ผื่นแพ้แสง ผื่นแพ้แสงแดด (Photodermatitis)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

แสงแดด เป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการผลิตวิตามินดี เป็นปัจจัยหลักของวงจรการสังเคราะห์จุดเริ่มต้นวงจรอาหารของมนุษย์ แต่ก็เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดโดยเฉพาะโรคที่เกิดกับผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนัง และ’โรคผื่นแพ้แสง หรือ ผื่นแพ้แสงแดด (Photodermatitis หรือ Sun poisoning หรือ Photo allergy)’

โรคผื่นแพ้แสง ในที่นี้หมายถึง กลุ่มโรคผิวหนังที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยแสง/แสงแดด ซึ่งตัวที่กระตุ้นคือ แสงยูวี (Ultraviolet light) ในแสงแดด ซึ่งโรคในกลุ่มนี้ประกอบด้วยหลายโรคและหลายสาเหตุ ตัวอย่างเช่น

  • โรคผื่นแพ้แสงสาเหตุจากความผิดปกติของผิวหนังเอง: ที่ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการเกิดชัดเจน ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เช่น โรค Polymorphous light erup tion, และโรค Chronic actinic dermatosis ซึ่งทำให้เกิดผื่นคันเรื้อรังบริเวณผิวหนังที่สัมผัสแสง แดด
  • ผื่นแพ้แสงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกร่างกาย: กระตุ้นให้เกิดอาการผื่นแพ้เมื่อสัมผัสกับแสงแดด (Photoallergic dermatitis) ตัวอย่างเช่น ในบางคนที่แพ้น้ำหอม เมื่อถูกแสงแดดกระตุ้นจะทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ขึ้น หรือผื่นที่ถูกกระตุ้นให้เกิดจากการโดนแสงแดดหลังสัมผัสพืชบางชนิด เช่น มะกรูด มะนาว
  • ผื่นแพ้แสงที่เป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: ตัวอย่างเช่น อาการผื่นจากผิวหนังที่เกิดจากการรับประทานยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะบางชนิด แล้วผิวหนังได้รับแสงแดด เช่น ยา Tetra cycline และยังมียาอีกหลายชนิดที่ทำให้ผิวเกิดการไวเกิน (Sensitive) ต่อการถูกกระตุ้นจากแสง แดดได้ เช่น ยาฆ่าเชื้อรา Griseofulvin , ยารักษาสิว Retinoic acid , ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAID)
  • ผื่นแพ้แสงที่เป็นส่วนหนึ่งของอาการในโรคของระบบอวัยวะอื่นๆในร่างกาย: เช่น ผื่นแพ้แสงในคนที่เป็นโรคเอสแอลอี (SLE)
  • ผื่นแพ้แสงที่เกิดจากการขาดวิตามิน: ทั้งที่เป็นโรคแต่กำเนิด หรือมาเกิดเป็นภาย หลัง เช่น ในคนที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ตัวอย่าง เช่น ผื่นจากภาวะขาดวิตามินบี3 (โรค Pellagra)

ผื่นแพ้แสงเกิดได้อย่างไร?

ผื่นแพ้แสง

การที่ผิวหนังมีการตอบสนองต่อแสงแดด เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่นจาก

  • ยาบางชนิด(ดังกล่าวแล้วใน หัวข้อ บทนำ)
  • สารเคมีบางชนิด
  • โรคทางกายต่างๆ (เช่น โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี )
  • โรคทางพันธุกรรม และ
  • บางส่วนยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน

ซึ่งเมื่อเกิดผื่นแพ้แสงขึ้น แนวทางในการหาสาเหตุเพื่อการวินิจฉัยหาสาเหตุว่า เกิดจากโรคในในกลุ่มโรคใด คือ การรวบรวมข้อมูลทั้งจาก

  • การสอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจรอยโรคที่ผิวหนัง และ
  • การตรวจเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

ผื่นแพ้แสงติดต่ออย่างไร?

โรคผื่นแพ้แสง เป็นโรคเฉพาะตัว ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่สามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม เช่น ทางอาหาร น้ำดื่ม การหายใจ คลุกคลี สัมผัสตัว/สัมผัสรอยโรค และ/หรือสัมผัสเครื่องใช้

ผื่นแพ้แสงมีอาการอย่างไร ?

เนื่องจากสาเหตุของโรคในกลุ่มผื่นแพ้แสงนี้เกิดได้จากหลายโรค จึงมีอาการได้หลายลักษณะ จุดในการสังเกตตนเองว่า เรามีโรคผื่นแพ้แสงที่เกิดจากการตอบสนองของผิวหนังที่ผิด ปกติต่อแสงแดดหรือไม่ อาการเหล่านี้ที่จะกล่าวถึง คือข้อสังเกตที่แตกต่างของอาการผื่นแพ้แสงกับโรคผิวหนังที่เกิดจากสาเหตุอื่น ซึ่งอาการ/ข้อสังเกตเหล่านี้ ได้แก่

  • ผื่นผิวหนังที่ผิดปกติ จะพบบริเวณผิวหนังที่ได้รับแสงแดด เช่น บริเวณใบหน้า แขน ขา ลำคอ ที่อยู่นอกร่มผ้า
  • มักไม่พบผื่นในบริเวณผิวหนังที่ไม่ถูกแสงแดด เช่น ข้อพับ เปลือกตาบน และผิวหนังในร่มผ้า
  • อาการขึ้นผื่นจะเป็นมากขึ้นเมื่อสัมผัสแสงแด เช่น ในช่วงที่มีกิจกรรมกลางแจ้งมาก ช่วงเที่ยวทะเล ช่วงฤดูร้อน
  • ลักษณะของผื่นแพ้แสงนั้นมีได้หลายลักษณะขึ้นกับสาเหตุของแต่ละโรคที่ทำให้เกิดผื่นแพ้แสง เช่น อาจมีลักษณะผื่นคันเหมือนอาการแพ้ทั่วไป หรือมีลักษณะผื่นแดง แสบ เหมือนอาการผิวไหม้

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

หากมีผื่นผิวหนังผิดปกติที่สงสัยว่ามีสาเหตุจากผื่นแพ้แสง สามารถพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการวินิจฉัย รักษา และรับคำแนะนำได้เสมอ

แพทย์วินิจฉัยผื่นแพ้แสงได้อย่างไร?

การวินิจฉัยผื่นแพ้แสงเช่นเดียวกับโรคผิวหนังอื่นๆ คือ

  • การสอบถามประวัติทางการแพทย์ ซึ่งผื่นแพ้แสงนั้น การวินิจฉัยต้องการประวัติที่ค่อนข้างละเอียด ทั้งกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์ ยา สารเคมีต่างๆที่สัมผัสในชีวิตประจำวัน เพื่อหาความสัมพันธ์กับสาเหตุที่กระตุ้นให้ผิวหนังเกิดการตอบสนองต่อแสงแดดที่ผิดปกติ
  • การตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุของโรคอื่นๆ
  • การตรวจรอยโรคที่ผิวหนังเพื่อยืนยันว่า รอยโรคเกิดในบริเวณที่ผิวหนังสัมผัสแสงแดด
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุของโรคทางกายที่อาจเป็นสาเหตุของผื่นแพ้แสง ซึ่งที่สำคัญคือ
    • การตรวจเพื่อทดสอบการตอบสนองของผิวหนังต่อแสงแดดว่า มีการตอบสนองที่ผิดปกติหรือไม่ (Phototesting) ซึ่งทำได้เฉพาะในศูนย์โรคผิวหนังขนาดใหญ่ เช่น โรงเรียนแพทย์

รักษาผื่นแพ้แสงอย่างไร?

การรักษาผื่นแพ้แสงขึ้นกับสาเหตุของผื่นแพ้แสงนั้น ตัวอย่าง เช่น

  • ผื่นแพ้แสงที่เกิดจากการแพ้สารเคมี การรักษาคือ การเลี่ยงสัมผัสกับสารเคมีนั้น และรักษาตามอาการด้วยยาทาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง
  • ผื่นแพ้แสงที่เกิดจากการขาดวิตามิน การรักษาจะโดยการให้วิตามินนั้นๆเสริมอาหาร
  • เมื่อผื่นแพ้แสงเกิดจากโรคลูปัส-เอสแอลอี การรักษาคือการรักษาโรคเอสแอลอี

ผื่นแพ้แสงก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

ผลข้างเคียงที่เกิดจากผื่นแพ้แสง ตัวอย่าง เช่น

  • ทำให้เกิดปัญหาด้านความงามในผู้ป่วยที่มีรอยโรคตามใบหน้าและลำตัว และ
  • เกิดความไม่สบายตัวจากอาการแสบคัน

ผื่นแพ้แสงมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

การพยากรณ์โรคของผื่นแพ้แสงขึ้นกับสาเหตุ ถ้ารักษาควบคุมสาเหตุได้ อาการผื่นแพ้แสงก็จะดีขึ้น ควบคุมได้ เช่น หากเกิดจากอาการแพ้สารเคมี เมื่อหยุดสัมผัสสารเคมี ร่วมกับการรักษาตามอาการ ผื่นแพ้แสงก็จะดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตัวอาการผื่นแพ้แสงเอง โดยส่วนใหญ่มีการพยากรณ์โรคที่ดี รักษา ควบคุมได้จากการหลีกเลี่ยงแสงแดด และการใช้ยาทาที่รอยโรคเพื่อการรักษาอาการทางผิวหนัง เช่น ขึ้นผื่น แสบ คัน

ดูแลตนเองและป้องกันผื่นแพ้แสงอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อมีผื่นแพ้แสง จะเช่นเดียวกับการป้องกันการเกิดผื่นแพ้แสง ซึ่งได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด โดยเฉพาะเวลาที่มีแสงแดดจัด คือเวลา 10.00 - 15.00 นาฬิ กา
  • ป้องกันผิวหนังได้รับแสงแดดโดยตรง ด้วยการทาครีมกันแดดทั้งใบหน้า แขนขา ในและนอกร่มผ้า ร่วมกับใช้อุปกรณ์เพื่อป้องกันแสงแดด เช่น สวมเสื้อกางเกงแขนยาว ขายาว ใช้ร่ม สวมหมวกปีกกว้าง สวมแว่นตากันแดด
  • ระมัดระวังและสังเกตปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำหอม ครีม โลชัน เพื่อการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์นั้นๆ

บรรณานุกรม

1. ปรียา กุลละวณิชย์,ประวิตร พิศาลยบุตร .Dermatology 2020:ชื่อบท.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ:โฮลิสติก,2555

2. Lowell A. Goldsmith,Stephen I. Katz,Barbara A. Gilchrest,Amy S. Paller,David J.Leffell,Klaus Wolff.Fitzpatrick’s dermatology in general medicine :chapter.eight edition.McGraw-Hill.2012

3. Photodermatitis . University of Maryland Medical Center .last review 12/28/2012.