กาเฟอีน คาเฟอีน (Caffeine) – Update

สารบัญ

เกริ่นนำ

การทำงานของคาเฟอีน

  • ลักษณะและการใช้คาเฟอีน

ทางการแพทย์

การใช้เกินขนาด

คาเฟอีนกับความเจ็บป่วย

ข้อควรระวังในการบริโภค

  • อ่อนเพลีย
  • เครื่องดื่มชูกำลัง
  • ภาวะพิษคาเฟอีน
  • ปริมาณที่อันตรายถึงชีวิต

การทำงานร่วมกัน

  • แอลกอฮอล์
  • การสูบบุหรี่
  • ยาคุมกำเนิด

การบำบัดทางยา

เกริ่นนำ

คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system: CNS) ในกลุ่มเมทิลแซนทีน และเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่มีผู้บริโภคมากที่สุดทั่วโลก  เพื่อใช้กระตุ้นการตื่นตัว เพิ่มสมรรถภาพทางร่างกาย และกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

การทำงานของคาเฟอีน

คาเฟอีนออกฤทธิ์โดยบล็อกการจับของอะดีโนซีนที่ตัวรับ ด้วยโครงสร้างสามมิติที่คล้ายคลึงกับอะดีโนซีน จึงสามารถยับยั้งฤทธิ์ในการกดประสาทส่วนกลาง และกระตุ้นการหลั่งอะเซทิลโคลีน  เพิ่มระดับ ไซคลิก AMP ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ฟอสโฟไดเอสเทอเรส กระตุ้นให้มีการปล่อยแคลเซียมจากเซลล์ และต้านฤทธิ์ของตัวรับกาบา (GABA receptors)  อย่างไรก็ตามกลไกเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการบริโภคคาเฟอีนในระดับที่เข้มข้นมากพอ ซึ่งเกินกว่าปริมาณที่ได้รับการแนะนำให้บริโภคทั่วไป

  • ลักษณะและการใช้คาเฟอีน

คาเฟอีนเป็นผลึกพิวรีนสีขาวมีรสขม พบได้ในเมล็ด ผลไม้  ถั่ว และใบของพืชหลายชนิด มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา เอเชียตะวันออก และอเมริกาใต้ รสขมของคาเฟอีนป้องกันการกินเป็นอาหารของสัตว์กินพืชและทำให้คาเฟอีนไม่ถูกพืชชนิดอื่นที่อยู่ใกล้เคียงแย่งการเติบโต และทำให้สัตว์บางชนิดเช่นผึ้งน้ำหวานมากินเพื่อช่วยการแพร่พันธุ์ แหล่งคาเฟอีนที่เรารู้จักกันดีที่สุดคือเมล็ดกาแฟ  จากต้นกาแฟ (Coffea)  ในการผลิตคาเฟอีนเพื่อการบริโภค เมล็ดกาแฟจะถูกสกัดด้วยกรรมวิธีอินฟูชั่น (Infusion)  โดยแช่ทิ้งไว้ในน้ำเพื่อสกัดคุณสมบัติที่มีประโยชน์หรือรสชาติออกมา

ปัจจุบันเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และเครื่องดื่มชูกำลัง ได้รับการบริโภคในปริมาณที่สูงมากขึ้นทุกวัน  เพื่อบรรเทาหรือผ่อนคลายความง่วง และกระตุ้นความสามารถในการรับรู้  พบว่าในปี 2020 เมล็ดกาแฟเกือบ10 ล้านตันถูกนำมาใช้เพื่อการบริโภคทั่วโลก 

คาเฟอีนยังจัดเป็นยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง  แต่ต่างจากสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาททั่วไป  เพราะคาเฟอีนถูกกฎหมายและไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังในเกือบทุกประเทศ   การบริโภคคาเฟอีนถูกมาองว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในวัฒนธรรมส่วนใหญ่ หรืออาจมีการส่งเสริมให้บริโภคในบางวัฒนธรรมด้วย

คาเฟอีนมีทั้งผลดีและผลเสียต่อสุขภาพ อาทิ มีการนำคาเฟอีนมาใช้เพื่อรักษาและป้องกันปัญหาระบบทางเดินหายใจของทารกที่คลอดก่อนกำหนด จากหลอดลมผิดปกติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะหยุดหายใจได้  ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังมีผลช่วยป้องกันโรคบางชนิดอย่างโรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease) ได้ด้วย แม้คาเฟอีนอาจก่อให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับหรือวิตกกังวลในผู้บริโภคบางกลุ่ม แต่ในคนส่วนใหญ่จะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย  หลักฐานแสดงถึงความเสี่ยงในการบริโภคคาเฟอีนของหญิงตั้งครรภ์ยังไม่ชัดเจน  บุคลากรทางการแพทย์จึงมักแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์จำกัดจำนวนคาเฟอีนให้อยู่ประมาณสองถ้วยต่อวันหรือน้อยกว่านั้น 

คาเฟอีนสามารถก่อให้เกิดการเสพติดแบบอ่อน ๆ ได้ อาการที่เกิดขึ้นเมื่อผู้บริโภคคาเฟอีนเป็นประจำทุกวัน หยุดบริโภคโดยทันที คือ ง่วงนอน  ปวดหัว และหงุดหงิด  ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป คือความดันเลือดสูง หัวใจเต้นเร็ว และปัสสาวะบ่อย (อาการเหล่านี้จะน้อยลง หรือไม่เกิดขึ้นหากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม)

องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) จัดคาเฟอีนอยู่ในกลุ่มสารที่ไม่เป็นอันตราย   ปริมาณที่ก่อให้เกิดพิษได้คือมากกว่า 10 กรัมต่อวันในผู้ใหญ่  ซึ่งถือว่าสูงมากหากเทียบกับขนาดรับประทานแนะนำทั่วไป (น้อยกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน) หน่วยความปลอดภัยด้านอาหารของยุโรป (European Food Safety Authority )  รายงานว่า ปริมาณคาเฟอีน 400 มิลลิกรัมต่อวัน (ประมาณ 5.7.มก,/วัน ต่อน้ำหนักตัว) ไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ใหญ่ ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ขณะเดียวกันหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรยังสามารถบริโภคคาเฟอีนได้ไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน โดยไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์หรือเด็กที่ดื่มนมมารดา

เราจะพบว่ากาแฟหนึ่งแก้วมีจำนวนคาเฟอีน 80-175 มก ขึ้นอยู่กับเมล็ดกาแฟที่ใช้  การคั่ว  และวิธีการชง (ดริป กรอง หรือเอสเปรสโซ่) ดังนั้นจึงต้องบริโภคกาแฟมากถึงประมาณ 50-100 แก้วจึงจะถึงขั้นเป็นพิษได้  อย่างไรก็ตามหากเป็นคาเฟอีนผงบริสุทธิ์ ซึ่งหาซื้อได้ในรูปอาหารเสริมแล้ว ปริมาณหนึ่งช้อนโต๊ะก็สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ทางการแพทย์

  • มีการนำคาเฟอีนมาใช้ทั้งเพื่อป้องกันและรักษาโรคปอดเรื้อรังในทารกที่คลอดก่อนกำหนด ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวของทารกในระหว่างการรักษา และลดความเสี่ยงในการเกิดสมองพิการ ลดความบกพร่องทางพัฒนาการการรับรู้และเข้าใจภาษา แต่กระนั้นการใช้คาเฟอีนก็อาจเกิดผลข้างเคียงที่ยังไม่แน่ชัดแก่ทารกในระยะยาวได้
  • คาเฟอีนเป็นหนึ่งในทางเลือกเบื้องต้นสำหรับรักษาภาวะหยุดหายใจในทารกคลอดก่อนกำหนด แต่ไม่สามาถใช้ในเชิงป้องกันได้
  • คาเฟอีนสามารถใช้รักษาความดันเลือดต่ำที่เกิดจากการเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน (Orthostatic hypotension)
  • มีการใช้เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เช่น กาแฟหรือชา เพื่อรักษาอาการหอบหืด (หลักฐานสนับสนุนยังไม่ชัดเจน) และยังพบว่าการบริโภคคาเฟอีนบริมาณเล็กน้อยช่วยเพิ่มการทำงานของทางเดินหายใจในผู้ป่วยโรคหอบหืด (ด้วยการเพิ่มปริมาตรของอากาศที่เป่าออกอย่างเร็วแรงในวินาทีที่ 1  (FEV1) จาก 5% เป็น 8% ได้นานถึงสี่ชั่วโมง)
  • การเสริมคาเฟอีน (100-130 มก.) ในยาบรรเทาปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทาปวดของยาได้มากขึ้น
  • การบริโภคคาเฟอีนหลังผ่าตัดช่องท้อง ช่วยลดระยะเวลาในการฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ให้กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น และช่วยให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้เร็วกว่ากำหนด
  • คาเฟอีนได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาขั้นที่สอง (Second-line treatment) สำหรับผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น (Attention-deficit/hyperactivity disorder: ADHD) แม้จะได้ผลน้อยกว่ายากลุ่มเมทิลเฟนิเดต หรือแอมเฟตตามีน  แต่ได้ผลดีกว่ายาหลอก (placebo)ถ้าใช้รักษาผู้ป่วยด้วยโรคสมาธิสั้น ทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ จะเลือกใช้คาเฟอีนเป็นทางเลือกในการรักษามากขึ้น

การใช้เกินขนาด

การบริโภคคาเฟอีนเป็นประมาณ 1-1.5 กรัมต่อวัน สามารถก่อให้เกิดภาวะคาเฟอีนมากเกินได้ในร่างกายได้ (Caffeinism) อาการของผู้ป่วยจะประกอบด้วยการเสพติดขาดไม่ได้ ร่วมกับอาการไม่พึงประสงค์หลากหลาย เช่น วิตกกังวล หงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ปวดหัว และหัวใจเต้นเร็ว หลังจากบริโภคคาเฟอีน

การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาด อาจก่อให้เกิดการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางมากเกินไป รู้จักกันในชื่อ ภาวะพิษคาเฟอีน  เป็นภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นระหว่างหรือหลังจากบริโภคคาเฟอีนช่วงสั้น ๆ กลุ่มอาการนี้มักเกิดขึ้นหลังจากบริโภคคาเฟอีนจำนวนมากเท่านั้น (มากกว่าจำนวนที่พบในเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนและคาเฟอีนเม็ดทั่วไป เช่น มากกว่า 400-500 มก. ต่อครั้ง) ตาม DSM-5 (คู่มือวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต  : Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders  ฉบับที่ 5) การวินิจฉัยภาวะพิษจากคาเฟอีน ผู้ป่วยจะต้องเกิดอย่างน้อยห้าอาการหลังจากการบริโภคคาเฟอีนดังนี้ กระวนกระวาย ประหม่า ตื่นเต้น นอนไม่หลับ หน้าแดง ปัสสาวะถี่ ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก ความคิดและคำพูดวกวน  หัวใจเต้นเร็วหรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ  คึก จิตใจปั่นป่วน

ตามมาตรการจำแนกโรคระหว่างประเทศ (ICD-11) ระบุว่าการบริโภคคาเฟอีนจำนวนมากเกิน (มากกว่า 5 กรัม) อาจก่อให้เกิดอาการภาวะพิษคาเฟอีนด้วยอาการต่าง ๆ รวมถึง   ขาดสติ  ซึมเศร้า ความสามารถในการตัดสินใจลดลง  สับสน ขาดการยับยั้งชั่งใจ เห็นภาพลวงตา หรืออาการทางจิตผิดปกติ และกล้ามเนื้อสลาย

คาเฟอีนกับความเจ็บป่วย

มีความเป็นไปได้ที่คาเฟอีนจะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์และสมองเสื่อม แต่หลักฐานอาจยังไม่มากพอ

การบริโภคคาเฟอีนเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันโรคตับแข็ง  ชะลอความรุนแรงในคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคตับ  ลดความเสี่ยของภาวะพังผืดในตับ และช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับในผู้บริโภคปริมาณที่เหมาะสม  จากการศึกษาในปี 2017 พบว่าคาเฟอีนเป็นผลดีต่อตับในผู้บริโภคกาแฟไม่ว่าจะชงด้วยวิธีใดก็ตาม

คาเฟอีนช่วยลดความรุนแงของโรค AMS (Acute mountain sickness)  ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดินทางขึ้นที่สูง โดยทั่วไปต้องมากกว่า 2500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไปโดยดื่มกาแฟ 2-3 ชั่วโมงก่อนขึ้นที่สูง

ในการวิเคราะห์เชิงอภิมาน (การวิเคราะห์จากหลาย ๆ งานวิจัย) พบว่า การบริโภคคาเฟอีนสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2  ได้ 

การบริโภคคาเฟอีนเป็นประจำอาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสิน และชะลอความรุนแรงของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้แล้วได้ด้วย

คาเฟอีนเพิ่มความดันลูกตาในโรคต้อหิน แต่ไม่มีผลกับผู้ป่วยที่มีสุขภาพตาปกติ

ใน DSM5 ระบุถึงความผิดปกติจากการบริโภคคาเฟอีนที่สามารถเกิดขึ้นได้ ประกอบด้วย โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ และความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคคาเฟอีน สองความผิดปกติแรกได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวล และโรคนอนหลับผิดเวลา  ส่วนความผิดปกติอื่นที่มีผลรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันในทางการแพทย์แต่ไม่ได้อันตรายจนต้องมีการวินิจฉัยว่าเป็นอาการเจ็บป่วย  จะถูกบันทึกอยู่ใน “กลุ่มความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับคาเฟอีนที่ไม่ได้จำแนก”"

ข้อควรระวังในการบริโภคคาเฟอีน

  • อ่อนเพลีย (Energy crash)

เป็นที่รู้กันว่า คาเฟอีนสามารถก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียหลังจากบริโภคไปแล้วสองสามชั่วโมงได้ในบางคน แต่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่มากนัก

  • เครื่องดื่มชูกำลัง

ในเครื่องดื่มชูกำลังจะมีคาเฟอีนผสมอยู่จำนวนมาก (หนึ่งลิตรมีปริมาณคาเฟอีน 320 มก.) ส่งผลต่อหลอดเลือดหัวในใจระยะสั้น รวมถึง โรคความดันโลหิตสูง การนำไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ  หัวใจเต้นผิดปกติ  ผลข้างเคียงต่อหลอดเลือดหัวใจเหล่านี้ยากจะเกิดขึ้นหากผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มชูกำลังในปริมาณที่เหมาะสม (มีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่า 200 มก.)

  • ภาวะพิษคาเฟอีน

จากข้อมูลในปี 2007 ยังไม่มียาแก้พิษหรือ ต้านอาการภาวะพิษคาเฟอีนโดยตรง การรักษาจะเป็นการบรรเทาแบบรักษาตามอาการ ผู้ที่มีภาวะพิษคาเฟอีนรุนแรงจำเป็นต้องใช้วิธีขจัดคาเฟอีนออกจากร่างกาย เช่น การล้างไตทางช่องท้อง การฟอกเลือด หรือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบประสิทธิภาพสูง  ส่วนการฉีดไขมันทางเส้นเลือด (Intralipid infusion therapy)  จะถูกนำมาใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • ปริมาณที่อันตรายถึงชีวิต

จำนวนผู้เสียชีวิตจากการบริโภคคาเฟอีนมีให้พบน้อยมาก และส่วนใหญ่มักเกิดจากการบริโภคเกินขนาดโดยเจตนา   ในปี 2016  ศูนย์ควบคุมพิษแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่ามีผู้ป่วยจากการบริโภคคาเฟอีน 3,702 ราย  ในจำนวนนั้นมีเพียง 846 รายต้องได้รับการรักษาเฉพาะจากสถานพยาบาล  ผู้ป่วย 16 รายมีอาการรุนแรง และหลายรายที่มีอันตรายถึงชีวิต  

ปริมาณคาเฟอีนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตอยู่ที่ประมาณ 150-200 มก.ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม (75-100 แก้ว ต่อน้ำหนักตัว 70 กก. ในผู้ใหญ่)  อย่างไรก็ตามมีบางกรณีที่พบผู้เสียชีวิตจากการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณน้อยกว่า 57 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม

กรณีผู้เสียชีวิตจากการบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดในรูปของอาหารเสริมแบบผงสกัด ปริมาณที่อันตรายถึงชีวิตอาจน้อยกว่าหนึ่งช้อนโต๊ะ 

 สำหรับผู้ที่ร่างกายมีความสามารถในการเผาผลาญคาเฟอีนบกพร่องจากพันธุกรรมหรือโรคตับเรื้อรัง ปริมาณคาเฟอีนที่อันตรายถึงชีวิตอาจน้อยกว่าปริมาณแนะนำได้ เช่น ในปี 2013 มีรายงานของชายที่ป่วยด้วยโรคตับแข็ง เสียชีวิตจากการบริโภคอาหารเสริมคาเฟอีนมินท์

การทำงานร่วมกัน

คาเฟอีนมีปฏิกริยาต่อยีนควบคุมเอนไซม์ CYP1A2  หากเอนไซม์นี้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ร่างกายจะกำจัดคาเฟอีนได้ช้า คาเฟอีนออกฤทธิ์ในร่างกายนานขึ้น ส่งผลให้แม้ดื่มเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอาการตาค้างและนอนไม่หลับได้

  • แอลกอฮอล์

จากผลของการสอบ DSST (DANTES Subject Standardized Tests) พบว่า แอลกอฮอล์ ลดประสิทธิภาพในการทำแบบทดสอบมาตราฐานของผู้เข้าสอบ ขณะที่คาเฟอีนทำให้ผลการทดสอบของแต่ละคนดีขึ้น  แต่เมื่อบริโภคแอลกอฮอล์และคาฟอีนร่วมกัน ฤทธิ์ของคาเฟอีนจะเปลี่ยนไป ขณะที่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ยังคงเหมือนเดิม  เช่น การบริโถคคาเฟอีนร่วมไม่ได้ลดผลกระทบจากการบริโภคแอลกอฮอล์  แต่ความกระวนกระวายใจและความตื่นตัวที่ได้จากการบริโภคคาเฟอีนจะลดลงเมื่อบริโภคร่วมกับแอลกอฮอล์

 การบริโภคแอลกอฮอล์ลดความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมทั้งด้านการยับยั้งและการกระตุ้น  คาเฟอีนต่อต้านฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในด้านการกระตุ้น  แต่ไม่มีผลในแง่ของการยับยั้ง   ตามคู่มือการบริโภคอาหารของอเมริกา (Dietary Guidelines for Americans) แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์พร้อมกัน เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการบริโภคแอลกอฮอล์มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่อันตรายได้

  • การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการขับคาเฟอีนได้มากถึง 56% อันเป็นผลมาจากสาร PAHs  (สารประกอบโพไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน) จากการเผาไหม้ของบุหรี่ ไปกระตุ้นการทำงานของยีน CYP1A2 ซึ่งมีหน้าที่เผาผลาญคาเฟอีนออกจากร่างกาย จึงทำให้ผู้สูบบุหรี่มีความสามารถในการขจัดคาเฟอีนออกจากร่างกายได้เร็วขึ้นทำให้สามารถดื่มกาแฟได้มากขึ้นในบุคคลที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

  • ยาคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิดทำให้คาเฟอีนอยู่ในร่างกายได้นานขึ้นเพราะยาคุมกำเนิดจะทำให้คาเฟอีนมีระยะเวลาสลายตัวเหลือครึ่งหนึ่ง (Half life) นานขึ้นถึง 40% จึงควรให้ความใส่ใจระมัดระวังในการบริโภคคาเฟอีนปริมาณมากในคนกินยาคุมกำเนิด

การบำบัดทางยา

คาเฟอีนอาจมีผลกับยาบางชนิดเช่น ในกลุ่มของยาแก้ปวดหัว  การเพิ่มส่วนผสมคาเฟอีนลงไปสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาแก้ปวดเหล่านั้นได้มากขึ้นถึง 40%

ขณะเดียวกันผลทางเภสัชวิทยาของอะดีโนซีน (ตัวยาสำหรับรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติบางชนิด) อาจลดลงในผู้ที่บริโภคคาเฟอีนเนื่องจากคาเฟอีนมีโครงสร้างของของโมเลกุลคล้ายยาเมทิลแซนทีน (ต่อต้านอะดีโนซีน) เช่น ยาขยายหลอดลม (Theophylline และ Aminophylline) สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด  และโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease: COPD)

อ่านตรวจทานโดย ศ. คลินิก นพ. พนัส เฉลิมแสนยากร

แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Caffeine [2025, January 2] โดย อาภาภรณ์ โชติกเสถียร