1. ตลาดโรงพยาบาล – ตอนที่ 19

  • ล่าสุด รัฐเร่งออกมาตรการเร่งรัด (Acceleration) การลงทุน เพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Medial products) ที่เพิ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19

ส่งผลให้ช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563 มีนักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน (Investment promotion) ในอุตสาหกรรมการแพทย์ถึง 52 โครงการ เพิ่มขึ้น +174% จากปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +123% จากปีก่อน สำหรับในเขตระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)

ภาครัฐได้อนุมัติ “เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษการแพทย์ครบวงจร (EECmd; md = doctor of medicine) ธรรมศาสตร์ พัทยา” เพื่อเป็นพื้นที่ลงทุนพัฒนาศูนย์นวัตกรรมด้านการแพทย์ (Medical innovation) ครบวงจร ซึ่งเริ่มมีนักลงทุนต่างชาติสนใจขอใช้พื้นที่ เช่น ธนาคาร มิซูโฮ (ญี่ปุ่น) จะสนับสนุนเงินทุนแก่ลูกค้าที่เข้ามาลงทุนด้านสุขภาพ (Health-care)

ส่วนนักลงทุนจีนสนใจสร้างศูนย์ศึกษาแพทย์แผนจีนในอาเซียน (ASEAN = Association of South-East Asia Nations)และไต้หวันสนใจลงทุนคลินิกผู้สูงวัย (Geriatric clinic) อีกทั้งยังเห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติด้านการแพทย์จีโนมิกส์ (Genomics) และสนับสนุนให้ภาคเอกชนในนิคมอุตสาหกรรม (Industrial estate) ลงทุนเปิดโรงพยาบาลเพื่อรองรับความต้องการของประชาชนในนิคมฯ ที่กำลังเพิ่มขึ้น

  • ประเด็นท้าทายของผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนได้แก่                                                                                                 
    • การขาดแคลนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้กำหนดสัดส่วน (Proportion) ของจำนวนแพทย์และพยาบาลต่อประชากรไว้ที่ 8 ต่อ 1,000 ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 0.4 ต่อ 1,000 ซึ่งต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น สิงคโปร์ อันมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.92 ต่อ 1,000 และมาเลเซียอันมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.2 ต่อ 1,000 การเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลเอกชนจะทำให้เกิดการแย่งตัว (Snatch) แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งจะผลักดันให้ต้นทุนของธุรกิจ (Business cost) เพิ่มสูงขึ้น 
    • กฎระเบียบภาครัฐเช่น การนำยา, เวชภัณฑ์, และค่าบริการเข้ามาอยู่ในบัญชีสินค้าและบริการควบคุม (Control account) เป็นข้อจำกัด (Limitation) ในการปรับขึ้นค่าสินค้าและบริการ ซึ่งกระทบต่อผลประกอบการ (Performance) ของโรงพยาบาลเอกชนในระยะต่อไป โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็ก (Small and medium-sized enterprise: SME) ที่ไม่มีเครือข่าย นอกจากนี้ โรงพยาบาล SME ดังกล่าวยังมักพึ่งพิงรายได้จากการให้บริการภายใต้โครงการกองทุนประกันสังคม (Social security) และกองทุนสุขภาพถ้วนหน้า (Universal coverage: UC) ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสุขภาพ (Health policy) ของกองทุนดังกล่าว จึงอาจกระทบผลการดำเนินงานของธุรกิจได้

แหล่งข้อมูล -

  1. https://www.krungsri.com/th/research/industry/industry-outlook/Services/Private-Hospitals/IO/io-Private-Hospitals [2023, September November 2].
  2. https://www.eeco.or.th/en [2023, November 2].