โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

ซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression ย่อว่า PPD/พีพีดี) คือ โรค/ภาวะผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดได้ทั้งกับ “มารดา และ/หรือ บิดา(พบน้อยกว่าในมารดา)” หลังทารกคลอด หรืออาจเกิดในช่วงตั้งครรภ์ก่อนคลอดก็ได้ โดยเป็นอารมณ์ที่รุนแรงที่มักเกิดต่อเนื่องจากอาการมาม่าบลู(ในมารดา)หรือเบบี้บลูในผู้ชาย  แต่เป็นอาการที่เกิดยาวนานและรุนแรงกว่า เช่น ซึมเศร้ารุนแรง, ร้องไห้โดยไร้เหตุผลบ่อย, เหนื่อยล้า หมดแรง, สับสน กระวนกระวาย, นอนไม่หลับ, เบื่ออาหาร, ซึ่งอาการต่างๆมักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

ซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด เป็นโรค/ภาวะพบเรื่อยๆทั่วโลก ไม่ถึงกับบ่อยมาก สถิติเกิดต่างกันในแต่ละประเทศเพราะขึ้นกับ วัฒนธรรมประเพณีในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ และคลอดบุตร, รวมถึงในการอยูร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่หรือเป็นครอบครัวเดี่ยว, การศึกษาทั่วโลกพบประมาณ 17%ของสตรีหลังคลอด,  และมีรายงานพบในบิดาที่มีอาการเหล่านี้หลังทารกคลอดประมาณ 1%-26%

อนึ่ง:

  • ชื่ออื่นของ ซึมเศร้าหลังคลอด เช่น Postnatal depression, *Perinatal depression(ย่อว่า PND/พีเอ็นดี, มักใช้ศัพท์นี้ในปัจจุบัน เพราะแพทย์หลายท่านเชื่อว่า อาการเหล่านี้เริ่มเกิดได้ในระยะครรภ์ก่อนคลอดจนถึงระยะหลังคลอด)
  • ทุกหัวข้อในบทความนี้ ถ้าไม่ระบุว่าเป็นบิดาหรือมารดา จะหมายรวมทั้งมารดาและบิดาเพราะปัจจัยต่างๆในทุกหัวข้อจะเช่นเดียวกัน ปรับใช้ด้วยกันได้  แต่ถ้าเป็นเรื่องเฉพาะจึงจะระบุว่า เป็นเฉพาะมารดา หรือ เฉพาะบิดา

ซึมเศร้าหลังคลอดมีสาเหตุจากอะไร? อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดซึมเศร้าหลังคลอด?

 

สาเหตุที่แน่นอนแท้จริงของซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด แพทย์ยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าน่ามาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ซึ่งที่สำคัญ ได้แก่  

ก. ปัจจัยทางชีวภาพ: มีหลากหลาย ที่สำคัญ เช่น

  • การเปลี่ยนแปลงทั้งชนิดและระดับฮอร์โมนต่างๆอย่างรวดเร็วทั้งในช่วงก่อนคลอดและช่วงหลังคลอด
    • ด้านมารดา: จากการเปลี่ยนแปลงของชนิดและระดับฮอร์โมนต่างๆที่ เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และความเครียด เช่น
      • ฮอร์โมนรก, เอสโตรเจน, โพรเจสเทอโรน, ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์
      • การได้รับยาฮอร์โมนกระตุ้นการคลอด เช่น ออกซิโทซิน
    • ด้านบิดา: หลายการศึกษาพบการเปลี่ยนแปลงต่ำลงของระดับฮอร์โมนต่างๆในช่วงนี้เช่นกัน เช่น เทสทอสเทอโรน, ฮอร์โมนต่อมหมวกไตโดยเฉพาะฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติโซน)
  • พันธุกรรมที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า, โรค/ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือ อาการมาม่าบลู หรือ เบบี้บลูในผู้ชาย โดยเฉพาะที่เคยเกิดในครรภ์ก่อนๆ
  • สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์, และ/หรือ ใช้สาร/ยาเสพติด
  • มีโรคประจำตัวเรื้อรัง โดยเฉพาะกลุ่มโรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคไฟโบรมัยอัลเจีย
  • มารดา บิดา อายุน้อย มักต่ำกว่า 20 ปี
  • ทารกที่เกิดมีปัญหาด้านสุขภาพ หรือ พิการแต่กำเนิดซึ่งมักก่อให้เกิดความเครียดในครอบครัวโดยเฉพาะมารดาบิดา

ข. ปัจจัยทางจิตเวช: มีหลากหลายเช่นกัน เช่น

  • ความเครียด
  • ความวิตกกังวล
  • นอนไม่หลับ, นอนน้อย
  • พักผ่อนไม่พอ
  • ไม่มีเวลาส่วนตัว
  • ไม่มีใครเข้าใจ
  • ประวัติเคยมีอาการซึมเศร้า
  • เคยมีอาการ มาม่าบลู หรือ เบบี้บลูในผู้ชาย ในครรภ์ก่อนๆ
  • มีวิกฤติชีวิตช่วงตั้งครรภ์ เช่น หย่าร้าง, ตกงาน, สูญเสียคนที่รักผูกพัน
  • มีประสบการณ์ไม่ดี ในชีวิต, ในวัยเด็ก, และ/หรือ ในเรื่องเกี่ยวกับการมีลูก
  • ปัญหาเศรษฐกิจ
  • เด็กคลอดยาก, ใช้เครื่องช่วยทำคลอด
  • มีประวัติการแท้งบุตรมาก่อน
  • ไม่มีน้ำนมที่เพียงพอ
  • มีประสบการณ์ไม่ดี หรือ กลัว การให้นม หรือกลัวการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • มีสัมพันธ์ไม่ดีในครอบครัว โดยเฉพาะระหว่างสามี-ภรรยา
  • เป็นคนอ่อนแอ ไม่สู้ชีวิต มองโลกด้านลบ
  • ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ โดยเฉพาะคนในครอบครัว และเพื่อน
  • ไม่อยากมีลูกตั้งแต่แรก หรือ ไม่พร้อมที่จะมีลูก
  • มีความรุนแรงในครอบครัว
  • ไม่มีความมั่นใจ กลัวมาก ในการดูแลทารก
  • ตั้งเป้าหมายสูงมากในการ เป็นแม่ เป็นพ่อ

ซึมเศร้าหลังคลอดมีอาการอย่างไร?

อาการซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอดมีหลากหลายอาการ ทั่วไปเป็นอาการเกิดหลังคลอด  แต่หลายคนอาจเกิดในช่วงก่อนคลอด,  ซึ่งลักษณะ/รูปแบบอาการที่สำคัญของโรค เช่น

  • อาการผิดปกติต่างๆจะรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน, ต่อคนในครอบครัวที่รวมถึงสามีหรือภรรยา, และยังกระทบกับทารก เช่น ทารกไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
  • อาการฯต่อเนื่องเป็นอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • อาการฯมักเกิดได้ตั้งแต่ ช่วงก่อนคลอด, แต่ทั่วไปประมาณ 2-4สัปดาห์หลังคลอด(แต่เมื่อเกิดกับบิดา อาจเกิดช่วง 3-6 เดือนหลังคลอด) แต่ในบางคนอาจนานถึง 1ปีหลังคลอดก็มีรายงานซึ่งขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของคนๆนั้น

อาการฯต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ แต่ละวันความรุนแรงของแต่ละอาการฯไม่เท่ากัน และความรุนแรงอาจค่อยๆเกิด ไม่รุนแรงทันที,  ซึ่งอาการฯต่างๆ เช่น

  • มีอาการของมาม่าบลูหรือเบบี้บลูในผู้ชายต่อเนื่องนานมากกว่า 2 สัปดาห์
  • รู้สึกเศร้าต่อเนื่อง ไม่สดชื่น ขาดความสนใจสิ่งรอบตัว อ้างว้าง ตัวคนเดียว ไม่มีใครช่วยเหลือ ไม่มีใครสนใจ
  • เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ตลอดเวลา
  • กลางวันง่วงนอนมาก กลางคืนนอนไม่หลับ
  • ไม่สนใจ ไม่รักลูกเท่าที่ควร
  • ขาดความสนใจ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครๆ รวมถึงสามีหรือภรรยา
  • อารมณ์แปรปรวน สะเทือนใจต่อคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นเกินปกติ
  • ไม่มีสมาธิ ตัดสินใจไม่ได้ ไม่เหมือนเดิม
  • โกรธง่าย
  • คิดหมกมุ่นถึงการจะเลี้ยงลูก หรืออยากทำร้ายลูก หรืออยากให้ลูกตาย
  • รู้สึกผิด กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดีเท่าที่ควร กลัวเป็นแม่/เป็นพ่อที่ดีไม่ได้
  • กลัวตกงาน
  • ต้องการเวลาส่วนตัว หาเวลาส่วนตัวไม่ได้  อยากพัก 
  • ในบิดาที่พบต่างจากในมารดาได้ เช่น
    • บ้าทำงานหามรุ่งห้ามค่ำ ร่วมถึงในกิจกรรมที่ชอบ จนไม่มีเวลาช่วยดูแลทารกและดูแลภรรยา
    • ก้าวร้าวมากขึ้น
    • ทำตัวเหินห่างจาก ภรรยา ทารก และครอบครัว
    • ชวนทะเลาะ, ชอบเยาะเย้ย ถากถาง

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

เมื่อตั้งครรภ์และอยู่ในกลุ่มมีปัจจัยเสี่ยง และโดยเฉพาะเมื่อมีอาการดังกล่าวใน 'หัวข้ออาการฯ'  ควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์และปรึกษาจิตแพทย์เสมอ เพราะโรคนี้จำเป็นต้องรักษา เพราะส่งผลกระทบต่อทั้ง มารดา ทารก สามี และครอบครัว และในบางคนถึงแม้จะเป็นส่วนน้อยที่อาการอาจรุนแรงจนถึงทำร้ายทารกจนเกิดอันตรายต่อทารก มีรายงานถึงขั้นทารกเสียชีวิตได้

แพทย์วินิจฉัยซึมเศร้าหลังคลอดได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัย ซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด ได้จาก

  • ซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เช่น อาการ ประวัติตั้งครรภ์ ประวัติคลอด ประวัติคนมีอาการนี้ในครอบครัว ความเป็นอยู่/ความสัมพันธ์ในครอบครัว  เศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์กับทารก และระหว่างสามี-ภรรยา
  • การตรวจร่างกายทั่วไป
  • การตรวจต่างๆทางจิตเวชซึ่งขึ้นกับดุลพินิจของจิตแพทย์
  • อาจมีการตรวจภาพสมองด้วยซีทีสแกน (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์) และ/หรือเอมอาร์ไอ ซึ่งขึ้นกับดุลพินิจของจิตแพทย์เช่นกัน

แพทย์รักษาโรคซึมเศร้าหลังคลอดอย่างไร?

แนวทางการรักษาซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด ได้แก่ การรักษาทางจิตเวช,  ร่วมกับการ ดูแลตนเอง

ก. การรักษาทางจิตเวช:

  • ใช้วิธีรักษาเฉพาะทางจิตเวชเพื่อ ปรับทัศนคติในการใช้ชีวิต การรู้จักคิด การปรับตัว  การให้อภัย  การยอมรับ การเผชิญความเศร้า การลดความเครียด  วิตกกังวล  การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น  การอยู่ร่วมกับผู้อื่น  การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  เช่น วิธีดูแลรักษาที่เรียกว่า
    • Cognitive behavioral therapy (CBT)
    • Interpersonal psychotherapy (IPT)
    • Psychodynamic therapy และ
    • อาจร่วมกับหัตถการทางการแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าคลื่นสมองเพื่อให้เกิดสมดุลของสารเคมีในสมอง ที่เรียกว่า Electroconvulsive therapy (ECT) 
  • ใช้ยาต่างๆ: เช่น  ยาต้านเศร้า เช่น  ยาในกลุ่มปรับสมดุลของสารสื่อประสาทชนิด เซโรโทนิน ที่ชื่อ Selective serotonin reuptake inhibitors  ย่อว่า เอสเอสอาร์ไอ/SSRIs

ข. การดูแลตนเอง:ทั่วไป เช่น

  • เข้าใจถึงสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเกิดอาการฯต่างๆ
  • พักผ่อนให้เต็มที่ นอนหลับให้ได้มากที่สุด ฝึกนอนไปพร้อมๆกับทารก
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ในทุกมื้ออาหาร
  • หาเวลาออกกกำลังกาย โดยเฉพาะที่ทำได้ในบ้าน
  • ดูแลสุขภาพกายและใจด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • หาคนช่วยทำงานบ้านหรืองานที่ไม่จำเป็น ไม่จำต้องทำคนเดียวหรือทำอย่างที่เคยทำทุกอย่าง เช่น ทำความสะอาดบ้าน ช่วยทำครัว ช่วยดูแลทารกในบ้างช่วงเวลา ช่วยซื้อของใช้
  • ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ความไม่คุ้นเคย ความยากลำบาก ที่เกิดขึ้น พูดคุย  ระหว่างสามี-ภรรยา-คนในครอบครัว เพื่อนที่ไว้ใจได้ หัวหน้างาน  ถึงสิ่งที่เราอยากให้ช่วย สิ่งที่เรากลัว กังวล
  • พูดคุยกับคุณแม่ที่คลอดลูกใกล้ๆกันที่ไว้ใจได้ เช่น เพื่อนที่พบเมื่อไปหาหมอด้วยกัน
  • พูดคุย ปรึกษา กับพยาบาลที่ดูแลลูกทั้งในช่วงฝากครรภ์ ช่วงคลอดบุตร หรือช่วงหลังคลอด
  • หาเวลาส่วนตัว ปรึกษาสามี/ภรรยาและครอบครัวให้เข้าใจ ไม่ต้องเป็นมารดา/บิดา/ภรรยา/สามีที่สมบูรณ์แบบ เช่น เดินห้าง เสริมสวย  กินข้าวนอกบ้านกับเพื่อน  ออกกำลังกายกลางแจ้ง อาจไปกับลูก สามี/ภรรยา เพื่อน และ/หรือคนในครอบครัว
  • เมื่อโรงพยาบาลจัดกลุ่มเพื่อดูแลกันในสตรีหลังคลอด ควรเข้าร่วมด้วย
  • เข้าใจ และยอมรับว่า ชีวิตต้องมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่นี้ไป ปรึกษากับสามี/ภรรยาในการจะดำเนินชีวิตกันอย่างไรเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งในฐานะสามีภรรยา, คู่ชีวิต, พ่อ-แม่-ลูก, ค่าใช้จ่าย, การวางแผนในอนาคตโดยเฉพาะในระยะใกล้ๆ
  • อย่าเก็บความกลัว ความกังวล ความเศร้าไว้กับตัว ต้องมีคนที่ไว้ใจได้ พูดคุย/ปรึกษาได้
  • ไม่ตั้งความหวังสูงในทุกเรื่อง
  • คิดในด้านบวก พยายามเข้าใจ สามี/ภรรยา, ครอบครัว, ปรึกษา, ปรับตัว, ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ
  • ไม่แก้ไข/ระบายอารมณ์ด้วย การสูบบุหรี่  ดื่มแอลกอฮอล์ ใช้สาร/ยาเสพติด ไปในที่อโคจร  การเข้าหาอบายมุข
  • พบจิตแพทย์เสมอ เมื่อเริ่มรู้สึก 'ตัวคนเดียว ไม่มีใครเข้าใจ'

ซึมเศร้าหลังคลอดก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

ผลข้างเคียงของซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด เช่น

ก. ผลข้างเคียงต่อตนเองและสามี: มีปัญหาในการดูแลตนเอง และต่อความสัมพันธ์กับคู่ชีวิต จนอาจนำไปสู่ปัญหาการหย่าร้าง
ข. ผลข้างเคียงต่อครอบครัว คนรอบข้าง และที่ทำงาน: ผลกระทบต่อการงาน จนอาจกระทบต่อเศรษฐกิจ
ค. ผลข้างเคียงต่อลูก/ทารก:

  • ทารกไม่ได้รับการดูแลทั้งร่างกาย (เช่น การให้นม) สุขอนามัย และด้านจิตใจ/ความอบอุ่นจากการสัมผัสจากมารดา/บิดาที่จะส่งผลถึงเด็กเมื่อโตขึ้น ที่มักจะเข้ากับผู้อื่นได้ยากและมักก้าวร้าว, สติปัญญาและการปรับตัวด้อยกว่าเกณฑ์, มีปัญหาในการเรียน, ไม่มีสมาธิ, มีปัญหาในการเข้าใจ, มีปัญหากับเพื่อน, กับครู, มีแนวโน้มเป็นเด็กเกเร, มีแนวโน้มมีอาการทางจิตเวช, เข้าหาอบายมุขได้ง่าย, วิตกกังวล, เครียด, และอาจถึงขั้นซึมเศร้า

ง. เมื่อไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องจากแพทย์/จิตแพทย์ โรคอาจพัฒนารุนแรงขึ้นมากถึงขั้นเป็นโรคจิตหลังคลอด(Postpartum psychosis)ซึ่งสถิติพบได้ประมาณ 1-2รายต่อมารดา-บิดา 1,000 คน

ซึมเศร้าหลังคลอดรุนแรงไหม? มีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

ซึมเศร้าหลังคลอดจัดเป็นโรครุนแรงที่ต้องรักษาด้วยจิตแพทย์ อย่างไรก็ตามการพยากรณ์โรคที่ได้รับการรักษาจากจิตแพทย์มักรักษาควบคุมโรคได้ดี แต่ต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากผู้ป่วยเอง คู่ชีวิต และครอบครัว,  ผู้ป่วยจะกลับมาใช้ชีวิต และตั้งครรภ์ใหม่ได้ตามปกติ  รวมถึง ทารกจะเจริญเติบโตได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม เมื่อวางแผนตั้งครรภ์ใหม่ ควรรีบอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์ ต้องแจ้งแพทย์ พยาบาลว่า ตนเคยมีอาการโรคซึมเศร้าหลังคลอดมาก่อน เพราะการตั้งครรภ์ครั้งใหม่เป็นปัจจัยสำคัญของการกลับมาเกิดซ้ำของโรคซึมเศร้าหลังคลอด

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อเกิดซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด เช่นเดียวกับได้กล่าวแล้วใน  'หัวข้อ การรักษาฯ ข้อย่อย ข.'

ป้องกันเกิดซึมเศร้าหลังคลอดอย่างไร?

การป้องกันเกิดซึมเศร้าหลังคลอด/โรคซึมเศร้าหลังคลอด: เช่น  

  • ควรต้องปรึกษาแพทย์/จิตแพทย์ตั้งแต่วางแผนมีบุตรโดยเฉพาะในมารดา/บิดาที่เคยมีอาการนี้, อาการมาม่าบลู หรือ อาการเบบี้บลูในผู้ชาย หรือ มีคนในครอบครัวมีอาการนี้/อาการทางจิตเวช
  • ควรรู้จักดูแลตนเอง โดยเฉพาะความเข้าใจกันกับคู่ชีวิต ช่วยเหลือกันในระหว่างคู่ชีวิต และควรมีความพร้อมที่จะมีบุตรรวมถึงในด้านเศรษฐกิจ
  • เข้าใจ ปรับตัว แสวงหาความช่วยเหลือเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนตั้งครรภ์ และในช่วงตั้งครรภ์
  • เมื่อรู้สึกมีอาการทางอารมณ์มากผิดปกติในช่วงเตรียมตั้งครรภ์ หรือในช่วงตั้งครรภ์, ควรรีบพบแพทย์/จิตแพทย์ หรือ พบก่อนนัด
  • บางครั้งแพทย์อาจจำเป็นต้องใช้ยาปรับสมดุลสารเคมี/สารสื่อประสาทในสมอง เช่น ยาต้านเศร้า ซึ่งต้องกินยาให้ถูกต้องครบถ้วนตามแพทย์แนะนำ, ไม่หยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Postpartum_depression  [2022,Dec3]
  2. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5799244/   [2022,Dec3]
  3. https://www.nhs.uk/mental-health/conditions/post-natal-depression/overview/  [2022,Dec3]
  4. https://www.nimh.nih.gov/health/publications/perinatal-depression  [2022,Dec3]
  5. https://www.womenshealth.gov/mental-health/mental-health-conditions/postpartum-depression   [2022,Dec3]
  6. https://www.psychiatry.org/patients-families/postpartum-depression/what-is-postpartum-depression   [2022,Dec3]
  7. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5941764/  [2022,Dec3]
  8. https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0231940   [2022,Dec3]
  9. https://health.clevelandclinic.org/yes-postpartum-depression-in-men-is-very-real/   [2022,Dec3]