัวอาจก่อให้เกิดภาวะเลือดออกได้ง่าย แผลติดยากเมื่อเกิดบาดแผล และอาจเป็นสาเหตุให้ ลำไส้ทะลุได้

*อนึ่ง:

ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งทุกชนิดรวมทั้งโรคมะเร็งเหงือก ขึ้นกับวิธีรักษา ซึ่งผลข้างเคียงจะสูงและรุนแรงขึ้นเมื่อ

  • ใช้หลายวิธีรักษาร่วมกัน (เช่น ผ่าตัด + รังสีรักษา หรือ รังสีรักษา + ยาเคมีบำบัด)
  • ผู้ป่วยมีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง
  • สูบบุหรี่
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ
  • ในผู้สูงอายุ

โรคมะเร็งเหงือกรุนแรงไหม?

โรคมะเร็งเหงือก เป็นโรคมะเร็งมีการพยากรณ์โรคหรือความรุนแรงปานกลาง มีโอกาสรักษาได้หาย โดยโอกาสรักษาหายขึ้นกับ ระยะโรค อายุ การเคยสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และสุขภาพผู้ป่วย

ทั่วไปอัตรารอดที่ห้าปี คือ

  • โรคระยะที่ 1 ประมาณ 70 - 75%
  • ระยะที่ 2 ประมาณ 60 - 65%
  • ระยะที่ 3 ประมาณ 20 - 50%
  • ระยะที่ 4 เมื่อยังไม่มีโรคแพร่กระจายประมาณ 0 - 20%
  • ระยะที่ 4 เมื่อมีโรคแพร่กระจายแล้วประมาณ 0 - 5%

มีวิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเหงือกไหม? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเหงือก ดังนั้นการดูแลตนเองที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ การสังเกตความผิดปกติของเหงือก เมื่อมีแผลเรื้อรังหรือมีก้อนเนื้อ หรือมีการอักเสบ ที่ไม่หายภายในประมาณ 2 สัปดาห์หลังการดูแลตนเอง ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ เพื่อการวินิจฉัยโรคและเพื่อได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆที่จะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น

ป้องกันโรคมะเร็งเหงือกอย่างไร?

วิธีป้องกันโรคมะเร็งเหงือก ให้ได้เต็มร้อยยังเป็นไปไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบสาเหตุของโรค ที่แน่ชัด แต่มีวิธีลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งเหงือก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งช่องปากและโรคมะเร็งอื่นๆลงได้อีกด้วยเช่น มะเร็งคอหอย มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ คือ

  • การไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกบุหรี่ และแอลกอฮอล์เมื่อบริโภค อยู่
  • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อเอชพีวีในช่องปากจากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยชายเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางปากเสมอ
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน

ดูแลตนเองอย่างไร? ดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็งและการดูแลผู้ป่วยมะเร็งทุกชนิดที่รวมถึงโรคมะเร็งเหงือกจะคล้ายกัน ปรับใช้ด้วยกันได้ ซึ่งที่สำคัญ คือ

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา ใช้ยาที่แพทย์สั่ง ให้ถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ ไม่หยุดการรักษาไปเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน

อนึ่ง แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความ เรื่อง

  • การดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็งและการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง และเรื่อง
  • การดูแลตนเอง การดูแลผู้ป่วยเคมีบำบัด

ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ

  • อาการต่างๆมากขึ้น เช่น เจ็บก้อน/แผลมะเร็งมากขึ้นจนยาแก้ปวดที่แพทย์ให้ไว้ใช้ไม่ได้ผล
  • มีไข้ โดยเฉพาะร่วมกับอาการท้องเสีย
  • สายให้อาหาร หลุด
  • มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น วิงเวียนศีรษะมาก ท้องผูกมาก
  • กังวลในอาการ

บรรณานุกรม

  1. AJCC cancer staging manual, 8th.ed
  2. Choi, J. et al. (2011). Asian Pac J Cancer Prev. 12, 2649-2652
  3. Halperin,E., Wazer, D., Perez,C., and Brady,L. (2013). Principle and practice of radiation oncology.(6th ed). Walter KLUWER/Lippincott Williams & Wilkins. Philadelphia
  4. Imsamran, W. et al. (2015). Cancer in Thailand vol Viii, 2010-2012, National Cancer Institute, Ministry of Public Health. Thailand
  5. Simonnoska, R. et al. (2012). J Clin Oncol. 30. (suppl;abstr 5536) 2012 ASCO Annual Meeting
  6. http://www.jisponline.com/article.asp?issn=0972-124X;year=2012;volume=16;issue=1;spage=104;epage=107;aulast=Koduganti [2019,Nov9]
  7. https://emedicine.medscape.com/article/1075729-overview#showall [2019,Nov9]
  8. https://en.wikipedia.org/wiki/Oral_cancer [2019,Nov9]
  9. https://www.nidcr.nih.gov/research/data-statistics/oral-cancer/survival-rates[2019,Nov9]
  10. http://en.wikipedia.org/wiki/Gingiva[2019,Nov9]