ปัญหาโภชนาการในเด็ก:การขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหาร (Protein energy malnutrition)
- โดย ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรุณี เจตศรีสุภาพ
- 12 มิถุนายน 2562
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- ภาวะทุโภชนาการหมายถึงอะไร?
- อะไรเป็นสาเหตุของภาวะทุโภชนาการ?
- ภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารเกิดจากอะไร?
- เด็กที่ขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารจะมีอาการอย่างไร?
- สรุปอาการของการขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารอย่างรุนแรงตามอวัยวะต่างๆ
- เด็กวัยใดพบภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารมากที่สุด?
- แพทย์รักษาภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารอย่างรุนแรงอย่างไร?
- ป้องกันภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารที่รุนแรงอย่างไร?
- เด็กเลี้ยงไม่โตหมายความว่าอย่างไร?
- เด็กเลี้ยงไม่โตก่อปัญหาอะไรบ้าง?
- อะไรเป็นสาเหตุของเด็กเลี้ยงไม่โต?
- แพทย์วินิจฉัยเด็กเลี้ยงไม่โตได้อย่างไร?
- เด็กเลี้ยงไม่โตมีระดับความรุนแรงอย่างไร?
- แพทย์ให้การรักษาเด็กเลี้ยงไม่โตอย่างไร?
- ความต้องการกำลังงานสารอาหารของเด็กเป็นอย่างไร?
- ดูแลเด็กที่เลี้ยงไม่โตอย่างไร?
- ควรนำเด็กพบแพทย์เมื่อใด?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เด็ก หรือ นิยามคำว่าเด็ก (Child)
- เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)
- มะเร็งในเด็ก (Pediatric cancer)
- ท้องเสียในเด็ก (Acute diarrhea in children)
- เด็กพัฒนาการภาษาล่าช้าหรือภาวะพูดช้า (Child’s Delayed language or speech development)
- ออทิสติก : กลุ่มโรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
- เด็กอ้วน เด็กน้ำหนักตัวเกิน (Pediatric obesity and overweight)
บทนำ
วัยเด็กต้องการอาหาร โปรตีน (Protein) และกำลังงานสารอาหาร (พลังงานสารอาหาร หรือ Energy) มากกว่าวัยอื่น เพราะต้องใช้โปรตีนและกำลังงานสารอาหารในการเจริญเติบโตและในการพัฒนาการ
ในอดีต การขาดอาหารในเด็ก หรือที่เรียกว่า ‘การขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหาร (Protein energy malnutrition)’ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในประเทศไทย หลังจากนั้นเมื่อการแพทย์และการสาธารณสุขดีขึ้น ปัญหาดังกล่าวลดน้อยลง กลับเป็นว่าพบปัญหาโรคอ้วนตามแบบสังคมตะวันตกมากขึ้น
ในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ ปัญหาการขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารอาจกลับมาเป็นปัญหาของประเทศไทยอีก จากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้ง ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชน การตกงาน การขาดความรู้ในการเลี้ยงดูเด็ก และการมีลูกในวัยรุ่นอาจทำให้การเลี้ยงดูเด็กไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารมากขึ้นอีก
ภาวะทุโภชนาการหมายถึงอะไร?
ภาวะทุโภชนาการ (Malnutrition) หมายถึง ภาวะที่ทารกและเด็กบริโภคอาหารและได้รับกำลังงานสารอาหารไม่ถูกต้องทั้ง ปริมาณ ชนิด และคุณภาพ ซึ่ง
- อาจจะได้รับมากเกินความต้องการ จนกลายเป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน
- หรืออาจได้รับน้อยเกินไป จนเกิดภาวะขาดโภชนาการ (Under nutrition) ซึ่งอาจรุนแรงจนเกิดภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหาร (Protein energy malnutrition)
- หรือบางคนได้อาหารเพียงพอ แต่สัดส่วนของอาหารไม่ถูกต้อง (Imbalance nutrition)
- หรือบางคนอาจได้อาหารและกำลังงานเพียงพอ แต่ขาดสารอาหารบางตัว เช่น วิตามินและเกลือแร่
ซึ่งในที่นี้ จะเน้นเฉพาะ ‘เรื่องการขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหาร’
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะทุโภชนาการ?
สาเหตุ/ปัจจัยของภาวะทุโภชนาการ เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกันตั้งแต่
1. ปัญหาทางเศรษฐกิจ และทางสังคมของประเทศ
2. แหล่งอาหารในชุมชน
3. ความจำกัดของครอบครัวที่จะผลิตหรือซื้ออาหาร
4. การขาดความรู้ที่ถูกต้องของครอบครัวในการเลี้ยงดูและในการจัดอาหารให้แก่ทารกและเด็ก และมีความเชื่อบางอย่างที่ห้ามกินอาหารบางชนิด
5. การเจ็บป่วยของทารกและของเด็ก ทำให้เด็กได้รับสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้น้อย เช่น
- ปัญหาการติดเชื้อ
- ปัญหาท้องร่วง/ท้องเสียเรื้อรัง การดูดซึมสารอาหารจากลำไส้ไม่ดี
- ท่อน้ำดีตีบตัน ทำให้การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันผิดปกติ เช่น วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี, และวิตามินเค
6. ปัญหาพันธุกรรมบางอย่างทำให้ไม่สามารถกินอาหารได้ปกติ เพราะมีความผิดปกติในการย่อยสารอาหารบางอย่าง
7. การขาดความเอาใจใส่ในการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพตามวัย
ภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารเกิดจากอะไร?
ภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหาร (PEM, Protein energy malnutrition) เป็นกลุ่มของความผิดปกติที่เกิดจากการได้รับโปรตีนและกำลังงานสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ดังกล่าวแล้วใน’หัวข้อสาเหตุของภาวะทุโภชนาการ’ จึงทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้า, มีภาวะน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐาน (Under weight), หรือเลี้ยงไม่โต (Failure to thrive), โดยมีน้ำหนักต่ำกว่าเปอร์เซนไตล์ (Percentile) ที่ 3 ของค่ามาตรฐานน้ำหนักเทียบกับอายุ (สามารถหาดูกราฟ/Graph การเจริญเติบโตของเด็กตามเพศ อายุ ในสมุดประจำตัวเด็กที่โรงพยาบาลแจกให้ตั้งแต่แรกเกิด ส่วนเปอร์เซนไตล์ คือ ระดับคะแนนทางสถิติ ที่ใช้เปรียบเทียบตัวแปรต่างๆดังกล่าวแล้วทางการเจริญเติบโตของเด็กในวัยต่างๆ เช่น น้ำหนัก และส่วนสูง)
ถ้าภาวะนี้รุนแรงขึ้นและเรื้อรังมากขึ้นจะทำให้เด็กตัวเตี้ยหรือแคระแกรน ถ้ามีปัจจัยที่ทำให้เสียเมตาบอลิสึม (Metabolism, ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย) เช่น การติดเชื้อ จะก่อให้เกิดการขาดกำลังงานสารอาหารและโปรตีนที่ส่งผลให้มีอาการปรากฎชัดเจน เช่น
- ภาวะบวมทั่วตัวจากขาดโปรตีนอย่างรุนแรง เรียกว่า ‘Kwashiorkor’
- หรือภาวะผอมแห้งจากขาดกำลังงานสารอาหารอย่างรุนแรง เรียกว่า ‘Marasmus’ ซึ่งคือ การมีกล้ามเนื้ออ่อนเหลว และมีไขมันใต้ผิวหนังน้อย
เด็กที่ขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารจะมีอาการอย่างไร?
อาการที่พบโดยทั่วไปของเด็กที่ขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหาร คือ
- มีการเจริญเติบโตไม่สมวัย น้ำหนัก และส่วนสูง ต่ำกว่าเกณฑ์
- ในกรณีที่มีการขาดกำลังงานสารอาหารเรื้อรัง เด็กจะมีอารมณ์หงุดหงิด ไม่มีความสุข
นอกจากจะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารแล้ว ยังมักจะขาดสารอื่นๆร่วมด้วย เช่น ขาดธาตุเหล็ก, ขาดธาตุสังกะสี, และขาดวิตามินต่างๆ, เป็นต้น
ในกรณีที่ขาดกำลังงานสารอาหารรุนแรงจะพบอาการได้ 3 ลักษณะคือ
1. ลักษณะบวมทั่วตัว เรียกว่า ‘Kwashiorkor’
2. ไม่บวม เรียกว่า ‘Marasmus’ แต่จะพบมีแก้มเหี่ยว ตัวเหี่ยว ไม่มีกล้ามเนื้อ และไม่มีไขมัน
3. มีอาการทั้งสองอย่างร่วมกัน เรียกว่า ‘Marasmic kwashiorkor’
อนึ่ง เด็กที่ขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารรุนแรงพบในประเทศยากจน ขาดแคลนอาหารและมีโรคระบาด หรือในภาวะสงคราม หรือในครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูไม่ถูกต้อง เช่น ในเด็กที่แพ้นมวัวและเลี้ยงด้วยน้ำข้าว ซึ่งทำให้ขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารรุนแรง
ในประเทศไทยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เรายังพบเห็นภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารชนิดรุนแรงทั้ง Kwashiorkor และ Marasmus แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยพบแล้ว ซึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าในบริเวณที่อยู่ไกลจากตัวเมืองมากๆ ยังพบมีผู้ป่วยขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารจนเนื้อที่ข้างแก้มเปื่อยจนขาดหายไปเป็นรู เรียกว่า ‘Noma’ คิดว่าในประเทศไทยในถิ่นที่ทุรกันดารมากๆอาจยังพบได้
สรุปอาการของการขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารอย่างรุนแรงตามอวัยวะต่างๆ มีดังนี้
- ใบหน้า: ในกลุ่มที่เป็นชนิดบวมทั่วตัว ใบหน้าจะเหมือนดวงจันทร์ (Moon face) คือแก้มป่องบวม ส่วนกลุ่มที่ไม่บวม ใบหน้าจะเหี่ยวแห้ง เรียกว่า Simian facies ซึ่งดูแล้วหน้าคล้ายลูกลิง
- ดวงตา: ตาแห้ง เมื่อเปิดตาดูเปลือกตาด้านในจะซีด บางคนมีเกล็ดแห้งๆ ที่ตาขาวที่เรียกว่าเกล็ดกระดี่ (Bitot spots) ซึ่งแสดงถึงการขาดวิตามินเอขั้นรุนแรง และมีอาการบวมรอบๆเบ้าตา
- ช่องปาก: มีการอักเสบที่มุมปาก ริมฝีปาก ลิ้น ต่อมน้ำลายโต และในพวกที่ขาดวิตามินซี จะมีเหงือกอักเสบ และเลือดออกง่าย
- ฟัน: เคลือบฟันเป็นรูเล็กๆ หรือมีฟันขึ้นช้า
- ผม: ไม่เป็นเงา แห้ง หักง่าย ผมร่วง สีเปลี่ยนเป็นจางลง ขนตาสั้น ห่าง
- ผิวหนัง: เหี่ยวย่นในพวก Marasmus แต่ผิวหนังบวมมันในพวก Kwashiorkor และทั้งสองกลุ่ม ผิวแห้ง รูขุมขนเป็นตุ่มหนา ผิวหนังมีทั้งสีเข้มขึ้น และ/หรือสีจางลง ผิวลอก และเมื่อเป็นแผลจะหายช้า
- เล็บ: เล็บจะบาง นิ่ม หรือเป็นรูปช้อนงอนขึ้น มีร่องหรือมีเส้นนูนบนเล็บ
- กล้ามเนื้อ: ไม่มีกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณสะโพก ต้นขา เมื่อเคาะที่แก้มจะมีกล้ามเนื้อบริเวณริมฝีปากกระตุก ซึ่งเป็นอาการของการขาดธาตุแคลเซียม
- กระดูก: มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากขาดแคลเซียม วิตามินดี หรือวิตามินซี
- ช่องท้อง: ช่องท้องโตขึ้น อาจมีตับโตเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อตับจากมีการจับของไขมันเพิ่มขึ้น (Fatty liver) และอาจมีน้ำในช่องท้อง
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด: หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตต่ำ และการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายลดน้อยลง
- ระบบประสาทและพัฒนาการ: มีพัฒนาการโดยรวมช้า ความจำผิดปกติ การตอบสนองของระบบประสาท (รีเฟล็กซ์/Reflex) ช้าลงหรือสูญเสียไป
- ระบบโลหิตวิทยา: มีภาวะซีด และเลือดออกง่าย
- พฤติกรรม: หงุดหงิด ซึม เฉย ไม่ร่าเริง
เด็กวัยใดพบภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารมากที่สุด?
เด็กที่พบภาวะขาดโปรตีนและกำลังสารอาหารมากที่สุด คือ เด็กวัยก่อนเรียน เนื่องจาก
1. วัยนี้มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ความต้องการโปรตีนและกำลังงานสารอาหารต่อน้ำหนักตัวสูงกว่าวัยอื่นๆ
2. ยังไม่สามารถกินอาหารด้วยตนเองได้เต็มที่
3. วัยนี้มีโอกาสติดเชื้อมากกว่าวัยอื่นๆ
4. พฤติกรรมการเลี้ยงดู ความเชื่อของผู้เลี้ยงดูเด็กทำให้เด็กได้รับอาหารโปรตีนและกำลังงานไม่เพียงพอ
แพทย์รักษาภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารอย่างรุนแรงอย่างไร?
แพทย์จะมีเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารอย่างรุนแรง โดยผู้ที่มีอาการรุนแรงนี้แพทย์จะให้นอนรักษาในโรงพยาบาล และแบ่งการรักษาออกเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 การรักษาระยะเฉียบพลัน
- ระยะที่ 2 ระยะที่เด็กเริ่มดีขึ้น
- ระยะที่ 3 เป็นระยะฟื้นฟู
ก. การรักษาใน’ระยะที่ 1’: ใน 24 ชั่วโมงแรกแพทย์จะรักษาภาวะร่วมต่างๆ เช่น ภาวะไม่สมดุลของสารเกลือแร่, ภาวะซีด/โลหิตจาง, ภาวะหัวใจล้มเหลว, และภาวะติดเชื้อ, เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา (การทำงานของอวัยวะต่างๆ) กลับคืนสู่ปกติโดยเร็ว
ซึ่งในระยะนี้แพทย์จะต้องเจาะเลือดตรวจระดับสารเกลือแร่ในเลือดและสารเคมีต่างๆในเลือด, ทำการเอกซเรย์อวัยวะต่างๆถ้าจำเป็น ส่งสารคัดหลั่งต่างๆเพาะเชื้อ, และตรวจดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพราะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจเสียชีวิตได้ในระยะนี้
ข. เมื่อรักษาภาวะเฉียบพลันผ่านพ้นไปแล้ว จะเข้า’ระยะที่2:ระยะที่เริ่มดีขึ้น’ แพทย์จะเริ่มต้นรักษาด้านโภชนาการอย่างช้าๆ, ให้อาหารทีละน้อย โดยค่อยๆเพิ่มกำลังงานสารอาหารจาก 25-50 กิโลแคลอรี/น้ำหนักผู้ป่วย 1 กิโลกรัม (กก.) /วัน จนสูงถึง 150 กิโลแคลอรี/กก./วัน, การให้นมในระยะนี้ต้องให้นมที่มีน้ำตาลแลกโตส (Lactose) น้อย หรือไม่มีน้ำตาลแลกโตสเลย เพราะในระยะนี้ ในเด็กที่ขาดกำลังงานสารอาหารรุนแรง ลำไส้มักสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลกโตสได้น้อย ถ้ากินแลกโตสมากอาจเกิด ท้องเสีย ท้องอืด และปวดท้องได้, และการให้สารเกลือแร่ต่างๆก็ต้องเริ่มแต่น้อยๆก่อนเช่นเดียวกัน
ค. เมื่อผู้ป่วยเริ่มรับประทานอาหารได้ดีขึ้น จึงเข้าสู่การรักษาใน ‘ระยะที่3:ระยะฟื้นฟู’ โดยให้ปริมาณกำลังงานสารอาหารสูงขึ้นเป็นวันละ 150-200 กิโลแคลอรี/กก./วัน, ในระยะนี้เริ่มเสริมธาตุเหล็ก ซึ่งธาตุเหล็กไม่ควรเริ่มเร็วในระยะที่ 1 หรือ 2 เพราะในระยะดังกล่าว สารในร่างกายที่จะจับธาตุเหล็กไปใช้มีน้อย การเสริมธาตุเหล็กในระยะนั้นๆจึงยังไม่ได้ประโยชน์
ป้องกันภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารที่รุนแรงอย่างไร?
ป้องกันภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารที่รุนแรงได้โดย
1. มีนโยบายระดับชาติในการส่งเสริมภาวะโภชนาการ มีการกระจายแหล่งอาหาร และการเฝ้าระวังภาวะโภชนาการเพื่อการรักษาทันทีที่พบกรณีปัญหา
2. มีการให้สุขศึกษารายบุคคลและการเพิ่มสื่อมวลชนในการกระจายองค์ความรู้ เช่น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การให้อาหารเสริมระยะหย่านม การรักษาอุจจาระร่วง/ท้องเสียตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และการบริโภคประเภทอาหารให้ถูกต้องและให้มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของเด็ก
3. การผลิตอาหารและมีอาหารให้เพียงพอทั้งในระดับชุมชนและในระดับครอบครัว
4. การลดอัตราการเพิ่มของประชากร
5. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านทานโรค และการป้องกันภาวะติดเชื้อ
6. การส่งต่อผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาในศูนย์โภชนาการตามเกณฑ์ทางการแพทย์ที่เหมาะสม
เด็กเลี้ยงไม่โตหมายความว่าอย่างไร?
ปัญหาทุโภชนาการในเด็กเล็ก หรือภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานสารอาหารที่พบบ่อย คือ
- เด็กเลี้ยงไม่โต (Failure to thrive) ซึ่งหมายถึง เด็กที่มีปัญหาในการเจริญเติบโต ซึ่งคือ เด็กที่น้ำหนักตัวไม่ขึ้น น้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับเด็กที่มี อายุ เพศ และเชื้อชาติเดียวกัน หากเกิดในระยะยาวนานและรุนแรง อาจมีปัญหาเรื่องส่วนสูงและรอบศีรษะไม่เติบโตตามปกติร่วมด้วย
- เด็กเลี้ยงไม่โต อาจเป็นผลจากปัญหาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ (เช่น จากถูกทอดทิ้ง หรือจากมีความรุนแรงในบ้าน) ด้วย แต่ส่วนใหญ่เด็กกลุ่มนี้มักเกิดจากการได้รับอาหารไม่เพียงพอ
เด็กเลี้ยงไม่โตก่อปัญหาอะไรบ้าง?
ภาวะเด็กเลี้ยงไม่โต ทำให้เกิดปัญหาดังนี้
1. ตัวเตี้ย (Short stature)
2. มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายลดลง ทำให้เจ็บป่วยง่าย
ดังนั้น การพบปัญหาเด็กเลี้ยงไม่โตได้เร็ว และรีบให้การรักษา จะป้องกันไม่ให้เด็กสูญเสียการพัฒนาตามวัยในระยะยาว
อะไรเป็นสาเหตุของเด็กเลี้ยงไม่โต?
สาเหตุของเด็กเลี้ยงไม่โต คือ
1. ได้รับอาหารและกำลังงานสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น จากเทคนิคการให้อาหาร เศรษฐกิจ สังคมไม่ดี และจากปัญหาเลี้ยงดู
2. มีการดูดซึมอาหารจากลำไส้ผิดปกติ เช่น ท้องร่วง/ท้องเสียเรื้อรัง หรือแพ้น้ำตาลแลกโตสในนม
3. มีการใช้กำลังงานสารอาหารมาก หรือมีความต้องการกำลังงานสารอาหารมากในกรณีมีโรคบางอย่าง เช่น
- โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
- โรคมะเร็ง
- มีการอักเสบของลำไส้เรื้อรัง
- โรคหัวใจ
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
อนึ่ง ในผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ เมื่อผู้ป่วยหอบเหนื่อยมาก ก็จะใช้กำลังงานมากขึ้น
แพทย์วินิจฉัยเด็กเลี้ยงไม่โตได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยเด็กเลี้ยงไม่โตได้จาก
- การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และวัดรอบศีรษะในเด็กเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ในเด็กเล็กจะวัดความยาว (นอนวัดความยาว วัดจากเส้นตั้งฉากกับส่วนเหนือสุดของศีรษะจนถึงส้นเท้าเด็ก) เมื่อวัดแล้วในแต่ละตัวแปร (Parameter) คือ น้ำหนัก ส่วนสูง เส้นรอบศีรษะ ควรนำมาเปรียบเทียบกับค่ากราฟมาตรฐานการเจริญเติบโต (Growth chart) ที่ใช้เทียบตาม เพศ อายุ และเชื้อชาติ ซึ่งในแต่ละประเทศแตกต่างกันไป ในประเทศไทยก็มีกราฟการเจริญเติบโต น้ำหนัก ส่วนสูง เทียบตามเพศและอายุของเด็กไทย ซึ่งกราฟทั่วไปมักจะมี น้ำหนักเทียบกับอายุ (Weight-for-age) ส่วนสูงเทียบกับอายุ (Length-for-age หรือ Height-for age ) รอบศีรษะเทียบกับอายุ (Head circumference-for-age) และน้ำหนักเทียบกับส่วนสูง (Weight-for-height)
เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปของการวินิจฉัยเด็กเลี้ยงไม่โตที่แน่ชัด ดังนั้นข้อแนะนำที่จะวินิจฉัยเด็กเลี้ยงไม่โตมีดังนี้
1. น้ำหนักต่ำกว่าเปอร์เซนไตล์ ที่3 แต่บางสถาบันใช้เปอร์เซนไตล์ที่ 2
2. น้ำหนักตัวน้อยกว่า 80% ของน้ำหนักที่ควรเป็น เมื่อเปรียบเทียบกับอายุโดยกราฟเปรียบเทียบการเจริญเติบโตมาตรฐาน
3. น้ำหนักเปรียบเทียบกับส่วนสูงลดลง (ได้แก่ Weight-for- age น้อยกว่า Length-for-age, Weight for length น้อยกว่า เปอร์เซนไตล์ที่ 10)
4. อัตราการเพิ่มน้ำหนักน้อยกว่าที่คาดหมายตามอายุ ได้แก่
- 26 ถึง 31 กรัมต่อวัน ในเด็กอายุ 0 ถึง 3 เดือน
- 17 ถึง 18 กรัมต่อวัน ในเด็กอายุ 3 ถึง 6 เดือน
- 12 ถึง 13 กรัมต่อวัน ในเด็กอายุ 9 ถึง 12 เดือน
- 7 ถึง 9 กรัมต่อวัน ในเด็กอายุ 1 ถึง 3 ปี
เด็กเลี้ยงไม่โตมีระดับความรุนแรงอย่างไร?
มีผู้แบ่งระดับความรุนแรงของเด็กเลี้ยงไม่โตหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แบ่งเป็น
- มีอาการน้อย (อาการ ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้ออาการจากการขาดโปรตีนและกำลังสารอาหาร)
- มีอาการปานกลาง
- และมีอาการมาก
*ซึ่งการแบ่งความรุนแรงดังกล่าว อาจสำคัญน้อยกว่าการหาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
แพทย์ให้การรักษาเด็กเลี้ยงไม่โตอย่างไร?
เป้าหมายสำคัญสำหรับการรักษาเด็กเลี้ยงไม่โต คือ
- การให้อาหารให้เพียงพอจนเด็กสามารถเติบโตได้ทันเพื่อน ซึ่งการจัดการ จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงประเภทและปริมาณอาหาร เวลาการให้อาหาร สิ่งแวดล้อม และขจัดปัญหาทางจิตใจที่มีผลทำให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาเลี้ยงไม่โต
- และที่สำคัญ เน้นการเลี้ยงดูของมารดาบิดาและผู้เลี้ยงดูเด็ก โดยประเด็นนี้จะเน้นเรื่องการให้ความรู้ในการให้อาหารให้เหมาะสม เนื่องจากการรักษาเด็กเลี้ยงไม่โตนี้ ผู้เลี้ยงดูเป็นผู้มีส่วนสำคัญที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
การจัดการปัญหาเด็กเลี้ยงไม่โตจะขึ้นกับความต้องการของเด็กแต่ละคน แต่ละครอบครัว ซึ่งต้องการการประเมิน และทราบรายละเอียดเพื่อวางแผนทั้งในเรื่องการรักษาโรคต่างๆที่เป็นอยู่ สภาวะโภชนาการ การพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย พฤติกรรมและจิตสังคม ตลอดจนการสนับสนุนทางด้านความรู้และกำลังใจแก่ผู้เลี้ยงดู
ในพวกที่มีอาการไม่มาก แพทย์มักจะให้คำแนะนำปรึกษาเป็นผู้ป่วยนอก แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก แพทย์ต้องให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุของภาวะเลี้ยงไม่โตและเพื่อรักษาอาการตลอดจนสร้างทีมงานในสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ นักโภชนาการ พยาบาล เภสัชกร นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อเป็นทีมช่วยเหลือเด็กและครอบครัวตามความจำเป็นในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้อง
ความต้องการกำลังงานสารอาหารของเด็กเป็นอย่างไร?
ปริมาณกำลังงานจากสารอาหารชนิดต่างๆ ได้จากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย มีหน่วยเป็นกิโลแคลอรี (Kilocalorie) หรือเป็นแคลอรี (Calorie)
กลุ่มสารอาหารที่ให้กำลังงานแก่ร่างกายเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก (Macronutrients) ได้แก่
- คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน ที่ให้กำลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม
- แต่ไขมันต่างๆให้กำลังงานแตกต่างกันตั้งแต่ 3.3 ถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม (แล้วแต่ว่าเป็นไขมันชนิดที่มีโมเลกุลสั้น หรือยาวต่างกัน)
ทารกและเด็กในแต่ละช่วงอายุต้องการกำลังงานแตกต่างกัน โดย อาหารที่ทารกและเด็กรับประทานควรมีสัดส่วนกำลังงานที่สมดุล กล่าวคือ ในแต่ละวัน ควรได้กำลังงาน
- จากคาร์โบไฮเดรต 40-60%
- จากโปรตีน 7-15%
- และจากไขมัน 30-35%
ความต้องการกำลังงานที่ได้จากสารอาหารจะค่อยๆลดลงเมื่ออายุของเด็กมากขึ้น โดย
- ทารกในขวบปีแรก ต้องการกำลังงานต่อวันประมาณ 80-120 กิโลแคลอรี/กก./วัน
- และความต้องการจะค่อยๆ ลดลงประมาณ 10 กิโลแคลอรี/กก./วัน ทุกช่วง 3 ปีของอายุที่เพิ่มขึ้น
กำลังงานนี้นำไปใช้ในการทำงานต่างๆของร่างกาย ในการเคลื่อนไหว, ในการออกกำลังกาย, และในการเจริญเติบโต
มารดา บิดา ผู้ปกครองควรทราบว่า อาหารชนิดใดให้ คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, และไขมัน, เพื่อจัดเตรียมอาหารให้เด็กได้อย่างเหมาะสม
ในเด็กทารก นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดจนถึงอายุ 6 เดือน, หลังจากนั้นให้อาหารเสริมตามวัย, และให้นมแม่ควบคู่ไปด้วย (ดูคำแนะนำจากสมุดประจำตัวเด็กที่ทุกโรงพยาบาลจะแจกหลังเด็กคลอด)
ควรดูแลเด็กเลี้ยงไม่โตอย่างไร?
ควรดูแลเด็กเลี้ยงไม่โต ดังนี้
1. จัดการให้เด็กได้รับกำลังงานสารอาหารอย่างเพียงพอ
2. สร้างปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่กับลูกให้ดีขึ้น และเน้นในส่วนของการให้อาหารแก่เด็ก
3. รักษาโรคหรือภาวะทางกาย หากเด็กมีปัญหานั้นๆ
4. ในเด็กบางคนต้องการการกระตุ้นการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ ซึ่งบิดา มารดา และคนดูแลเด็ก จะได้รับคำแนะนำในการดูแลเด็กจาก แพทย์ และพยาบาล
5. ช่วยเหลือในด้านจิตสังคมแก่ครอบครัว
6. ให้กำลังใจแก่บิดา มารดา และผู้ดูแล
ควรนำเด็กพบแพทย์เมื่อใด?
บิดา มารดาและผู้ดูแล ควรติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กจากสมุดคู่มือที่ได้รับจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อแรกเกิด ซึ่งจะมีข้อมูลทั้งเรื่องการเจริญเติบโต, พัฒนาการ, การให้นม, การให้อาหารเสริม, และการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
ในสมุดนั้นจะมีกราฟการเจริญเติบโต ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง และเส้นรอบศีรษะ บิดา มารดา คนดูแล ควรดูกราฟนั้นให้เป็น (ขอความรู้จากพยาบาล หรือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรืออาสาสมัครด้านดูแลสุขภาพ) และใช้ติดตามการเจริญเติบโตของบุตรหลาน
หากการเจริญเติบโตเบี่ยงเบนไปจากปกติ อาจมากไป หรือน้อยไป ควรรีบไปปรึกษาแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อที่แพทย์จะได้หาสาเหตุของความผิดปกติซึ่งอาจมีปัญหาจากโรค, หรือจากภาวะผิดปกติอื่นๆ, ตลอดจนปัญหาด้านโภชนาการ, เพื่อที่จะได้แก้ไขรักษาอย่างถูกต้องทันท่วงที
บรรณานุกรม
- กุสุมา ชูศิลป์. ภาวะขาดโปรตีนและกำลังงานในเด็ก. ใน: สุขชาติ เกิดผล, อวยพร ปะนะมณฑา, จามรี ธีรตกุลพิศาล, ชาญชัย พานทองวิริยะกุล, ณรงค์ เอื้อวิชญาแพทย์, จรรยา จิระประดิษฐา. บรรณาธิการ. วิชากุมารเวชศาสตร์. ขอนแก่น. แอนนาออฟเซต, 2552:หน้า851-76.
- กุสุมา ชูศิลป์. หลักการให้อาหารทารกและเด็ก. ใน: สุขชาติ เกิดผล, อวยพร ปะนะมณฑา, จามรี ธีรตกุลพิศาล, ชาญชัย พานทองวิริยะกุล, ณรงค์ เอื้อวิชญาแพทย์, จรรยา จิระประดิษฐา. บรรณาธิการ. วิชากุมารเวชศาสตร์. ขอนแก่น. แอนนาออฟเซต, 2552:หน้า 827-49.
- Grover Z, Ee LC. Protein energy malnutrition. Pediatr Clin N Am 2009;56:1055-68.
- Kirkland RT, Motil KJ. Etiology and evaluation of failure to thrive (undernutrition) in children younger than two years. http://www.uptodate.com.Retrieved December 15, 2011.
- Kirkland RT, Motil KJ. Management of failure to thrive (undernutrition) in children younger than two years. hhttp://www.uptodate.com.Retrieved December 15, 2011.