คลอแรมบิวซิล (Chlorambucil)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือยาอะไร?

ยาคลอแรมบิวซิล (Chlorambucil) หรือมีชื่อการค้าในประเทศไทยว่า ‘ลูเคอแรน (Leukeran)’ คือ ยาเคมีบำบัดชนิดรับประทาน ยานี้ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's disease, Non-Hodgkin's Lymphoma, มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรัง (Chronic Lymphoid Leukemia) และใช้ในการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองของผิวหนัง (Mycosis fungoides) ซึ่งข้อบ่งใช้ที่กล่าวมานั้นได้รับการรับรองแล้วจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA-labeled Indications) และเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย

อนึ่ง: บางครั้ง ยังมีการนำยาคลอแรมบิวซิลมาใช้รักษามะเร็งบางชนิดที่ข้อบ่งใช้ยังอยู่นอกเหนือการรับรองจากองค์การอาหารและยา(Non-FDA labeled Indications)ของสหรัฐอเมริกา

เช่น

  • กลุ่มอาการซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายมีความหนืดของเลือด(โรคเลือดหนืด)เพิ่มขึ้นที่มีชื่อว่า Waldenstrom's macroglobulinaemia
  • ภาวะบวมและมีโปรตีนรั่วออกทางปัสสาวะ/โรคไตรั่ว(Nephrotic syndrome)
  • มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Hairy cell leukemia
  • เนื้องอก/ มะเร็งรก (Gestational trophoblastic neoplasia)
  • โรคเลือดชนิด Histiocytosis X syndrome
  • มะเร็งรังไข่

เนื่องจากยาคลอแรมบิวซิลมีข้อบ่งใช้หลายประการ ขนาดยา และวิธีการบริหารยา/การใช้ยาจึงแตกต่างกันออกไป ดังนั้นการใช้ยาคลอแรมบิวซิล จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ก็ควรให้ความใส่ใจในการใช้ยาและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง) ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดตัวนี้

ยาคลอแรมบิวซิลมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?

คลอแรมบิวซิล

ยาคลอแรมบิวซิล มีสรรพคุณรักษาโรค/ข้อบ่งใช้:

  • สำหรับการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's disease, Non-Hodgkin's Lymphoma, มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรัง (Chronic Lymphoid Leukemia)
  • นอกจากนี้ยังนำยาคลอแรมบิวซิลมาใช้ในการรักษา Waldenstrom's macroglobulinaemia, Nephrotic syndrome, Mycosis fungoides, Gestational trophoblastic neoplasia, Histiocytosis X syndrome ได้อีกด้วย ดังได้กล่าวแล้วในบทนำ

ยาคลอแรมบิวซิลมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาคลอแรมบิวซิล เป็นอนุพันธุ์ของสารเคมีกลุ่ม Aromatic Nitrogen Mustard ซึ่งอยู่ในกลุ่มยาที่เรียกว่า แอคิเลทติ้ง-เอเจนท์ (Alkylating agents) โดยกระบวนการออกฤทธิ์เพื่อต้านมะเร็งของยาคลอแรมบิวซิลคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์โดยการจับหรือรวมตัวกับดีเอ็นเอ (DNA) ให้เป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่ทำให้ดีเอ็นเอทำหน้าที่ไม่ได้ เนื่องจากเกิดขบวนการเชื่อมกันของดีเอ็นเอ ทำให้ไม่มีการแบ่งตัวของเซลล์ มะเร็งเกิดขึ้นได้ จึงเสมือนว่ายายับยั้งการสร้างโปรตีน การสร้างดีเอ็นเอ และหยุดเซลล์มะเร็งไม่ให้มีการแบ่งตัวเกิดขึ้นจึงไม่เกิดการลุกลามของเซลล์มะเร็งขึ้น

ยาคลอแรมบิวซิลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

รูปแบบที่มีจำหน่ายของยาคลอแรมบิวซิล: เช่น

  • ยาเม็ดเคลือบฟิล์ม (Film coated tablet)สำหรับรับประทาน ขนาด 2 มิลลิกรัม

ยาคลอแรมบิวซิลมีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยาอย่างไร?

ยาคลอแรมบิวซิลเป็นยาเคมีบำบัดชนิดรับประทาน จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ยาจะมีเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ดังนั้นไม่สามารถหาซื้อยาคลอแรมบิวซิลได้จากร้านยาทั่วไป

ขนาดยาสำหรับสำหรับเด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)และผู้ใหญ่ จะต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น โดยพิจารณาจากข้อบ่งใช้ของยาต่อโรค บางข้อบ่งใช้พิจารณาใช้เฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่พิจารณาใช้ในเด็กเพราะไม่พบความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งนี้การปรับขนาดยาจะมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเช่น น้ำหนักตัว อายุ ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC/ ซีบีซี) ค่าการทำงานของไต ค่าการทำงานของตับ และสภาพร่างกายผู้ป่วย

โดยพบว่า ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง เมื่อใช้ยานี้ควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เนื่องจากผู้ป่วยมีแนวโน้มเกิดภาวการณ์กดไขกระดูกเพิ่มขึ้น และในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับบกพร่องรุนแรง แพทย์จะพิจารณาลดขนาดยาคลอแรมบิวซิลลงเพราะตัวยานี้ก่อพิษต่อตับได้

ในการกำหนดขนาดยาคลอแรมบิวซิลนั้น แพทย์จะคำนวณขนาดยาที่ควรได้รับตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย โดยน้ำหนักที่นำมาใช้ในการคำนวณนั้นสามารถเลือกใช้น้ำหนักอุดมคติ (Ideal Body Weight, คำนวณจากสูตรที่ต้องทราบจากน้ำหนักตัวและส่วนสูง) หรือน้ำหนักจริงของผู้ป่วย โดยจะเลือกใช้น้ำหนักระหว่างน้ำหนักอุดมคติกับน้ำหนักจริง, น้ำหนักชนิดใดที่มีค่าน้อยกว่าจะนำมาใช้ในการกำหนดขนาดยา

หากท่านกำลังใช้ยานี้อยู่ ควรรับประทานยาให้ตรงตามที่แพทย์สั่ง ไม่เพิ่มลดหรือปรับขนาดยาด้วยตนเองโดยเด็ดขาด หากท่านมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง) ที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตเกิดขึ้นในช่วงระหว่างกำลังได้รับยาคลอแรมบิวซิลอยู่ ท่านควรต้องไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนกำหนดนัด เพื่อให้แพทย์พืจารณาปรับแก้ไขอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว รวมถึงให้การรักษาเพื่อลดความรุนแรงของอาการที่อาจเกิดขึ้นจากผลข้างเคียงของยาได้

ระหว่างใช้ยานี้ ท่านควรตระหนักเสมอว่า ยาคลอแรมบิวซิลเป็นยาเคมีบำบัด ควรระมัดระวังในการใช้ยาและใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาคลอแรมบิวซิล ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น

  • ประวัติแพ้ยา/แพ้อาหาร/แพ้สารเคมีทุกชนิด
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ เช่น ประวัติโรคลมชัก รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาคลอแรมบิวซิล อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เนื่องจากยาคลอแรมบิวซิลมีผลพิษต่อทารกในครรภ์อาจก่อให้ทารกเกิดความพิการขึ้นได้ (Teratogenic) อีกทั้งหากอยู่ในช่วงให้นมบุตร แนะนำให้หลีกเลี่ยงการให้นมบุตรโดยเด็ดขาด เพราะยานี้ถูกขับออกทางน้ำนม อาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ฯ (ผลข้างเคียง) รุนแรงแก่บุตร

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาคลอแรมบิวซิลให้ตรงเวลาทุกวัน โดยแนะนำให้รับประทานขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะอาหารรบกวนการดูดซึมของยานี้เข้าสู่ร่างกายได้ โดยปกติแล้วยาคลอแรมบิวซิลจะรับประทานวันละ 1 ครั้ง ซึ่งการรับประทานยาเพียงวันละ 1 ครั้ง เพื่อให้ระดับยาในร่างกายคงที่และมีประสิทธิภาพ จึงควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกวัน

กรณีลืมรับประทานยานี้ ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้กับเวลาที่ต้องรับประทาน ยามื้อถัดไป (วันถัดไป) ให้รอรับประทานยามื้อถัดไปเลย โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า เช่น ปกติรับประทานยาเวลา 6.00 น. หากผู้ป่วยนึกขึ้นได้ว่าลืมรับประทานยามื้อ 6.00 น. ตอนเวลา 15.00 น. ก็ให้รับประทานยามื้อ 6.00 น. ทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากนึกขึ้นได้ในช่วงที่ใกล้กับช่วงเวลาของยามื้อถัดไป (หมายถึงเกินกว่า 12 ชั่วโมงจากเวลารับประทานยาปกติ) เช่น นึกขึ้นได้ว่าลืมรับประทานยามื้อ 6.00 น. ตอนเวลา 22.00 น.ของวันนั้น ให้รอรับประทานยามื้อถัดไปในขนาดยาปกติช่วงเวลาเดิมได้เลย โดยไม่ต้องนำยามื้อที่ลืมรับประทานมารับประทานเพิ่ม

การรับประทานยานี้เกินขนาดโดยอุบัติเหตุ มีรายงานพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาคลอแรมบิวซิลในปริมาณมากกว่าขนาดที่ใช้ในการรักษาปกติ ทำให้เกิดพิษโดยเกิดการกดไขกระดูก ก่อให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ, โลหิตจาง/ โรคซีด และเกล็ดเลือดต่ำ เกิดความเป็นพิษต่อระบบประสาทโดยมีอาการตั้งแต่มีอาการกระวนกระวาย (Agitated behavior) และภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน/เซ /อาการเซ (Ataxia) หรืออาจเกิดอาการชักได้

สำหรับยาต้านพิษยาคลอแรมบิวซิล: ยังไม่มียาต้านพิษที่จำเพาะเจาะจงสำหรับยาคลอแรมบิวซิลแต่อย่างไรก็ตาม แพทย์จะให้การรักษาตามอาการทางคลินิกของผู้ป่วย หลังได้รับยาเกินขนาด แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการให้เลือดถ้าจำเป็น

ยาคลอแรมบิวซิลมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง) ของยาคลอแรมบิวซิลที่พบได้บ่อย เช่น

  • ภาวะกดไขกระดูก (Bone Marrow Suppression: ส่งผลทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ, โลหิตจาง/ โรคซีด และเกล็ดเลือดต่ำ จึงเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อโรค, โรคซีด/โลหิตจางทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และเลือดออกผิดปกติได้ง่าย) โดยควรติดตามจำนวน เม็ดเลือดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยาสามารถกดการทำงานของไขกระดูกอย่างถาวรได้ โดยยามักออกฤทธิ์กดการทำงานเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์ (Lymphocytes) ได้มาก และมีผลน้อยกว่าต่อเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลล์ (Neutrophil)
  • ยาคลอแรมบิวซิลมีรายงานการเพิ่มอุบัติการณ์ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Acute Leukemia) อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นเมื่อพิจารณาใช้ยาคลอแรมบิวซิลต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วย โดยพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์ที่จะได้รับจากยานี้และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน
  • ยาคลอแรมบิวซิลมีรายงานการเกิดผื่นที่ผิวหนังหรือผื่นลักษณะคล้ายลมพิษซึ่งอาจดำเนินไปถึงสภาวะที่รุนแรงได้ เช่น สตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม (Stevens-Johnson Syndrome/Toxic Epider mal Necrolysis: TENs) แต่พบได้น้อย
  • ยาคลอแรมบิวซิลมีรายงานการเกิดอาการชักในเด็กที่เป็นโรคไตชนิด Nephrotic syndrome/ โรคไตรั่ว ดังนั้นผู้ป่วยที่มีประวัติการชักมาก่อนควรระมัดระวังการใช้ยา เพราะอาจมีความไว/เพิ่มโอกาสการชักได้สูง

อนึ่ง หากท่านกำลังใช้ยาคลอแรมบิวซิลอยู่และเกิดอาการไม่พึงประสงค์ฯดังต่อไปนี้ เช่น อาเจียนอย่างหนัก ปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องเสียหรือถ่ายท้องอย่างมากจนอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุน แรงและมีภาวะสมดุลเกลือแร่ผิดปกติ (อาการที่สังเกตได้เช่น เหนื่อย สับสน อ่อนเพลีย อ่อนแรง หัวใจเต้นเร็ว) มีอาการเจ็บริมฝีปาก เจ็บภายในช่องปาก มีผื่นขึ้นตามผิวหนังอย่างลุกลามและรุน แรง มีสัญญาณของภาวะติดเชื้อเช่น มีไข้ (สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส/Celsius) หนาวสั่น ไอ เจ็บคอ มีอาการปวดหรือแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ ปวด บวม แดง และเจ็บตามร่างกาย ซึ่งหากท่านมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นควรรีบไปพบแพทย์หรือไปยังโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สะดวกทันทีก่อนวันนัด และแจ้งถึงประวัติการรับประทานยานี้ของท่านให้แพทย์ทราบด้วย

มีข้อควรระวังการใช้ยาคลอแรมบิวซิลอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาคลอแรมบิวซิล เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่แพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้ หรือมีประวัติแพ้ยาเคมีบำบัดในกลุ่ม Alkylating agents เช่น ยาซัยโคลฟอสฟาไมด์ (Cyclophosphamide) มาก่อน
  • ยานี้อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ควรต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น
  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่กำลังอยู่ในภาวะมีการกดไขกระดูกอยู่เช่น จำนวนเม็ดเลือดขาวน้อยกว่า 2,500 เซลล์ต่อลูกบาศ์กมิลลิเมตร หรือปริมาณเกล็ดเลือดต่ำน้อยกว่า 100,000 เซลล์ต่อลูกบาศ์ก มิลลิเมตร หรือมีภาวะโลหิตจาง/ โรคซีดอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามภาวะกดไขกระดูกจะกลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็วเมื่อมีการหยุดยานี้
  • การใช้ยาคลอแรมบิวซิลในเด็กได้รับการรับรองให้ใช้ได้ในเด็กทารกที่มีอายุมากกว่า/เท่า กับ 6 เดือนขึ้นไปเฉพาะสำหรับข้อบ่งใช้ในโรคไตชนิด Nephrotic syndrome และ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin’s Lyphoma เท่านั้น โดยยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กทารกที่มีอายุน้อย กว่า 6 เดือนและในข้อบ่งใช้อื่นๆ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาที่เหนือผลพิษของยา การใช้ยาคลอแรมบิวซิลในเด็กควรใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้ความดู แลของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น
  • ไม่ควรใช้ยาคลอแรมบิวซิลในผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดชนิดอื่น หรือเพิ่งได้รับการรักษาด้วยรังสีรักษา
  • การใช้ยาคลอแรมบิวซิลในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอาจต้องการยานี้ในขนาดที่ต่ำลง เนื่องจากผู้สูง อายุที่มีแนวโน้มการทำงานของไตลดลง ปฏิกิริยาของการเกิดพิษจากยานี้จึงจะมากขึ้นหากผู้ป่วยมีการทำงานของไตบกพร่อง
  • การใช้ยาคลอแรมบิวซิลในช่วงกำลังตั้งครรภ์: เนื่องจากยาคลอแรมบิวซิลมีผลพิษต่อทารก ในครรภ์ อาจก่อให้ทารกเกิดความพิการขึ้นได้จึงไม่ควรใช้ยานี้ อีกทั้งหากอยู่ในช่วงให้นมบุตร แนะ นำให้หลีกเลี่ยงการให้นมบุตรโดยเด็ดขาด เพราะยาถูกขับออกทางน้ำนมอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงแก่บุตร จึงควรพิจารณาหยุดให้นมบุตรหากมารดากำลังได้รับยานี้อยู่ หรือหยุดการใช้ยานี้ในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์และหรือกำลังให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของมารดาต่อภาวะที่กำลังเป็นอยู่ โดยควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
  • เนื่องจากยาคลอแรมบิวซิลเป็นยาเคมีบำบัด เพื่อลดความเสี่ยงในการที่ยาจะสัมผัสกับผิว หนัง จึงจำเป็นต้องใช้ยาด้วยความระมัดระวัง จึงแนะนำให้ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสยา รวมถึงควรสวมถุงมือทุกครั้งที่ถือขวดบรรจุยา การเตรียมยา และการบริหารยา/การให้ยากับผู้ป่วย
  • อาจพิจารณาลดขนาดยานี้หรือหยุดใช้ยา กรณีผู้ป่วยกำลังอยู่ในภาวะติดเชื้อหรือติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) เนื่องจากยานี้มีผลกดการทำงานของไขกระดูกซึ่งอาจเป็นสา เหตุทำให้การติดเชื้อกำเริบมากยิ่งขึ้น
  • การใช้ยาคลอแรมบิวซิลในช่วงวัยเจริญพันธุ์ จำเป็นต้องใช้ยาด้วยความระมัดระวัง เนื่องจาก ยาส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้และอาจทำให้หน่วยพันธุกรรมผิดปกติ (Mutagenic effect) โดยเกิดได้ทั้งในชายและในหญิงและส่งผลทำให้เกิดภาวะทารกพิการ (Teratogenic) ได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็นต้องใช้ยาในช่วงเริ่มตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน และหากผู้ป่วยได้รับยาในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์โดยอุบัติเหตุควรพิจารณายุติการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามไม่ควรตั้งครรภ์ในช่วงที่จำเป็นต้องใช้ยานี้ และไม่ควรให้นมบุตรเนื่องจากยาสามารถผ่านทางน้ำนมได้ จึงแนะนำให้ป้องกันการตั้งครรภ์ในช่วงที่กำลังได้รับยาคลอแรมบิวซิลอยู่ โดยการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยชายทุกครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังได้รับยาคลอแรมบิวซิลอยู่
  • กรณีต้องการมีบุตรและฝ่ายชายจำเป็นต้องได้รับยาคลอแรมบิวซิล ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงความต้องการดังกล่าวก่อนแพทย์จะเริ่มต้นให้ยา เนื่องจากอาจพิจารณาให้ฝ่ายชายเก็บเชื้ออสุจิก่อนที่จะเริ่มได้รับยานี้ สำหรับฝ่ายหญิงอาจจำเป็นต้องพิจารณาการมีบุตรได้หลังได้รับยาเคมีบำบัด ครบแล้ว โดยปรึกษาแพทย์ผู้รักษาตั้งแต่ก่อนรักษาโรคด้วยยานี้เสมอ

ยาคลอแรมบิวซิลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาคลอแรมบิวซิลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

1.ยาคลอแรมบิวซิล เมื่อใช้ร่วมกับ วัคซีนโรตา (Rotavirus vaccine, อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา) จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อไวรัสโรตาซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องร่วง/ท้องเสียอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากช่วงที่ผู้ป่วย ได้รับยาคลอแรมบิวซิล ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของผู้ป่วยจะลดลงจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ใช้ทำวัค ซีนได้ง่าย

2. ยาคลอแรมบิวซิล เมื่อใช้ร่วมกับ วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live vaccines: หมายถึง วัคซีนเชื้อเป็นที่ถูกผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถทำให้เกิดโรค แต่เชื้อยังมีฤทธิ์เพียงพอที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคนั้นๆ) ตัวอย่างวัคซีนเชื้อเป็นเช่น วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์), วัคซีนอีสุกอีใส, วัคซีนโปลิโอชนิดกิน, วัคซีนไวรัสโรตา, และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก, เป็นต้น ดังนั้นในช่วงที่กำลังได้รับยาคลอแรมบิวซิลอยู่ และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนชนิดเชื้อเป็น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อจากวัคซีนชนิดเชื้อเป็นได้เพราะภูมิคุ้มกันฯของผู้ป่วยจะลดลง เชื้อโรคที่อ่อนฤทธิ์ในวัคซีนอาจจะก่อโรคได้ในช่วงนี้ จึงไม่แนะนำให้สร้างภูมิคุ้มกันฯโดยใช้วัคซีนเชื้อเป็นในช่วงที่ได้รับยาคลอแรมบิวซิล

3. ยาคลอแรมบิวซิล เมื่อใช้ร่วมกับ ยาบูโพพิออน (Bupropion: ยาเลิกบุหรี่, ยาต้านเศร้า) อาจทำให้เกิดอาการชักได้ง่ายขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทั้งสองชนิดร่วมกัน

4. ยาคลอแรมบิวซิล เมื่อใช้ร่วมกับ ยาฟีนิวบิวทาโซน (Phenylbutazone: ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตรอยด์) อาจจำเป็นต้องปรับลดขนาดยาคลอแรมบิวซิลลง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ยาฟีนิวบิวทาโซนจะเพิ่มความเป็นพิษของยาคลอแรมบิวซิลได้

ควรเก็บรักษายาคลอแรมบิวซิลอย่างไร?

แนะนำเก็บยาคลอแรมบิวซิล เช่น

  • เก็บยาในตู้เย็นที่อุณหภูมิประมาณ 2 - 8 องศาเซลเซียส (Celsius) โดยเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับเก็บยาคือ วางยา ณ ตำแหน่งภายในตู้ เย็น ไม่เลือกตำแหน่งบริเวณฝาประตูตู้เย็น เนื่องจาก อุณหภูมิบริเวณฝาตู้เย็นอาจไม่สม่ำเสมอ
  • ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งหรือใต้ช่องแช่แข็งโดยเด็ดขาด เนื่องจากอุณหภูมิต่ำเกินไป
  • ไม่มีข้อมูลด้านความคงตัวของยานี้ภายนอกตู้เย็นว่าสามารถเก็บยาภายนอกตู้เย็นได้นานเท่าไหร่ แต่โดยทั่ว ไปแล้วหากนำยาออกจากตู้เย็นเกินกว่า 24 ชั่วโมงอาจพิจารณาว่ายาขาดความคงตัวไปแล้วแนะ นำให้ทิ้งยานี้ไป
  • นอกจากนี้
    • ควรเก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิม
    • เก็บยาให้พ้นจากแสงแดดและแสงสว่างที่กระทบยาได้โดยตรง
    • หลีกเลี่ยงนำยาสัมผัสกับความร้อนที่มาก เช่น เก็บยาในรถที่ตากแดด หรือเก็บยาในห้องที่มีอุณหภูมิสูง (มีแสงแดดส่องถึงทั้งวันหรือเป็นเวลานาน)
    • ไม่เก็บยาในห้องที่ชื้น เช่น ห้องน้ำ หรือห้องครัว
  • ควรต้องเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ยาคลอแรมบิวซิลมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาคลอแรมบิวซิล มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต เช่น

ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต
ลูเคอแรน (Leukeran) GlaxoSmithKline

บรรณานุกรม

  1. Taketomo CK, Hodding, JH, Kraus DM, .Pediatric & Neonatal Dosage Handbook, 19th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.; 2012
  2. Lacy CF. Amstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information handbook. 20th ed. Ohio: Lexi-Comp,Inc.; 2011-12.
  3. Micromedex Healthcare Series, Thomson Micromedex, Greenwood Village, Colorado
  4. Product Information:Leukeran: Chlorambucil, GlaxoSmithKline,Thailand.
  5. TIMS (Thailand). MIMS. 130th ed. Bangkok: UBM Medica ;2013
  6. สุภัสร์ สุบงกช. เภสัชบำบัดในโรคมะเร็ง. เอกสารประกอบงานประชุมวิชาการ Contemporary Review in Pharmacotherapy 2013