ข้อเข่าเสื่อม: กายภาพบำบัด (Physical therapy for knee osteoarthritis)
- โดย กภ.ธีรวิทย์ วิโรจน์วิริยะกุล
- 22 พฤษภาคม 2562
- Tweet
- บทนำ
- โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร?
- อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมีอะไรบ้าง?
- การวินิจฉัยทางกายภาพบำบัดของโรคข้อเข่าเสื่อมมีอะไรบ้าง?
- การรักษาทางกายภาพบำบัดของโรคข้อเข่าเสื่อมมีอะไรบ้าง?
- การฟื้นฟูและดูแลตนเองที่บ้านทำได้อย่างไรบ้าง?
- สรุป
- บรรณานุกรม
- โรคข้อ (Joint disease)
- โรคกระดูก (Bone disease)
- ข้อเสื่อม เข่าเสื่อม (Osteoarthritis)
- การดูแลตนเองเมื่อใส่ข้อเข่าเทียม (Self care after knee replacement)
- การดูแลตนเองเมื่อปวดเข่า (Self care for knee pain)
- ประคบร้อน (Warm compression) ประคบเย็น (Cold compression)
บทนำ
ปัจุบัน โรคข้อเข่าเสื่อม(Knee osteoarthritis) เข้ามามีบทบาทสำคัญกับชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ค่าเฉลี่ยอายุของประชากรสูงขึ้น และการค่อยๆขยับเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปัจจุบันอันใกล้ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ การรักษา รวมถึงการป้องกันโรคนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้กายภาพบำบัดได้เข้ามามีสำคัญอย่างมากในการ บรรเทาอาการ และชะลอความเสื่อมของข้อเข่าอักเสบที่จะเพิ่มขึ้น
โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร?
ข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญปัญหาหนึ่งของประเทศไทย พบได้ในทั้งสองเพศ แต่พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มักพบในช่วงผู้ใหญ่ตอนปลายและผู้สูงอายุ เกิดจากการที่ผิวของกระดูกข้อต่อ(Bone Cartilages) มีการเสื่อมสภาพ ขรุขระ ไม่เรียบเสมอกัน ในผู้ป่วยบางรายอาจจะพบว่ามีหินปูน หรือกระดูกชิ้นเล็กๆ (Bone Spur) งอกออกมา กระดูกใต้ผิวข้อหนา และแข็งตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีถุงน้ำเกิดขึ้นในเนื้อกระดูกได้อีกด้วย สาเหตุของข้อเข่าเสื่อมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ตามสาเหตุการเกิด คือ
1. เกิดจากการใช้งาน (Primary Osteoarthritis): เป็นภาวะที่การเสื่อมเกิดขึ้นตามวัย มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากกมาย เช่น
- อายุมากกว่า 40 ปี
- เพศหญิงมีโอกาสเกิดมากกว่าเพศชายเพราะการทำงานของระบบฮอร์โมน
- น้ำหนักตัวมาก
- ท่าทางในกิจวัตรประจำวันที่เกิดแรงเสียดสีต่อข้อเข่า
- และมีการใช้งานข้อเข่าซ้ำๆ รวมถึงกรรมพันธุ์
2. เกิดจากสาเหตุอื่นซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม (Secondary Osteoarthritis): เช่น
- โครงสร้างในข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นตัวข้อต่อเอง หรือเส้นเอ็น
- การบาดเจ็บเรื้อรังจากการเล่นกีฬา
- ข้อเข่าอักเสบเรื้อรัง
- และโรคข้ออักเสบรูมาตอย์
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมีอะไรบ้าง?
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะใหญ่ๆ คือ
1. ระยะเริ่มเสื่อม:
- มีอาการปวดในข้อเข่าเป็นๆ หายๆ ปวดมากขึ้นเมื่อมีการใช้งาน เช่น เดิน ยืน หรือขึ้น-ลงบันได
- เมื่อได้พักอาการจะดีขึ้น
- ขณะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งอาจจะรู้สึกฝืดๆในข้อ
- ในบางรายอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบซึ่งเกิดจากการเสียดสีกันของผิวข้อด้วย
2. ระยะมีการเสื่อมของผิวข้อต่อมาก:
- อาการปวดเข่ารุนแรงขึ้น อาจจะปวดตลอดเวลาจนรบกวนการนอนหลับ
- อาจคลำพบกระดูกเล็กๆที่งอกออกมาบริเวณด้านข้างของข้อเข่า
- เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อต้นขา จะมีอาการเจ็บบริเวณใต้ลูกสะบ้า
- ในบางรายที่อาการรุนแรงมาก
- ช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่าจะลดลง
- เหยียดเข่าได้ไม่สุด
- กล้ามเนื้อต้นขาลีบ
- ขาโก่งผิดรูปทำให้มีความยากลำบากได้การทำกิจวัตรประจำวันอย่างมาก
การวินิจฉัยทางกายภาพบำบัดของโรคข้อเข่าเสื่อมมีอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่เข้ารับการรักษากายภาพบำบัดที่คลีนิคกายภาพบำบัดมักถูกส่งต่อมาจากแพทย์เฉพาะทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ แพทย์จะวินิจฉัยด้วย
- กายถ่ายภาพเอ็กซเรย์ข้อเข่า
- ร่วมกับผลการตรวจร่างกายอื่นๆ
- รวมถึงประวัติที่คนไข้ให้กับแพทย์ เช่น
- น้ำหนักตัวมาก
- อายุมากกว่า50 ปี
- มีอาการฝืดแข็งของข้อต่อในตอนเช้าน้อยกว่า 30 นาที
และเมื่อมาถึงคลีนิคกายภาพบำบัด สิ่งที่นักกายภาพบำบัดจะประเมิณเป็นอันดับแรกๆ คือ
- ระดับความเจ็บปวด
- ช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อ/ข้อเข่า
- และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน
การประเมิณความเจ็บปวด: นักกายภาพอาจจะถามเป็นตัวเลขให้คนไข้เลือกตอบตั้ง แต่ 0-10 คะแนน 0 คือไม่ปวดเลย, 10 คือปวดจนทนไม่ไหว
การประเมิณช่วงการเคลื่อนไหว: ทำได้โดยการวัดด้วยเครื่องมือวัดองศาข้อต่อ (Goniometer) นักกายภาพ ขอให้ผู้ป่วยค่อยๆ งอ-เหยียดเข้อเข่าก่อนจะบันทึกองศาการเคลื่อนไหวไว้
การประเมิณความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน: นักกายภาพอาจจะเลือกใช้แบบสอบถามและถามข้อมูลจากผู้ป่วยหรือญาติ นอกจากนี้การสังเกตท่าทางขณะเข้ารับบริการทางกายภาพบำบัด เช่น การเดิน การนั่งก็สามารถใช้เป็นข้อมูลได้
นอกจากนี้ การสังเกตการอักเสบที่บริเวณข้อเข่าของผู้ป่วยก็มีความสำคัญ เช่น รูปร่างของข้อเข่า, อาการบวม แดง ร้อน ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบ, ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการตรวจร่างกายของนักกายภาพฯ จะถูกนำไปรวมกับประวัติที่ได้รับจากแพทย์ เพื่อนำไปตั้งเป้าหมายของการรักษาและใช้ประเมิณผลการรักษาอีกที
ถ้าการรักษาทางกายภาพบำบัดไม่ได้ผล นักกายภาพบำบัดจะพิจารณาส่งผู้ป่วยกลับไปพบแพทย์ด้านระบบกระดูกและกล้ามเนื้ออีกครั้ง เพื่อแพทย์พิจารณาการให้การรักษาทางยา หรือการผ่าตัดต่อไป
การรักษาทางกายภาพบำบัดของโรคข้อเข่าเสื่อมมีอะไรบ้าง?
การรรักษาทางกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมมีด้วยกันหลายวิธี ขึ้นกับอาการและความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยแต่ละราย ในที่นี้จะขอกล่าวถึง 3 การรักษาสำคัญ และตัวอย่างที่อาจจะพบได้เมื่อเดินทางไปรับการรักษาที่คลีนิคกายภาพบำบัด
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักของการรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีด้วยกัน 2 ข้อหลักๆ คือ ควบคุมอาการปวด, และคงช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่าไม่ให้ลดลง วิธีการ คือ
1. การลดปวดด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด: มีเครื่องมือทางกายภาพบำบัดหลายชนิดที่เป็นที่นิยมใช้เพื่อลดอาการปวดข้อเข่า ในที่นี้จะขอกล่าวถึง การรักษาด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound Therapy), และรังสีคลื่นสั้น (Shortwave Therapy) การรักษาทั้ง 2 วิธีเริ่มจากให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าทางที่สบาย เช่น นอนหงาย
สำหรับอัลตราซาวนด์: นักกายภาพบำบัดจะใช้เจลทาลงบนผิวของคนไข้ ก่อนก็จะหมุนหัวของเครื่องอัลตราซานด์ไปรอบๆบริเวณข้อเข่า ใช้เวลาสั้นๆ ประมาณ5-7นาที ขึ้นกับความกว้างของบริเวณที่มีอาการปวด ผู้ป่วยอาจจะไม่รู้สึกเลย หรือรู้สึกอุ่นเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไปเท่านั้น
สำหรับเครื่องรังสีคลื่นสั้น: นักกายภาพบำบัดจะวางหัวของอุปกรณ์คร่อมข้อเข่าข้างที่มีอาการปวด ตลอดการรักษาจะให้ความรู้สึกอุ่นสบาย ด้วยทั่วไปใช้เวลารักษาประมาณ 20 นาที ขณะรักษาด้วยวิธีนี้ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปรณ์อิเลกทรอนิกส์ และถ้ารู้สึกร้อนเกินไป ควรรีบแจ้งนักกายภาพบำบัดทันที
2. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่า: ในทางกายภาพบำบัดแล้ว มีวิธีการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยกันหลายวิธี แต่วิธีที่เป็นที่นิยมของผู้ป่วยที่มีข้อเข่าเสื่อม คือ
- การออกกำลังกายในน้ำ (Hydrotherapy) เพราะแรงลอยตัวของน้ำจะช่วยพยุงน้ำหนักตัวของผู้ป่วย ลดแรงกระทำที่จะเกิดขึ้นกับข้อเข่าขณะออกกำลังกายกาย นอกจากนี้ยังอาศัยน้ำเป็นแรงต้านขณะออกกำลังกายได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีคลีนิคกายภาพหลายแห่งประยุกต์การออกกำลังกายในน้ำโดยที่ไม่ต้องใช้สระน้ำขนาดใหญ่และให้คนไข้ลงไปในสระทั้งตัว ใช้เพียงถังน้ำอุ่นวน(Whirl pool bath) ซึ่งนอกจากจะเป็นการออกกำลังกายในน้ำแล้ว การไหลวนวนของน้ำยังเหมือนการนวดเบาๆ ช่วยลดอาการบวม เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และอุณหภูมิของน้ำอุ่น ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อหรือโครงสร้างที่หดรั้งมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
3. การเลือกอุปกรณ์พยุงข้อเข่าและอุปกรณ์ช่วยเดิน: ในผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการผิดรูปของข้อเข่า หรือมีอาการปวดจนรบกวนการทรงตัว นักกายภาพบำบัดอาจจะแนะนำอุปกรณ์พยุงข้อเข่าให้ ซึ่งมีหลากหลายแบบเหมาะกับอาการที่แตกต่างกัน
แต่โดยทั่วไปแล้ว จะเป็นแบบสวมขึ้นมาจากข้อเท้า แล้วดึงให้รัดประคองเหนือและใต้ข้อเข่าประมาณ15 เซนติเมตร ซึ่งข้อควรระวังคือ
- เวลาใส่ต้องไม่รัดแน่นเกินไป
- ระวังไม่ให้เกิดรอยพับหรือย่นของอุปกรณ์เพราะจะทำให้การไหลเวียนเลือดเป็นไปได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดอาการบวมได้
- อาจใส่ไว้ได้ตลอดทั้งวัน แต่ไม่แนะนำให้ใส่นอน
อุปกรณ์ช่วยเดินสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่นิยมมากที่สุดคือ ไม้เท้าก้านเดียว (Single Cane) ความสูงที่พอเหมาะคือ เมื่อถือและวางปลายไม้เท้าห่างจากนิ้วก้อยเท้าออกไปประมาณหนึ่งฝ่ามือ ความสูงของไม้เท้าจะอยู่ประมาณปุ่มกระดูกของสะโพก (Trochanters)เมื่อข้อศอกงอเล็กน้อย เหมือนอยู่ในท่าล้วงกระเป๋า
ก่อนออกจากคลีนิคกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจะแนะนำวิธีการเดินที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน รวมถึงวิธีการเดินขึ้น-ลงบันได, การวางและการกดไม้เท้าขณะลุกขึ้นยืนด้วย
การฟื้นฟูและดูแลตนเองที่บ้านทำได้อย่างไรบ้าง?
การฟื้นฟูและดูแลตนเองที่บ้านของผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่ส่งเสริมให้มีการเสียดสีของข้อเข่ามากขึ้น เช่น นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยอง
- ควรนั่งบนเก้าอี้ขณะทำกิจกรรมต่างๆ
- หลีกเลี่ยงการ ยืน เดินนานๆ ถ้าจำเป็นอาจจะต้องใช้อุปรณ์พยุง เช่น ไม้เท้า หรือผ้ารัดข้อเข่าเพื่อลดแรงกระทำที่เกิดขึ้นกับข้อเข่าด้วย
- เลือกการออกกกำลังกายให้เหมาะสม งดการวิ่งหรืออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกเยอะๆ การออกกำลังกายที่แนะนำ เช่น
- การเดินในน้ำ
- การเดินช้าๆบนบก
- หรือการปั่นจักรยานฟิตเนสเบาๆ เพื่อคงช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อไว้ไม่ให้ติดขัดมากขึ้น
- หากมีอาการปวดเข่าร่วมกับมีอาการอักเสบ ซึ่งสังเกตได้จากการมีอาการ บวม แดง ร้อน ร่วมด้วย แนะนำให้ประคบด้วยความเย็น/ประคบเย็น โดยใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติก ห่อด้วยผ้าขนหนู ประคบไว้ 15-20 นาที
- หากมีเพียงอาการปวดเข่าเท่านั้น แนะนำให้ประคบด้วยความร้อน/ประคบร้อน อาจจะใช้แผ่นประคบร้อนไฟฟ้า หรือใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นอุณหภูมิ 43.5-45.5 องศาสเซลเซียส(Celsius, ๐C) ประคบไว้ประมาณ 20 นาที
- ทั้งการประคบร้อนและประคบเย็นสามารถทำได้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่า เพื่อให้ช่วยประคองข้อเข่าให้มั่นคงก็เป็นสิ่งจำเป็น ทำได้โดย
- การนั่งบนเก้าอี้
- ใช้ถุงทรายสำหรับออกกำลังกายรัดไว้ที่ข้อเท้าข้างที่ต้องการออกกำลังกาย
- ออกแรงงอ-เหยียดข้อเข่า ขณะเหยียดข้อเข่าขึ้นตึง ให้ค้างไว้ ร่วมกับค่อยๆ กระดกข้อเท้าขึ้น แล้วค่อยผ่อนข้อเท้าลง งอเข่ากลับลงวางที่พื้น
- ทำซ้ำ 10 ครั้ง 3 เซต ทำได้วันละ2 รอบ
- ถ้ามีอาการปวดเพิ่มขึ้นให้หยุดทำทันที
- ควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
- เลือกรองเท้าที่เหมาะสม จะสามารถช่วยลดแรงกระทำที่จะเกิดขึ้นกับเข่าได้ เมื่อแรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับข้อเข่าน้อยลง อาการปวดและการสึกหรอที่มากขึ้นของผิวข้อก็จะลดน้อยลงด้วย โดยรองเท้าที่ดีควรมี
- พื้นนุ่มสบาย
- รองรับอุ้งเท้าได้พอดี
- ไม่รัดหรือหลวมจนเกินไป
สรุป
ข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ไม่ร้ายแรง สามารถบรรเทาอาการและความรุนแรงได้หากเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมในชีวิติประจำวัน
หากสงสัยว่าเริ่มมีอาการข้อเข่าเสื่อม การเข้าพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดโดยเร็ว เพื่อหาทางป้องกัน และหลีกเลี่ยงความพิการที่จะเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
บรรณานุกรม
- วิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท และคณะ. คู่มือโรคข้อเข่าเสื่อม. หน่วยข้อสะโพกและข้อเข่า ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี.
- EMHM Vogels, HJM Hendriks, ME van Baar et al. Clinical practice guidelines for physical therapy in patients with osteoarthritis of the hip or knee. KNGF-guidelines for physical therapy in patients with osteoarthritis of the hip or knee.2003
- Royal Dutch Society for Physical Therapy. KNGF Guideline for Physical Therapy in patients with Osteoarthritis of the hip and knee. Supplement to the Dutch Journal of Physical Therapy Vol.120. 2010
- American Academy of Orthopaedic Surgeons. TREATMENT OF OSTEOARTHRITIS OF THE KNEE EVIDENCE-BASED GUIDELINE 2ND EDITION. May 2013