คีโตโรแลค (Ketorolac)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 4 เมษายน 2560
- Tweet
- บทนำ
- คีโตโรแลคมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
- คีโตโรแลคมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- คีโตโรแลคมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- คีโตโรแลคมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- คีโตโรแลคมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้คีโตโรแลคอย่างไร?
- คีโตโรแลคมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาคีโตโรแลคอย่างไร?
- คีโตโรแลคมีชื่ออื่นอีกไหม?ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ยาฆ่าเชื้อ (Antimicrobial drug) ยาแก้อักเสบ (Anti inflammatory drug)
- เลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding or GI bleeding)
- ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ (Intracranial hemorrhage)
- สะตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
- โรคหัวใจ: โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
- ไตวาย ไตล้มเหลว (Renal failure)
บทนำ
ยาคีโตโรแลค(Ketorolac หรือ Ketorolac tromethamine) เป็นยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ที่ใช้ต้านการอักเสบของร่างกาย และมีฤทธิ์ระงับอาการปวดตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงอาการปวดระดับรุนแรง ยานี้ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) มีรูปแบบเภสัชภัณฑ์เป็นยารับประทาน ยาฉีด และยาหยอดตา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเภสัชภัณฑ์ใด ยานี้ก็สามารถดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ 100 % ตัวยาในกระแสเลือดจะคอยทำหน้าที่ยับยั้งการสังเคราะห์สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดและอาการอักเสบนั่นเอง จากนั้นตัวยาจะถูกลำเลียงไปทำลายที่ตับ ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 3.5–9.2 ชั่วโมงเพื่อกำจัดยานี้ออกจากกระแสเลือดโดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะและมีบางส่วนขับทิ้งไปกับอุจจาระ
เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้บริโภค/ผู้ป่วยเอง ควรทราบข้อมูลทางคลินิกก่อนใช้ยาคีโตโรแลคดังนี้ เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้ แพ้ยาแอสไพริน หรือแพ้ยาชนิดอื่นๆของกลุ่ม NSAIDs
- ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์/ตั้งครรภ์ และสตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารและในลำไส้ ด้วยยาคีโตโรแลคจะทำให้อาการป่วยรุนแรงได้มากขึ้น
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคไตขั้นรุนแรง หรือผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดไตวาย
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีภาวะเลือดออกในสมอง/เลือดออกในกะโหลกศีรษะ หรือเลือดออกในทางเดินอาหาร
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยเพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดก่อนการผ่าตัด
- ห้ามใช้ยาคีโตโรแลคร่วมกับยา Pentoxifylline, Probenecid, Aspirin, หรือยากลุ่มNSAIDs ตัวอื่นๆ
นอกจากนี้ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง ก็ไม่เหมาะสมที่จะได้รับยาคีโตโรแลค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย ผู้ป่วยโรคหัวใจวาย ผู้ที่อยู่ในภาวะร่างกายเสียน้ำ/ภาวะขาดน้ำมาก
โดยทั่วไป แพทย์จะไม่ใช้ยาคีโตโรแลคเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวด หรือการอักเสบเพียงเล็กน้อย ด้วยมียาNSAIDs ตัวอื่นเป็นทางเลือกได้หลายรายการ กรณีของยาฉีด จะพบเห็นการใช้แต่ในสถานพยาบาลเท่านั้น
ในประเทศไทยระบุให้ยาฉีดคีโตโรแลคเป็นยาควบคุมพิเศษ ส่วนยาหยอดตาถูกระบุให้อยู่ในหมวดยาอันตรายสำหรับใช้ภายนอก ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้กลับบ้านควรต้องใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดและไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 5 วัน ด้วยอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับความเสี่ยงจากอาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ต่างๆตามมา
หากหลังการใช้ยาคีโตโรแลคแล้วรู้สึก วิงเวียนศีรษะ ควรพักและหลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะหรือการทำงานที่ต้องควบคุมเครื่องจักรต่างๆเพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย สำหรับอาการข้างเคียงอื่นๆที่อาจพบเห็นได้บ่อยจากยานี้ เช่น ทำให้มีอาการท้องผูกหรือไม่ก็ท้องเสีย รู้สึกง่วงนอน ท้องอืด รู้สึกไม่สบายในท้อง เป็นต้น
*กรณีมีข้อผิดพลาดทำให้ผู้ป่วยได้รับยาคีโตโรแลคเกินขนาด จะทำให้เกิดอาการต่างๆดังนี้เช่น ปัสสาวะน้อยลง สูญเสียการควบคุมสมาธิ อาจพบอาการชัก วิงเวียน หรือง่วงนอนอย่างรุนแรง คลื่นไส้อย่างมาก ปวดท้อง หายใจช้าลงหรือไม่ก็หายใจขัด/หายใจลำบาก มีอาการตัวสั่น หากเกิดการอาเจียน อาจพบเห็นอาเจียนมีสีคล้ำคล้ายสีกาแฟ/อาเจียนเป็นเลือด กรณีพบเห็นอาการดังกล่าว ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
ยาคีโตโรแลคเป็นยาที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้กับผู้ใหญ่ และมีข้อมูลทางคลินิกของการใช้ยานี้กับผู้ป่วยเด็กไม่มากนัก และสำหรับการใช้ยานี้กับผู้สูงอายุ แพทย์จะปรับขนาดลดการใช้ยาลงมา ทั้งนี้ผู้ป่วยกลุ่มสูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงได้ง่าย
หากผู้บริโภคต้องการทราบข้อมูลการใช้ยาคีโตโรแลคเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้จากแพทย์ที่ทำการรักษา หรือจากเภสัชกรตามร้านขายยาได้โดยทั่วไป
คีโตโรแลคมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?
ยาคีโตโรแลคมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น
- เป็นยาบำบัดอาการปวดจากการอักเสบของร่างกายในระดับกลางจนถึงการปวดขั้นรุนแรง เช่น ปวดจากแผลผ่าตัด โดยมีระยะเวลาของการใช้ยาไม่เกิน 5 วัน
คีโตโรแลคมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤธิ์ของยาคีโตโรแลคคือ ตัวยาจะเข้ายับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 2 ตัว คือ Cyclooxygenase-1 และ 2 (COX-1 และ 2)ในเนื้อเยื่อต่างๆ เป็นผลให้การสร้างสาร Prostaglandin ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่กระตุ้นกระบวนการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายมีปริมาณลดลง จึงทำให้อาการปวดจากการอักเสบทุเลาลงได้ตามสรรพคุณ
คีโตโรแลคมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาคีโตโรแลคมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น
- ยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของยา Ketorolac ขนาดเข้มข้น 0.5%, 0.45% และ 0.4%
- ยาฉีดที่มีส่วนประกอบของยา Ketorolac tromethamine ขนาด 30 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
- ยาเม็ดชนิดรับประทานที่มีส่วนประกอบของยา Ketorolac tromethamine ขนาด 10 มิลลิกรัม/เม็ด
คีโตโรแลคมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
ยาคีโตโรแลคมีขนาดการบริหารยา/ใช้ยา เช่น
ก.สำหรับบำบัดอาการปวดบาดแผลหลังผ่าตัด:
- กรณียารับประทาน: ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมขึ้นไป: รับประทานยา 20 มิลลิกรัม ในครั้งแรก แล้วรับประทานยา 10 มิลลิกรัม ทุกๆ 4–6 ชั่วโมง; ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัมลงมา: รับประทานยา 10 มิลลิกรัม ในครั้งแรก แล้วรับประทานยาขนาด 10 มิลลิกรัม ทุกๆ 4–6 ชั่วโมง อนึ่ง ขนาดรับประทานยานี้สูงสุดไม่เกิน 40 มิลลิกรัม/วัน, ทั้งนี้ควรรับประทานยานี้พร้อมอาหาร
- กรณียาฉีด: ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมขึ้นไป: ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อขนาด 60 มิลลิกรัม หรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำขนาด 30 มิลลิกรัม, ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัมลงมา: ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อขนาด 30 มิลลิกรัม หรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำขนาด 15 มิลลิกรัม
อนึ่งในเด็ก: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกที่แน่ชัดถึง ขนาดยานี้ ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในเด็ก การใช้ยานี้ในเด็ก จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
ข.สำหรับลดอาการปวดตาหลังการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ:
- ผู้ใหญ่: หยอดยาขนาดความเข้มข้น 0.4% ครั้งละ 1 หยดในตาข้างที่ได้รับการผ่าตัด วันละ 4 ครั้ง ไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องเกิน 4 วัน
- เด็ก: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกที่แน่ชัดถึง ขนาดยานี้ ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในเด็ก การใช้ยานี้ในเด็ก จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
ค. สำหรับลดอาการอักเสบของตาจากภาวะภูมิแพ้:
- ผู้ใหญ่: หยอดยาขนาดความเข้มข้น 0.5% ครั้งละ 1 หยด วันละ 4 ครั้ง โดยทั่วไป แพทย์จะใช้ยานี้เพียงชั่วคราวเพื่อบำบัดอาการคัน อาการระคายเคือง ในตา
- เด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป: สำหรับยาหยอดตากับเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป สามารถใช้ขนาดความเข้มข้น 0.5% หยอดตาครั้งละ 1 หยด วันละ 4 ครั้ง โดยแพทย์จะพิจารณาใช้ยาบำบัดอาการคัน-ระคายเคืองตาจากภาวะภูมิแพ้เป็นการชั่วคราว
- เด็กอายุต่ำกว่า 2ปี : ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกที่แน่ชัดถึง ขนาดยานี้ ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในเด็กกลุ่มนี้ การใช้ยานี้ในเด็กกลุ่มนี้ จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
อนึ่ง: ห้ามใช้ยานี้ชนิด ยาฉีด ยาหยอดตา และชนิดยารับประทาน ต่อเนื่องนานเกิน 5 วัน
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาคีโตโรแลค ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคไต โรคแผลในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตต่ำ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาคีโตโรแลคอาจส่งผลทำให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาคีโตโรแลค สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
คีโตโรแลคมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาคีโตโรแลคสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น
- ผลต่อระบบเลือด: เช่น มีภาวะโลหิตจาง เกิดภาวะเลือดออกง่าย มีเลือดออกบริเวณแผลที่ผ่าตัด มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย อาเจียน หลอดอาหารอักเสบ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร กระหายน้ำ ตับอ่อนอักเสบ
- ผลต่อระบบประสาท: เช่น วิงเวียน ง่วงนอน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ความฉลาดถดถอย อาการชัก
- ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: เช่น บวมทั่วตัว หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ ชีพจรเต้นผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก หัวใจวาย หลอดเลือดดำอักเสบ
- ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ: เช่น มีเลือดออกในทางเดินปัสสาวะ/ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัด
- ผลต่อผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นคัน ผมร่วง ลมพิษ เหงื่อออกมาก ผื่นผิวหนังอักเสบ เกิดภาวะStevens-Johnson syndrome
- ผลต่อไต: ไตทำงานผิดปกติ ไตวาย
- ผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำตาลในเลือดสูง เกลือโปแตสเซียม/โพแทสเซียมในเลือดสูง เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ
- ผลต่อกล้ามเนื้อ: เช่น ปวดกล้ามเนื้อ
- ผลต่อตา: เช่น ประสาทตาอักเสบ ตาพร่า
- ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น วิตกกังวล ง่วงซึม ประสาทหลอน
- ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น แน่นจมูก หอบหืด/หลอดลมหดเกร็ง ปอดบวม
มีข้อควรระวังการใช้คีโตโรแลคอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาคีโตโรแลค เช่น
- ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้ หรือแพ้ยากลุ่ม NSAIDs
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีภาวะตกเลือด เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร /เลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกในสมอง/เลือดออกในกะโหลกศีรษะ
- ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เด็ก และผู้สูงอายุ โดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์
- ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
- ห้ามใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน 5 วัน
- ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เม็ดยาแตกหัก สี กลิ่น ยาเปลี่ยนไป น้ำยาตกตะกอน
- ห้ามรับประทานยานี้พร้อมกับสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบด้วยจะส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยานี้
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคไต ผู้มีภาวะเลือดออกง่าย ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีโรคหัวใจ
- รับประทานยาตามขนาดและเวลาที่แพทย์กำหนด
- ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร อย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลนัดทุกครั้ง
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาคีโตโรแลคด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
คีโตโรแลคมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาคีโตโรแลคมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาคีโตโรแลคร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด อย่างเช่น Warfarin หรือยาแก้ปวด อย่างเช่น Aspirin ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์(Corticosteroid) ด้วยการใช้ยาร่วมกันจะเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่ายตามมา
- ห้ามใช้ยาคีโตโรแลคร่วมกับยา Probenecid เพราะจะทำให้ผู้ป่วยได้รับอาการข้างเคียงจากยาคีโตโรแลคมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาคีโตโรแลคร่วมกับยากลุ่ม ACE inhibitor ยาขับปัสสาวะ อย่างเช่นยา Furosemide และ HCTZ ด้วยยาขับปัสสาวะเหล่านี้จะถูกลดประสิทธิภาพการรักษาลงมาเมื่อใช้ร่วมกับคีโตโรแลค
- ห้ามรับประทานยาคีโตโรแลคร่วมกับเครื่องดื่มประเภทสุราหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหารสูงขึ้น
ควรเก็บรักษาคีโตโรแลคอย่างไร?
สามารถเก็บยาคีโตโรแลคทุกรูปแบบเภสัชภัณฑ์ ภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส(Celsius) ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อนและความชื้น และไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือรถยนต์
คีโตโรแลคมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาคีโตโรแลค ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Acular (แอคิวลาร์) | Allergan |
Ketolac (คีโตแลค) | American Taiwan Biopharm |
Xevolac (ซีโวแลค) | Novell Pharma |
อนึ่ง ยาชื่อการค้าอื่นของยานี้ในต่างประเทศ เช่น Cadolac, Kelac, Ketanov, Algic eye, Centagesic, Doloket, Kenalfin, Ketin, Ketlac, Ketlur, Ketodrops, Ketolas eye drop
บรรณานุกรม
- https://www.drugs.com/cdi/ketorolac.html[2017,March18]
- https://www.drugs.com/dosage/ketorolac-ophthalmic.html[2017,March18]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Ketorolac[2017,March18]
- http://www.mims.com/thailand/drug/info/ketolac/?type=brief[2017,March18]
- http://www.mims.com/thailand/viewer/html/poisoncls.html[2017,March18]
- https://www.drugs.com/toradol.html[2017,March18]