นานาสาระ ตอน ยาแก้เวียนหัว ไม่ควรทานนาน ๆ

• โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
• 22 พฤษภาคม 2563
• Tweet

นานาสาระ ตอน ยาแก้เวียนหัว ไม่ควรทานนาน ๆ

อาการเวียนหัว บ้านหมุนเป็นอาการที่ผู้ป่วยไม่อยากเป็น เพราะอาการดังกล่าวทำให้สูญเสียความมั่นใจ และทรมานมากเมื่อมีอาการ ดังนั้นผู้ป่วยจึงอยากมียาทานให้อาการหายให้เร็วที่สุด จึงต้องไปฉีดยาที่ห้องฉุกเฉิน หลังจากนั้นก็จะได้ยามาทาน เมื่ออาการดีขึ้นหลังจากทานยา ก็เลยไม่อยากหยุดยา เพราะกลัวว่าอาการจะกลับมาเป็นซ้ำอีก จึงขอทานยาไปตลอดเวลา แต่ผมอยากบอกว่าไม่ควรทานยาแก้วิงเวียนศีรษะเป็นเวลานานต่อเนื่อง เพราะอะไร ต้องติดตามเรื่องเล่าต่อไปนี้ครับ

วันหนึ่งผมได้ออกตรวจผู้ป่วยที่คลินิกระบบประสาทของโรงพยาบาล มีผู้ป่วยหญิงอายุประมาณ 65 ปี มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูงและอ้วน ทานยารักษาโรคประจำตัวสม่ำเสมอ ช่วงหลังมานี้มีอาการวิงเวียนศีรษะเป็น ๆ หาย ๆ มาตลอดหลายปี ก็เลยทานแก้วิงเวียนศีรษะ โดยซื้อจากร้านขายยาทานเอง มี 2 ชนิด คือ ยาแก้วิงเวียนแบบเม็ดทานเมื่อมีอาการวิงเวียน และยาป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะ เพิ่มเลือดเลี้ยงสมองทานก่อนนอนทุกวัน เพราะไม่อยากมีอาการวิงเวียนศีรษะอีก

ผู้ป่วยมาพบผมวันนี้ ผมสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยทำอะไรค่อนข้างช้า เดินช้า มือสั่นเล็กน้อยแต่ทำอะไรไม่สะดวก ผมจึงขอตรวจร่างกายผู้ป่วย พบว่ามีลักษณะเข้าได้กับอาการคล้ายกับโรคพาร์กินสัน (parkinsonism) ผมรู้สึกแปลกใจว่าทำไมผู้ป่วยถึงมีอาการคล้ายโรคพาร์กินสันเกิดขึ้นได้ จึงได้ทบทวนยาทั้งหมดที่ได้ในรายการยาของโรงพยาบาล ก็ไม่พบว่ามียาชนิดไหนที่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าวได้ จึงสอบถามผู้ป่วยว่ามียาชนิดไหนที่ทานอีก หรือได้รับยาจากโรงพยาบาลอื่น ๆ หรือไม่ ซึ่งก็ได้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยซื้อยาแก้วิงเวียนศีรษะทานเองจากร้านขายยา

อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วครับว่ายาแก้วิงเวียนศีรษะนั้นไม่ควรทานนาน ๆ โดยเฉพาะยากลุ่มต้านแคลเซียม (calcium channel antagonist) เช่น ยาฟลูนาริซีน (flunarizine) ซึ่งยาดังกล่าวเป็นยาที่ซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไปได้ เป็นยาที่ใช้รักษาอาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง เพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง ป้องกันปวดศีรษะไมเกรน จริงแล้วเป็นยาที่ปลอดภัย ถ้าใช้ไม่นานมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุถ้าทานนาน ๆ อาจก่อให้เกิดอาการคล้ายโรคพาร์กินสันได้ครับ

ดังนั้นถ้าท่านมีหมอที่ตรวจรักษาประจำอยู่แล้ว ผมไม่ค่อยอยากให้มีการซื้อยาทานเองเลยครับ มีปัญหาสุขภาพอะไร ก็ควรปรึกษาหมอที่ดูแลประจำดีกว่าครับ