การผ่าตัดผ่านทางกล้อง (Laparoscopic surgery)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

การผ่าตัดผ่านทางกล้อง (Laparoscopic surgery) เป็นการผ่าตัดผ่านรูเล็กๆที่เจาะผ่าน ผนังหน้าท้องเข้าไปในช่องท้อง โดยใช้กล้องเรียวเล็กผ่านเข้าไปส่องดูอวัยวะในช่องท้อง ศัลย แพทย์จะดูภาพผ่านจอทีวีขณะที่ทำผ่าตัดด้วยเครื่องมือเรียวเล็กผ่านรูเล็กๆเหล่านี้ แทนที่จะ ต้องผ่าตัดผ่านแผลใหญ่เช่นการผ่าตัดตามวิธีปกติ

การใช้กล้องส่อง ยังอาจขยายภาพที่กำลังทำผ่าตัดให้ใหญ่ เห็นชัดกว่าธรรมดา วิธีนี้ยัง ใช้กับการผ่าตัดช่องทรวงอกได้ด้วย

การผ่าตัดผ่านทางกล้องนี้ ต้องใช้เลนส์ที่เป็นแท่งเรียวเล็กที่ต่อกับกล้องรับภาพ เพื่อส่ง ต่อภาพให้ปรากฎบนจอทีวี กล้องบางอย่างจะใช้จอรับภาพเล็กจิ๋วติดปลายแท่งที่สอดเข้าไป ในช่องท้อง แต่ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม จะต้องมีแหล่งจ่ายแสงสว่างติดเลนส์หรือติดปลาย กล้องเข้าไปส่องให้ความสว่างด้วย จึงจะเห็นภาพอวัยวะต่างๆได้ หน่วยจ่ายแสงสว่างนี้โดยมาก จะให้แสงซีนอน (Xenon) ซึ่งมีความจ้าสว่างของแสงมาก แต่ให้สีของอวัยวะเป็นธรรมชาติ เล็นส์หรือกล้องเหล่านี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดต่างๆ เช่น 10 มิลลิเมตร (มม.), 5 มม. หรือ เพียง 3 มม.

นอกจากนี้เพื่อให้ช่องท้องขยายตัวถ่างออกให้เครื่องมือเข้าไปทำงานได้โดยสะดวก ศัลย แพทย์ยังใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเข้าไปในช่องท้อง และควบคุมความดันก๊าซด้วยเครื่อง อัตโนมัติ ที่เลือกใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็เพราะเป็นก๊าซไม่ติดไฟ ขณะเมื่อใช้กระแสไฟฟ้า ในการตัดอวัยวะหรือเมื่อจี้เนื้อเยื่อต่างๆด้วยไฟฟ้าเพื่อห้ามเลือดต่างๆ

การผ่าตัดผ่านกล้องมีประวัติเป็นมาอย่างไร?

การผ่าตัดผ่านทางกล้อง

ประวัติของการพัฒนาการผ่าตัดผ่านทางกล้อง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1902 Georg Kelling, จากเมือง Dresden, Saxony ชาวเยอรมัน เป็นคนแรกที่ทำการส่องกล้องผ่านรูเล็กๆเข้าไปดู อวัยวะในสุนัข ต่อมาในปี คศ. 1910 Hans Christian Jacobaeus ที่ประเทศสวีเด็นได้รายงาน การทำผ่าตัดผ่านทางกล้องในคนเป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก หลังปี คศ. 1950 เป็นต้นมา มีการ พัฒนาเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ศัลยแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูตินรีแพทย์ได้ ใช้วิธีนี้ในการตรวจวินิจฉัยโรคทางช่องท้องน้อย และแพทย์ระบบทางเดินอาหารและต้บใช้วิธีนี้ ในการส่องกล้องตรวจวินิจฉัยโรคของตับและของช่องท้อง แต่ในยุคแรกการตรวจต้องมองผ่าน เลนส์โดยตรง ในปี ค.ศ. 1990 มีการพัฒนาใช้กล้องรับภาพเพื่อส่งเข้าฉายในจอทีวีได้สำเร็จ การทำผ่าตัดชนิดต่างๆจึงทำได้อย่างปลอดภัย โดยแพทย์ผู้ช่วยผ่าตัดสามารถเห็นภาพพร้อม กันกับศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัด การผ่าตัดชนิดนี้จึงแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก

การผ่าตัดผ่านกล้องใช้ผ่าตัดโรคอะไรได้บ้าง?

ปัจจุบันการผ่าตัดชนิดนี้ใช้มากที่สุดในการผ่าตัดถุงน้ำดีที่มีนิ่ว และแทบจะทุกอวัยวะใน ช่องท้องสามารถทำการผ่าตัดได้ด้วยวิธีนี้เช่น ไส้ติ่ง กระเพาะอาหาร ตับ ตับอ่อน ม้าม ไต ลำ ไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ท่อน้ำดี ต่อมหมวกไต ซึ่งโรคชนิดต่างๆที่เกิดกับอวัยวะเหล่านี้รวมทั้ง โรคมะเร็งก็อาจรับการรักษาด้วยการผ่าตัดชนิดนี้ได้

ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อตัดถุงน้ำดี ตัดไส้ติ่งที่อักเสบ (โรคไส้ติ่งอักเสบ) ตัดถุงน้ำ หรือเนื้องอกของรังไข่ ตัดปีกมดลูกเพื่อทำหมัน ตัดก้อนเนื้อในผนังมดลูก ตัดมดลูก ตัดเนื้องอกในตับ ตับอ่อน ตัดไตที่มีเนื้องอก ตัดไตเพื่อปลูกถ่ายไตให้อีกผู้หนึ่งระหว่างพ่อแม่ ลูกหรือพี่น้อง ตัดก้อนเนื้องอกในต่อมหมวกไต ตัดต่อมน้ำเหลือง หรือก้อนเนื้อในช่องท้องเพื่อ การวินิจฉัย

การผ่าตัดชนิดนี้ยังใช้ในการตัดและต่อลำไส้เช่น ในโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตัดต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเพื่อลดความอ้วน ตัดต่อลำไส้ที่อุดตัน และตัดต่อท่อน้ำดี

ในช่องทรวงอก การผ่าตัดชนิดนี้ใช้ในการตัดปอดที่มีโรคเช่น ในโรคมะเร็งปอดหรือจากการอักเสบเรื้อรัง ใช้ในการตัดเนื้อเยื้อหุ้มปอดเพื่อการวินิจฉัยโรคปอด ตัดเย็บปอดที่มีรูรั่ว ตัด เลาะเยื้อหุ้มปอดที่มีการอักเสบหรือที่เป็นหนอง ตัดต่อมะเร็งหลอดอาหาร (โรคมะเร็งหลอดอา หาร) ตัดเยื่อบุหัวใจที่อักเสบ ตัดต่อมน้ำเหลืองในช่องทรวงอกเพื่อการวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด และโรคต่างๆ

การผ่าตัดผ่านกล้องยังใช้กับอวัยวะอื่นที่ไม่ได้อยู่ในช่องท้องและในทรวงอก เพื่อซ่อนแผล เช่น การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ผ่าตัดก้อนเนื้องอกในเต้านม และผ่าตัดหลอดเลือดดำในขา ซึ่งวิธี การคือ เจาะผ่านรูในตำแหน่งที่ซ่อนอยู่ และสร้างช่องใต้ผิวหนังเพื่อนำเครื่องมือไปถึงตำแหน่ง ที่ต้องการเช่น ในการผ่าตัดไทรอยด์ แพทย์จะเจาะรูผ่านบริเวณรักแร้ สร้างช่องลมผ่านไปที่คอ ทำการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ที่มีเนื้องอกออก เสร็จแล้วก็ปล่อยลมออก แผลที่อยู่ใต้ผิวหนังก็หาย เป็นปกติโดยไม่มีแผลให้เห็นที่คอ

อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดด้วยกล้องไม่สามารถใช้ได้ในทุกกรณีเสมอไปเช่น หลายครั้ง เมื่อมีการอักเสบมาก หรือมีพังผืดในช่องท้องมาก หรือเมื่อเคยผ่าตัดมาก่อน หรือก้อนเนื้องอก ในท้องใหญ่มาก หรือลำไส้บวมพองจนไม่มีช่องว่างในท้อง ในกรณีเหล่านี้ การผ่าตัดผ่านกล้อง จะมีความเสี่ยงสูงและทำได้ไม่สะดวก ศัลยแพทย์จึงจะแนะนำให้ผ่าตัดเปิดแผลใหญ่ตามธรรม ดา และในบางครั้งขณะที่ผ่าตัดผ่านกล้อง หากพบว่าผ่าตัดได้ยากหรือไม่อาจแยกแยะได้ว่า หลอดเลือดหรือท่อน้ำดีอยู่ตำแหน่งไหน ในกรณีที่มีการอักเสบมากก็จะต้องเปลี่ยนไปผ่าตัด ผ่านแผลใหญ่เพื่อความปลอดภัย

การผ่าตัดผ่านกล้องดีกว่าการผ่าตัดเปิดแผลใหญ่แบบธรรมดาอย่างไร?

การผ่าตัดผ่านกล้องจะมีแผลเล็ก เจ็บตัวน้อย เนื่องจากเพียงเจาะผ่านกล้ามเนื้อ แต่ไม่ ต้องตัดกล้ามเนื้อ ร่างกายจึงรับรู้การบาดเจ็บที่น้อยกว่า การฟื้นตัวของร่างกายสู่สภาพการทำ งานปกติจึงเกิดได้เร็วกว่ามาก การฟื้นตัวของลำไส้ในช่องท้องจะเร็วกว่า โดยหลังผ่าตัดจะเริ่ม ทานอาหารได้เร็วกว่า ทำให้กลับบ้านได้เร็วกว่า ประหยัดจำนวนวันที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล และวันที่ใช้ฟื้นตัวที่บ้าน จึงกลับไปทำงานหรือไปโรงเรียนได้เร็วกว่ามาก

การผ่าตัดผ่านกล้องมีอันตรายและมีผลเสียอะไร?

ความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดผ่านกล้องโดยรวมจะน้อยกว่าการผ่าตัด เปิดแผลใหญ่แบบธรรมดา เช่น การติดเชื้ออักเสบ เลือดออกระหว่างผ่าตัด หรือหลังผ่าตัด แต่ การเกิดผลข้างเคียงระหว่างผ่าตัดมักจะรุนแรงกว่า เช่น เกิดการทะลุของหลอดเลือดใหญ่ การ ควบคุมให้เลือดหยุดขณะผ่าตัดอาจทำได้ช้ากว่า และอาจจะต้องรีบผ่าตัดเปิดแผลใหญ่เพื่อห้าม เลือด บางครั้งอาจเกิดการทะลุของลำไส้ส่วนอื่นโดยแพทย์ไม่ทันรู้ตัว จึงเกิดลำไส้รั่ว และการ อักเสบในช่องท้องหลังการผ่าตัด และต้องผ่าตัดซ้ำภายหลัง เป็นต้น แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้เกิดได้น้อย

มีความก้าวหน้าของการผ่าตัดผ่านกล้องอย่างไร?

การผ่าตัดผ่านกล้องนี้ ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในอุปกรณ์เครื่องมือผ่าตัด อุป กรณ์กล้อง และวิธีการทำผ่าตัด

ปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดมีเพิ่มขึ้นมาก ในอดีตใช้ความคมของกรรไกร และเมื่อมีเลือดออกก็ใช้กระแสไฟฟ้าจี้ ซึ่งผลข้างเคียงคือ ความร้อนที่เกิดขึ้นอาจเกินขอบเขตที่แพทย์ตั้งใจไว้ บางครั้งกระแสไฟฟ้าอาจลัดวงจรทำให้ลำไส้ส่วนอื่นทะลุได้

ต่อมามีการพัฒนาเครื่องจี้ไฟฟ้าที่เป็นสองขั้วในปลายเครื่องมือ (Bipolar instrument) และในรุ่นใหม่ เครื่องยังสามารถรับรู้ระดับความต้านทานของเนื้อเยื่อต่อกระแสไฟฟ้า และปรับ ระดับไฟฟ้าอัตโนมัติได้

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่ใช้แรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงในการตัดเนื้อเยื่อ และในการ ทำให้โปรตีนในเนื้อเยื่อแข็งตัวเพื่อห้ามเลือดเรียกว่า Harmonic instrument มีคุณสมบัติที่ไม่ ทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงเปลี่ยนแปลง ทำให้แผลหายเร็วและเจ็บน้อยลง

เครื่องมือในการตัดต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะได้พัฒนาไปมาก มีเครื่องมือชนิดต่างๆ ขนาด ต่างๆในการเย็บตัดต่อลำไส้ โดยใช้โลหะไททาเนี่ยม (Titanium) ทำให้สามารถตรวจภาพอวัยวะที่ผ่าตัดด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ได้ภาย หลังจากการผ่าตัด ทั้งนี้เพราะปกติหากมีโลหะเหล็กในเนื้อเยื่อหรือในอวัยวะ จะทำให้ภาพของเนื้อเยื่อและอวัยวะเหล่านี้ไม่ชัดเจนเมื่อตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ/หรือ คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ)

ในด้านกล้องที่ใช้ ปัจจุบันได้พัฒนาไปเป็นกล้องที่เห็นภาพละเอียดมาก (HD, High definition) และยังมีกล้องสามมิติให้ใช้ จอทีวีก็พัฒนาเป็นจอภาพละเอียดขึ้นมาก

วิธีการผ่าตัดผ่านกล้องในปัจจุบันได้พัฒนาไปหลายวิธี เช่น ผ่าตัดผ่านแผลเพียงรูเดียว ที่สะดือ (Single port) แต่เป็นรูใหญ่ที่มีช่องให้เครื่องมือผ่านสามหรือสี่ช่องทางได้ เครื่องมือที่ จะใช้ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นเครื่องมือที่ยาวเรียวแต่โค้ง เพื่อไม่ให้เครื่องมือตีกันเองในช่องท้อง ซึ่ง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ปรารถนาจะมีแผลที่เห็นชัด โดยซ่อนแผลเดียวที่สะดือ แต่วิธีนี้ใช้เวลา การผ่าตัดมากกว่า และมีความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงมากขึ้น

การผ่าตัดผ่านกล้องโดยใช้หุ่นยนต์ (Robotic surgery) เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญใน ปัจจุบัน โดยข้อจำกัดของการผ่าตัดผ่านกล้องที่ทำด้วยมือคือ ไม่อาจทำได้ในมุมที่คับแคบ เช่น ในอุ้งเชิงกราน/ท้องน้อย ในการผ่าตัดต่อมลูกหมากหรือการต่อท่อปัสสาวะหลังการตัดต่อมลูก หมากทำได้ไม่ถนัดมือเพราะมุมแคบ แต่เมื่อใช้แขนเล็กๆของหุ่นยนต์ที่หมุนเปลี่ยนทิศทางในที่ คับแคบได้ ก็ทำให้การผ่าตัดสะดวกและเสียเลือดน้อยมาก การผ่าตัดชนิดนี้ถือเป็นมาตรฐาน ปัจจุบันในการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก เครื่องมือแต่ละชุดราคา 80 - 140 ล้านบาท ซึ่งแพงมาก สำหรับประเทศไทย ผู้ป่วยจึงต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเฉพาะค่าเครื่องมือนี้โดยเฉลี่ยประมาณอย่าง น้อยสองแสนบาทเพิ่มจากค่ารักษาปกติ ในประเทศไทยจึงมีเครื่องมือเหล่านี้เพียงในบางโรงพยา บาลที่มีคณะแพทย์เท่านั้น

หลังผ่าตัดดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อใร?

หลังการผ่าตัดผ่านกล้องแล้ว ระยะฟื้นตัวในโรงพยาบาลสั้นมาก แพทย์มักให้กลับบ้านได้ โดยเร็ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่กลับไปใช้ชีวิตและทำกิจกรรมปกติได้ภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ในสัปดาห์แรกยังไม่ควรทำกิจกรรมที่หนัก หลังจากหนึ่งสัปดาห์ไปแล้วก็ค่อยๆเพิ่มกิจกรรมเท่า ที่ทำได้จนกระทั่งเป็นปกติ

แผลหลังผ่าตัดเพียงไม่กี่วันก็สามารถเปียกน้ำได้ อาบน้ำได้ ไม่จำเป็นต้องปิดแผล ปล่อย ให้แผลสัมผัสอากาศให้แห้ง

ในกรณีที่มีไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน ปัสสาวะลำบาก แผลแดงบวม ปวดมากขึ้น ผิดสังเกต มีความผิดปกติต่างๆ หรือกังวลในอาการ หรือในเรื่องของแผล ก็ควรรีบกลับไปพบศัลยแพทย์ก่อนนัด แต่ถ้าทุกอย่างเป็นปกติก็พบแพทย์ตามนัด

สรุป

การผ่าตัดผ่านกล้องนี้เป็นมาตรฐานปัจจุบันสำหรับหลายๆโรค แต่ไม่ทั้งหมด เป็นความ ก้าวหน้าที่เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ป่วย การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการในการผ่าตัดยังมีต่อ เนื่อง อย่างไรก็ตามการตัดสินใจในการผ่าตัดด้วยวิธีใด จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ เปรียบเทียบกับความเสี่ยง ซึ่งแต่ละคนแตกต่างกัน จะต้องปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาในแต่ละการผ่าตัดเป็นครั้งๆไป