บีดาควิไลน์ (Bedaquiline)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 10 มีนาคม 2560
- Tweet
- บทนำ
- บีดาควิไลน์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
- บีดาควิไลน์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- บีดาควิไลน์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- บีดาควิไลน์มีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- บีดาควิไลน์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้บีดาควิไลน์อย่างไร?
- บีดาควิไลน์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาบีดาควิไลน์อย่างไร?
- บีดาควิไลน์มีชื่ออื่นอีกไหม?ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- วัณโรค (Tuberculosis)
- วัณโรคปอดในเด็ก (Childhood tuberculosis)
- ยาวัณโรค หรือ ยารักษาวัณโรค (Anti-tuberculosis medication)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- ตับอักเสบ โรคพิษต่อตับ (Toxic hepatitis หรือ Hepatotoxicity)
บทนำ
ยาบีดาควิไลน์ (Bedaquiline หรือ Bedaquiline fumarate) เป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อบำบัดรักษาวัณโรคชนิดที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะต่างๆ โดยมีการขึ้นทะเบียนและรับรองการใช้ทางคลินิกในปี ค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) จัดว่าเป็นยาใหม่ที่ใช้รักษาวัณโรคในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา โดยจำหน่ายภายใต้ชื่อการค้าว่า “Sirturo” ยานี้มีกลไกการออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยสร้างพลังงานในการดำรงชีวิตของเชื้อวัณโรค (ATP synthase inhibition/ Adenosine triphosphate synthase inhibition) ส่งผลให้เชื้อวัณโรคไม่สามารถขยายพันธุ์และตายลงในที่สุด
ยาบีดาควิไลน์มีลักษณะเภสัชภัณฑ์เป็นยาชนิดรับประทาน หลังการดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ตัวยาจะเข้าจับกับพลาสมาโปรตีนได้มากกว่า 99.9% ตับจะใช้เอนไซม์ซึ่งมีชื่อเรียกย่อๆว่า CYP3A4 (Cytochrome P450 3A4) เพื่อทำลายโครงสร้างของยานี้เพื่อขับทิ้งไปกับอุจจาระ บีดาควิไลน์เป็นยาที่ต้องใช้เวลานานประมาณ 5.5 เดือน ในการกำจัดทิ้งออกจากกระแสเลือดซึ่งมีความสัมพันธ์กับอาการของวัณโรค ด้วยการรักษาวัณโรคในอดีตที่ต้องใช้ยาพื้นฐานหลายตัวร่วมรักษา อย่างเช่น Isoniazid, Rifampicin, Pyrazinamide, Ethambutol, ยาเหล่านี้จะถูกกำจัดออกจากร่างกายภายในไม่กี่ชั่วโมง และการรับประทานยาแต่ละวันอาจต้องใช้ยา 2 – 3 รายการและมีความถี่ของการรับประทานวันละ 3 – 4 ครั้ง แต่ยาบีดาควิไลน์ถือเป็นยาทางเลือกใหม่สำหรับเชื้อวัณโรคที่ดื้อต่อยาดั้งเดิม ทั้งด้านประสิทธิผลและความถี่ของการรับประทานยาเพียงวันละ1ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ใช้ยาบีดาควิไลน์อาจมีอาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ที่พบได้บ่อย เช่น คลื่นไส้ ปวดข้อ ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก กรณีที่เกิดอาการข้างเคียงรุนแรง จะก่อให้เกิดความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(ECG)ในแบบที่เรียกกันว่า Prolongs the QT interval รวมถึงก่อให้เกิดอาการตับอักเสบที่อาจรุนแรงจนมีความเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ยาบีดาควิไลน์ยังมีข้อห้ามใช้บางประการที่ผู้บริโภค/ผู้ป่วยควรทราบ เช่น
- ห้ามใช้บีดาควิไลน์กับการติดเชื้อวัณโรคในระยะแฝง/ซ่อนเร้น
- ห้ามใช้ยานี้กับการติดเชื้อวัณโรคประเภทนอกปอด (Extrapulmonary tuberculosis)คือติดเชื้อในอวัยวะอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลือง ตับ เป็นต้น
- ห้ามใช้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้
- ห้ามใช้ยานี้กับการติดเชื้อที่ไม่ใช่เชื้อวัณโรค
องค์การอนามัยโลกได้ระบุให้ยาบีดาควิไลน์เป็นยาจำเป็นขั้นพื้นฐานที่สถานพยาบาลควรมีสำรองเพื่อให้บริการแก่ประชาชน เรายังไม่พบเห็นการใช้ยาบีดาควิไลน์ในประเทศไทยอย่างแพร่หลายก็จริง ทั้งนี้อาจต้องรอความเหมาะสมของปัจจัยการนำเข้า การผลิต ความจำเป็นเร่งด่วนของการใช้ยานี้รวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจ
หากต้องการทราบข้อมูลการใช้ยาบีดาควิไลน์เพิ่มเติม ผู้บริโภคสามารถสอบถามได้จากแพทย์ผู้ที่ทำการรักษา หรือจากเภสัชกรโดยทั่วไป
บีดาควิไลน์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
ยาบีดาควิไลน์มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้เพื่อ บำบัดรักษาอาการวัณโรคปอดที่มีการพัฒนาตัวเองให้ดื้อต่อยารักษาวัณโรครุ่นดั้งเดิม
บีดาควิไลน์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
ยาบีดาควิไลน์มีกลไกการออกฤทธิ์โดย ตัวยาจะทำการยับยั้งการส่งผ่านธาตุไฮโดรเจน(Proton pump) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของเอนไซม์ ATP synthase ที่มีอยู่ในเชื้อวัณโรค ทำให้เชื้อวัณโรคขาดแคลนแหล่งพลังงาน(ATP)ในการดำรงชีวิต ส่งผลให้เชื้อฯหยุดการเจริญเติบโต ไม่สามารถกระจายพันธุ์และตายลงในที่สุด ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์นี้ต้องอาศัยการรับประทานยานี้ต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์นานถึง 24 สัปดาห์ จึงจะเห็นประสิทธิผลของการรักษา
บีดาควิไลน์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาบีดาควิไลน์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น
- ยาเม็ดชนิดรับประทานที่ประกอบด้วยตัวยา Bedaquiline ขนาด 100 มิลลิกรัม/เม็ด
บีดาควิไลน์มีขนาดรับประทานอย่างไร?
ยาบีดาควิไลน์มีขนาดรับประทาน เช่น
- ผู้ใหญ่: รับประทานยา 400 มิลลิกรัม วันละ1 ครั้ง ใน 2 สัปดาห์แรก โดยใช้ร่วมกับยารักษาวัณโรคชนิดอื่นตามคำสั่งแพทย์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้กำกับดูแลการใช้ยากับผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมที่สุด จากนั้นให้ลดขนาดการรับประทานลงมาเป็นครั้งละ 200 มิลลิกรัม โดยรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และใช้ยาต่อเนื่องไปอีก 22 สัปดาห์
- เด็ก: ทางคลินิกยังไม่มีข้อบ่งใช้ของยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก การใช้ยานี้ในเด็กจึง อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
อนึ่ง:
- ห้ามรับประทานยานี้พร้อมกับเครื่องดื่มที่มีองค์ประกอบของแอลกอฮอล์เพราะจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยานี้
- ทางคลินิกแนะนำการรักษาด้วยยาบีดาควิไลน์ติดต่อกัน 24 สัปดาห์
- ผู้ป่วยต้องรับประทานยาต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
- ระหว่างการใช้ยานี้ควรตรวจสอบการทำงานของหัวใจและของตับร่วมด้วยตามคำสั่งแพทย์ ซึ่งหากพบความผิดปกติต่ออวัยวะดังกล่าว แพทย์จะรีบดำเนินการแก้ไขทันที
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาบีดาควิไลน์ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ โรคหัวใจ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาบีดาควิไลน์ อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาบีดาควิไลน์ควรปฏิบัติดังนี้
- กรณีลืมรับประทานยาบีดาควิไลน์ในระหว่างสัปดาห์ที่ 1 และ 2 ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้อง เพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า กล่าวคือให้รับประทานยาในขนาดเดิม
- ในระหว่างสัปดาห์ที่ 3 ถึงสัปดาห์ที่ 24 กรณีลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ ห้ามรับประทานยาเกิน 600 มิลลิกรัม/สัปดาห์
- กรณีที่ลืมรับประทานยาแล้วไม่มั่นใจว่าควรจะรับประทานยาขนาดใด ให้กลับมาปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็ว
- กรณีรับประทานยาบีดาควิไลน์เกินขนาด ให้รีบนำตัวผู้ป่วยมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
แต่อย่างไรก็ดี การลืมรับประทานยาบีดาควิไลน์บ่อยครั้ง จะส่งผลทำให้การรักษาด้อยประสิทธิผล ผู้ป่วยควรรับประทานยาตรงตามคำสั่งแพทย์
บีดาควิไลน์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาบีดาควิไลน์สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร เอนไซม์อะไมเลส(Amylase,เอนไซม์ย่อยอาหารจากตับอ่อน)ในเลือดเพิ่มขึ้น
- ผลต่อระบบประสาท: เช่น ปวดศีรษะ
- ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: เช่น เจ็บหน้าอก
- ผลต่อตับ: เช่น เอนไซม์การทำงานของตับในเลือดสูงขึ้น
- ผลต่อผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นคัน
- ผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำหนักตัวลดลง
- ผลต่อระบบกระดูกและข้อ: เช่น ปวดข้อ
- ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น ไอเป็นเลือด
อนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันผลข้างเคียงที่รุนแรง ระหว่างการรักษา แพทย์จะนัดมาทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์การทำงานของตับเป็นระยะๆ ผู้ป่วยควรต้องมารับการตรวจตามที่แพทย์นัดหมายทุกครั้ง
มีข้อควรระวังการใช้บีดาควิไลน์อย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาบีดาควิไลน์ เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
- ห้ามใช้กับผู้ที่มีการติดเชื้อวัณโรคแบบแอบแฝง
- ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
- ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น สียาเปลี่ยน เม็ดยาแตกหัก
- ห้ามรับประทานยาพร้อมกับสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
- รับประทานยานี้ต่อเนื่องตรงตามขนาดและเวลาในแต่ละวันตามแพทย์สั่ง
- การใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์/ตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เด็ก และผู้สูงอายุ จะต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
- เฝ้าระวังการทำงานของ หัวใจ ตับ ให้เป็นปกติเสมอตามแพทย์แนะนำ
- ระหว่างที่ใช้ยานี้แล้วมีอาการตัวเหลือง หรือเจ็บหน้าอกรุนแรง ให้หยุดการใช้ยานี้ทันที แล้วรีบมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
- มาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามนัดทุกครั้ง เพื่อรับการตรวจร่างกายและดูความก้าวหน้าของการรักษาจากแพทย์
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาบีดาควิไลน์ด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพร ต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
บีดาควิไลน์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาบีดาควิไลน์ มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบีดาควิไลน์ร่วมกับยา Ketoconazole เป็นเวลานานมากกว่า 14 วัน ด้วยจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงจากยาบีดาควิไลน์กับผู้ป่วยได้มากยิ่งขึ้น เช่น ก่อให้เกิดตับเป็นพิษ/ตับอักเสบ
- การใช้ยาบีดาควิไลน์ร่วมกับยา Rifampin สามารถทำให้ระดับยาบีดาควิไลน์ในกระแสเลือดลดต่ำลงจนส่งผลให้ด้อยประสิทธิภาพของการรักษาตามมา หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
ควรเก็บรักษาบีดาควิไลน์อย่างไร?
ควรเก็บยาบีดาควิไลน์ภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส(Celsius) ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อนและความชื้น และไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือรถยนต์
บีดาควิไลน์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาบีดาควิไลน์ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
SIRTURO (เซอร์ทูโร) | Kemwell Pvt |