ตาพร่ามัว (Blurred Vision) – Update

สารบัญ

เกริ่นนำ

ที่มาของโรค

    • สายตาผิดปกติ
    • โรคสายตายาวตามวัย
    • สายตาสั้นเทียม
    • ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ
    • การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อตา
    • ต้อกระจก
    • โรคต้อหิน
    • โรคเบาหวาน
    • โรคจอประสาทตา
    • ภาวะวิตามินเอมากเกิน
    • โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม
    • การติดเชื้อที่ตา
    • โรคภูมิต้านทานผิดปกติชนิดโจเกรน
    • วุ้นตาเสื่อม
    • จอตาลอก
    • โรคเส้นประสาทตาอักเสบ
    • โรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะขาดเลือดชั่วคราว
    • เนื้องอกในสมอง
    • พยาธิท็อกโซคาร่า (Toxocara)
    • เลือดออกภายในดวงตา
    • หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ
    • ปวดหัวไมเกรน
    • กระพริบ
    • พิษคาร์บอนมอนอกไซด์
    • ตาน้อยเกิน

การรักษา

เกริ่นนำ

ตาพร่ามัว เป็นอาการทางสายตาที่ทำให้การมองเห็นลดความชัดเจนลง  ส่งผลให้ความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดต่าง ๆ ของสายตาลดลง

ตาพร่ามัวชั่วคราว อาจเกิดจากอาการตาแห้ง  การติดเชื้อที่ตา  แอลกอฮอล์เป็นพิษ  น้ำตาลในเลือดต่ำ และความดันเลือดต่ำ  อาการป่วยอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดอาการตาพร่ามัวได้ประกอบด้วย สายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น   สายตายาวมาก หรือสายตาเอียง  นอกจากนั้นอาการตาพร่ามัวยังพบได้ในผู้ป่วยโรคตาขี้เกียจ   โรคสายตายาวตามวัย  โรคสายตาสั้นเทียม โรคเบาหวาน ต้อกระจก  โลหิตจางเพอร์นิเชียส (โรคโลหิตจางชนิดนี้ เกิดจากการขาดวิตามินบี 12 และสามารถเกิดร่วมกับการขาดธาตุเหล็กด้วย)  การขาดวิตามินบี12   การขาดวิตามินบี1  ต้อหิน  โรคจอประสาทตา  การบริโภควิตามินเอมากเกิน  ไมเกรน โรคภูมิต้านทานผิดปกติชนิดโจเกรน  ภาวะวุ้นในตาเสื่อม  และยังอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองหรือเนื้องอกในสมองได้ด้วย

ที่มาของโรค

สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการตาพร่ามัวมีได้หลากหลาย ดังนี้

  • สายตาผิดปกติ สายตาผิดปกติที่ไม่ได้รับการปรับแก้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ทำให้เกิดตาพร่ามัวได้  และเป็นหนึ่งในสาเหตุแรก ๆ ของความบกพร่องทางสายตาทั่วโลก  หากผู้ป่วยไม่มีภาวะตาขี้เกียจร่วมด้วย  ตาพร่ามัวเนื่องจากสายตาผิดปกติสามารถแก้ไขให้กลับสู่ภาวะปกติได้โดยการใช้แว่น หรือผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา
  • โรคสายตายาวตามวัย จากความสามารถในการเพ่งของเลนส์ตาที่ลดลง (กำลังเพ่งของเลนส์ตาจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การมองเห็นระยะใกล้ไม่ชัดเจนในผู้สูงวัย สาเหตุอื่นของการมองเห็นระยะใกล้ไม่ชัดเจนยังอาจเกิดจาก ความสามารถในการเพ่งน้อยกว่าปกติ  หรือระบบการเพ่งไม่ทำงาน เป็นต้น
  • สายตาสั้นเทียมที่เกิดจากความสามารถในการเพ่งของเลนส์ตาผิดปกติ เลนส์ตาทำงานหนักเกิน  และจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเพ่งของเลนส์ตา  อาการเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดตาพร่ามัวได้
  • ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ สามารถก่อให้เกิดอาการตาพร่ามัวได้เช่นกัน
  • การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อตา เช่น แอโทรพีน (atropine) หรือ ยาขยายหลอดลม (anticholinergics) อื่น ๆ สามารถก่อให้เกิดอาการสายตาพร่ามัวจากระบบการเพ่งไม่ทำงาน
  • ต้อกระจก ฝ้าที่ปกคลุมทั่วเลนส์ตาทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว มองเห็นแสงรัศมีรอบดวงไฟ และเห็นแสงกระจายได้  ต้อกระจกจัดเป็นสาเหตุหลักของโรคตาบอดทั่วโลกด้วย
  • โรคต้อหิน ความดันลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้นสามารถทำให้ภาวะประสาทตาเสื่อม รุนแรงต่อเนื่อง จนนำไปสู่ความเสียหายของเส้นประสาทตา การสูญเสียลานสายตา และตาบอดได้  ทั้งนี้ โรคต้อหินอาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ความดันลูกตาไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน ในโรคต้อหินบางประเภทเช่น โรคต้อหินมุมเปิด ผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในมองเห็นทีละน้อย  ขณะที่ผู้ป่วยด้วยโรคต้อหินมุมปิด จะสูญเสียการมองเห็นแบบฉับพลัน  และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการตาบอดในผู้พิการทางตาส่วนใหญ่
  • โรคเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีพอ สามารถทำให้เลนส์ตาเกิดการบวมชั่วคราว   จนเป็นสาเหตุของตาพร่ามัวได้  อาการจะกลับมาดีขึ้น เมื่อผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ กระนั้นการบ่อยให้เลนส์ตาบวมซ้ำบ่อย ๆ เชื่อว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดต้อกระจกได้ 
  • โรคจอประสาทตา หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคเกี่ยวกับจอประสาทตาต่าง ๆ  เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา   ความดันโลหิตสูงขึ้นจอประสาทตา  โรคจอประสาทตาจากภาวะเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell retinopathy)  และโรคจอประสาทตาจากภาวะโลหิตจาง  สามารถทำลายจอประสาทตา และนำไปสู่ความบกพร่องของลานการเห็น จนถึงขั้นตาบอดได้
  • ภาวะวิตามินเอมากเกิน การบริโภควิตามินเอมากเกินไป สามารถก่อให้เกิดสายตาพร่ามัวได้
  • โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม เป็นสาเหตุของการสูญเสียความสามารถในมองเห็นความคมชัดของภาพ  สายตาพร่ามัว (โดยเฉพาะขณะอ่านหนังสือ)   การมองเห็นภาพบิดเบี้ยว (เห็นเส้นตรงเป็นเส้นโค้ง) และสีที่ซีดจาง  โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมเป็นสาเหตุอันดับที่สามของโรคตาบอดทั่วโลก และเป็นสาเหตุหลักของโรคตาบอดในประเทศอุตสาหกรรมอีกด้วย
  • การติดเชื้อที่ตา ตาอักเสบ หรือบาดเจ็บที่ตา
  • โรคภูมิต้านทานผิดปกติชนิดโจเกรน การอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันตนเองเรื้อรัง สามารถทำให้ต่อมผลิตความชื้นอย่างต่อมน้ำตาเกิดความเสียหาย เป็นผลให้เกิดอาการตาแห้ง และพร่ามัวได้
  • วุ้นตาเสื่อม อนุภาคเล็ก ๆ ที่ลอยตัดผ่านในดวงตา แม้ว่ามักเกิดในช่วงเวลาสั้น ๆ และไม่อันตราย แต่อาจเป็นสัญญาณของจอตาลอกได้
  • จอตาลอก สัญญาณของจอตาลอกได้แก่ วุ้นตาเสื่อม  การมองเห็นแสงไฟตัดผ่านลานสายตา หรือความรู้สึกเหมือนมีเงาหรือม่านบังอยู่ที่ด้านใดด้านหนึ่งของลานสายตา
  • โรคเส้นประสาทตาอักเสบ การอักเสบของเส้นประสาทตาที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือโรคเอ็มเอส (Multiple Sclerosis) สามารถทำให้ปลอกประสาทในระบบประสาทส่วนกลางอักเสบได้ เช่น สมอง  ไขสันหลัง และประสาทตา ส่งผลให้เกิดตราพร่ามัว  หรืออาจมีอาการปวดขณะขยับหรือแตะที่เปลือกตา
  • โรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะขาดเลือดชั่วคราว
  • เนื้องอกในสมอง
  • พยาธิท็อกโซคาร่า (Toxocara) พยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งที่สามารถก่อให้เกิดอาการตาพร่ามัวได้
  • เลือดออกภายในดวงตา
  • หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ เกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดแดงในสมอง ซึ่งส่งเลือดไปยังเส้นประสาทตา
  • ปวดหัวไมเกรน การเห็นแสง ประกายแสง แสงซิกแซกหรือฟันเลื่อย เป็นอาการนำทั่วไปก่อนเริ่มปวดศีรษะ  อาการไมเกรนที่จอประสาทตา คืออาการที่เกิดขึ้นโดยเรามีอาการทางสายตาเท่านั้นแต่ไม่มีอาการปวดหัวร่วมด้วย
  • กระพริบตาน้อยลง เป็นการปิดเปลือกตาที่เกิดขึ้นไม่บ่อย มักนำไปสู่ความผิดปกติของฟิล์มน้ำตา เนื่องจาการระเหยที่ยาวนานเกินไป ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการรับรู้ภาพ
  • พิษคาร์บอนมอนอกไซด์ การได้รับออกซิเจนน้อยกว่าระดับปกติ สามารถส่งผลต่อหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย รวมทั้งการมองเห็น อาการอื่น ๆ ที่เกิดจากพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ได้แก่ เวียนศีรษะ เห็นภาพหลอน และไวต่อแสง

การรักษา

การรักษาจะเป็นการรักษาจากสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาพร่ามัว หรือรักษาตามอาการ

อ่านตรวจทานโดย รศ. ดร. พญ. วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์

 

 

แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Blurred_vision [2024, October 19] โดย อาภากรณ์ โชติกเสถียร