โรคกระดูกบาง (Osteopenia) - Update

สารบัญ

  • เกริ่นนำ
  • ปัจจัยเสี่ยง
    • ปัจจัยคงที่
    • ปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ / พฤติกรรม
    • โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    • ยาที่อาจส่งผลต่อมวลกระดูก
  • การคัดกรองและการวินิจฉัย
  • การป้องกัน
  • การรักษา
  • ประวัติหรือภูมิหลัง

เกริ่นนำ (Introduction)

ภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) หรือที่รู้จักว่า “มวลกระดูกต่ำ” หรือ “ความหนาแน่นของกระดูกต่ำ” คือภาวะที่ความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกลดลง  เนื่องจากกระดูกมีความเปราะบางมากขึ้น ผู้ที่มีภาวะกระดูกบางจึงอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักสูงขึ้น และบางรายอาจพัฒนากลายเป็นโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคต

ในปี ค.ศ. 2010 มีผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกามากถึง 43 ล้านคน ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะกระดูกบาง

ต่างจากโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ภาวะกระดูกบางมักไม่แสดงอาการ และการสูญเสียมวลกระดูกเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ทำให้เกิดอาการปวด

ภาวะกระดูกบางไม่มีสาเหตุเดียวที่ชัดเจน แต่มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแบ่งได้เป็นปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ (เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารและการใช้ยาบางชนิด) และปัจจัยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (เช่น การสูญเสียมวลกระดูกตามอายุ)

สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การคัดกรองโดยใช้เครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (DXA scanner) อาจช่วยให้สามารถตรวจพบภาวะกระดูกบางและติดตามการเปลี่ยนแปลงของมวลกระดูกได้

การป้องกันภาวะกระดูกบางสามารถเริ่มตั้งแต่ช่วงวัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาว โดยเน้นที่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight-bearing exercise) รวมถึงการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

การรักษาภาวะกระดูกบางยังเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอยู่ แนวทางที่ไม่ใช้ยาเน้นที่การรักษามวลกระดูกที่มีอยู่ให้คงอยู่ได้ โดยผ่านพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น การปรับเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกาย และการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

การรักษาด้วยยา เช่น กลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates) และยาประเภทอื่น อาจพิจารณาใช้ในบางกรณี แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องชั่งน้ำหนักร่วมด้วย

โดยรวม การตัดสินใจในการรักษาควรพิจารณาจากชุดปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคลร่วมกัน โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก

ปัจจัยเสี่ยง (Risk factors)

หลายแหล่งข้อมูลแบ่งปัจจัยเสี่ยงของภาวะกระดูกบาง ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่  ปัจจัยคงที่ (Fixed หรือ Non-changeable) และปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ (Modifiable)  นอกจากนี้ ภาวะกระดูกบางอาจเกิดขึ้นเป็น ภาวะรองจากโรคอื่น (Secondary osteopenia) ได้เช่นกัน  ตัวอย่างของปัจจัยเสี่ยงบางประการ มีดังนี้:

  • ปัจจัยคงที่ (Fixed factors)
    • อายุ: มวลกระดูกจะสูงที่สุดประมาณอายุ 35 ปี จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง โดยพบการสูญเสียมวลกระดูกทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
    • ชาติพันธุ์: ผู้ที่มีเชื้อสายยุโรปและเอเชียมีความเสี่ยงสูงขึ้น
    • เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่หมดประจำเดือนเร็ว
    • ประวัติครอบครัว: หากมีประวัติภาวะกระดูกบางในครอบครัว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น
  • ปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ / พฤติกรรม (Modifiable / Behavioral factors)
    • การสูบบุหรี่
    • การดื่มแอลกอฮอล์
    • ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะกิจกรรมที่ลงน้ำหนักหรือฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    • การได้รับพลังงานไม่เพียงพอ — ภาวะกระดูกบางอาจสัมพันธ์กับกลุ่มอาการหญิงนักกีฬา (Female athlete triad) ซึ่งพบในนักกีฬาหญิงที่มีภาวะขาดพลังงาน มีความผิดปกติของรอบเดือน และมวลกระดูกต่ำ
    • การรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น แคลเซียม และวิตามินดี
  • โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Secondary to other diseases)
    • โรคเซลิแอค ([โรคนี้พบน้อยมากในคนไทย เป็นโรคทางพันธุกรรม พบมากกว่าในแถบยุโรป] โรคที่ลำไส้เล็กรบกวนการดูดซึมสารอาหารเพราะแพ้กลูเตน ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดีได้น้อยลง
    • ภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)
    • โรคเบื่ออาหารเหตุจากจิตใจหรือโรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa)
  • ยาที่อาจส่งผลต่อมวลกระดูก (Medications)
    • ยาสเตียรอยด์
    • ยากันชัก (Anticonvulsants)

การคัดกรองและการวินิจฉัย (Screening and diagnosis)

สมาคมสากลด้านการวัดความหนาแน่นของกระดูก (ISCD) และมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Osteoporosis Foundation) แนะนำให้ผู้สูงอายุ (ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป) รวมถึงผู้ใหญ่ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะกระดูกบาง หรือมีประวัติกระดูกหักจากแรงกระแทกเล็กน้อย ควรเข้ารับการตรวจด้วยเครื่อง DXA  การตรวจ DXA (Dual X-ray absorptiometry) เป็นการตรวจด้วยเทคโนโลยีเอกซเรย์ชนิดพิเศษ ซึ่งสามารถวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกได้อย่างแม่นยำ โดยมีปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับต่ำมาก

หน่วยงานคัดกรองเชิงป้องกันของสหรัฐอเมริกา (United States Preventive Services Task Force – USPSTF) แนะนำให้คัดกรองโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปีที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และระบุว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนการคัดกรองในผู้ชาย  วัตถุประสงค์หลักของการคัดกรอง คือ เพื่อป้องกันการเกิดกระดูกหัก  อย่างไรก็ตาม แนวทางการคัดกรองของ USPSTF นี้มุ่งเน้นที่การตรวจหาโรคกระดูกพรุนโดยเฉพาะ ไม่ได้ระบุถึงภาวะกระดูกบางโดยตรง

มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ใช้การตรวจ DXA ส่วนกลาง (ที่บริเวณสะโพกและกระดูกสันหลัง) เพื่อให้ได้ผลการวัดมวลกระดูกที่แม่นยำ  โดยเน้นว่า เครื่องตรวจชนิดรอบนอก หรือที่เรียกว่า “เครื่องสแกนเพื่อคัดกรอง” ไม่ควรนำมาใช้ในการวินิจฉัยทางคลินิกอย่างมีนัยสำคัญ และการตรวจ DXA แบบรอบนอกและแบบส่วนกลางไม่สามารถเปรียบเทียบกันโดยตรงได้

เครื่องตรวจ DXA สามารถใช้ในการวินิจฉัยภาวะกระดูกบางหรือโรคกระดูกพรุนได้ รวมถึงใช้เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของมวลกระดูกเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ในช่วงสูงวัย หรือเมื่อได้รับการรักษาทางการแพทย์หรือมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ข้อมูลจากเครื่อง DXA จะใช้ในการคำนวณค่า T-score ของความหนาแน่นของมวลกระดูก โดยเปรียบเทียบความหนาแน่นของกระดูกของผู้ป่วยกับของคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดี หากค่าความหนาแน่นของกระดูกมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระหว่าง 1 ถึง 2.5 ต่ำกว่าค่าอ้างอิง หรือค่า T-score อยู่ระหว่าง –1.0 ถึง –2.5 จะถือว่าเป็นภาวะกระดูกบาง และหากค่า T-score ต่ำกว่าหรือเท่ากับ –2.5 จะถือว่าเป็นโรคกระดูกพรุน  ทั้งนี้ การคำนวณค่า T-score อาจไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกันในทุกสถานพยาบาล สมาคม ISCD แนะนำให้ใช้ข้อมูลของหญิงชาวคอเคเชียนที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 29 ปี เป็นค่ามาตรฐานในการเปรียบเทียบสำหรับผู้ป่วยทุกคน แต่ก็มีบางสถานพยาบาลที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้

สมาคม ISCD แนะนำให้ใช้ค่า Z-score แทนค่า T-score ในการประเมินภาวะกระดูกในผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือนและผู้ชายอายุต่ำกว่า 50 ปี [มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ของ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลป์ยาณิวัฒนา ฯ ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์  ได้ออกมาตรฐาน การตรวจในประเทศไทย น่าจะใช้ เกณฑ์เดียวกัน]

การป้องกัน (Prevention)

การป้องกันภาวะกระดูกบางสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น โดยการเสริมสร้างความหนาแน่นสูงสุดของมวลกระดูก (peak bone density) เพราะเมื่อมวลกระดูกสูญเสียไปแล้ว มักไม่สามารถฟื้นกลับคืนได้ ดังนั้นการป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกมากกว่าปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การเสริมสร้างความหนาแน่นของมวลกระดูกและการชะลอการสูญเสียมวลกระดูกสามารถทำได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:

  • การออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight-bearing exercise), การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (resistance exercise) และการฝึกการทรงตัว (balance exercise) ซึ่งแรงกดจากการออกกำลังกายกระตุ้นให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกเพิ่มขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้ม
  • การได้รับพลังงานจากอาหารอย่างเพียงพอ
  • การบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่อาจมีความต้องการแคลเซียมมากขึ้น ทั้งนี้ควรระวังภาวะบางอย่าง เช่น โรคเซลิแอคและภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียม
  • การได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารหรือแสงแดด
  • การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน (estrogen replacement) ในบางกรณีที่เหมาะสม
  • การหลีกเลี่ยงยาประเภทสเตียรอยด์
  • การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่

การรักษา (Treatment)

การรักษาภาวะกระดูกบางด้วยยา ยังคงเป็นประเด็นที่มีความเห็นต่างกัน และมีความซับซ้อนมากกว่าคำแนะนำที่ได้รับการสนับสนุนอย่างชัดเจน เช่น การปรับโภชนาการและการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก  การวินิจฉัยภาวะกระดูกบางเพียงอย่างเดียว ยังไม่ถือเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะต้องรักษาด้วยยาเสมอไป  ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะกระดูกบางจำนวนมาก อาจได้รับคำแนะนำให้เน้นมาตรการป้องกันความเสี่ยงแทน (ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น)

ความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจทางคลินิก: เครื่องมือประเมินความเสี่ยงการเกิดกระดูกหักขององค์การอนามัยโลก (FRAX) ใช้ในการประมาณความน่าจะเป็นของการเกิดกระดูกสะโพกหัก และความน่าจะเป็นของการเกิดกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนชนิดรุนแรง (Major osteoporotic fracture: MOF) ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับกระดูกส่วนอื่นที่ไม่ใช่สะโพก  การคำนวณค่า FRAX นอกจากจะพิจารณาค่าความหนาแน่นของกระดูก (T-score) แล้ว ยังครอบคลุมปัจจัยด้านอายุ ลักษณะทางกายภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และประวัติทางการแพทย์อื่นๆ ด้วย

ตั้งแต่ปี 2014 มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้พิจารณาการรักษาด้วยยาในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะกระดูกบาง และผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หากมีความน่าจะเป็นของการเกิดกระดูกสะโพกหักตามค่าประเมิน FRAX เกิน 3% หรือมีความน่าจะเป็นของการเกิดกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนชนิดรุนแรง (MOF) เกิน 20% 

ตั้งแต่ปี 2016 สมาคมนักต่อมไร้ท่อคลินิกแห่งสหรัฐอเมริกา (American Association of Clinical Endocrinologists: AACE) และวิทยาลัยต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกา (American College of Endocrinology: ACE) มีความเห็นสอดคล้องกับแนวทางของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา 

ในปี 2017 วิทยาลัยอายุรศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (American College of Physicians: ACP) แนะนำว่า แพทย์ควรใช้วิจารณญาณทางคลินิก ร่วมกับความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกหักเฉพาะบุคคลของผู้ป่วย และความต้องการของผู้ป่วย เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรักษาด้วยยาหรือไม่ สำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปีที่มีภาวะกระดูกบาง

การรักษาภาวะกระดูกบางด้วยยา ประกอบด้วยกลุ่มยาหลายชนิด โดยยาที่นิยมใช้ได้แก่ บิสฟอสโฟเนต  เช่น อาเลนโดรเนต (Alendronate), ไรเซโดรเนต (Risedronate) และ ไอบานโดรเนต (Ibandronate) – มีรายงานวิจัยบางฉบับแสดงว่า การรักษาภาวะกระดูกบางด้วยบิสฟอสโฟเนตช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักและเพิ่มมวลกระดูกได้ 

ยาอื่นที่ใช้ ได้แก่ กลุ่มตัวยับยั้งตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดเลือกจับเฉพาะ (Selective estrogen receptor modulators: SERMs) เช่น ราโลซิเฟน (Raloxifene), ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogens) เช่น เอสตราไดออล (Estradiol), แคลซิโทนิน (Calcitonin) และยาที่มีการสังเคราะห์ขึ้นและเลียนแบบการทำงานของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid hormone-related protein analogues) เช่น อาบาโลพาราไทด์ (Aabaloparatide) และเทอริพาราไทด์ (Teriparatide)

ยากลุ่มนี้ไม่ใช่ปราศจากความเสี่ยง  ในบริบทที่ซับซ้อนเช่นนี้ มีความเห็นจากหลายฝ่ายว่า แพทย์ควรพิจารณาความเสี่ยงเฉพาะบุคคลของผู้ป่วยต่อการเกิดกระดูกหัก แทนที่จะรักษาผู้ที่มีภาวะกระดูกบางโดยถือว่าทุกคนมีความเสี่ยงเท่ากัน  บรรณาธิการของวารสาร Annals of Internal Medicine ฉบับปี 2005 ได้แสดงความเห็นว่า: “เป้าหมายของการใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนคือการป้องกันการเกิดกระดูกหัก ซึ่งสามารถบรรลุผลได้โดยการรักษาผู้ที่มีแนวโน้มจะเกิดกระดูกหัก ไม่ใช่เพียงแค่การรักษาตามค่า T-score”

ประวัติหรือภูมิหลัง (History)

คำว่าภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) มีรากศัพท์จากภาษากรีก ὀστέον (Ostéon) หมายถึง "กระดูก" และ πενία (Penía) หมายถึง "ความขาดแคลน" เป็นภาวะที่เนื้อกระดูกมีการสะสมแร่ธาตุน้อยกว่าปกติ โดยทั่วไปเกิดจากอัตราการสลายเนื้อกระดูก (Bone lysis) ที่มากกว่าอัตราการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของกระดูก (Bone matrix synthesis) ดูเพิ่มเติมในหัวข้อโรคกระดูกพรุน

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1992 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้คำนิยามของภาวะกระดูกบาง  นักระบาดวิทยาโรคกระดูกพรุนจากคลินิกมาโย (Mayo Clinic) ซึ่งมีส่วนร่วมในการกำหนดเกณฑ์ในปีนั้นกล่าวว่า “จุดประสงค์ของนิยามนี้เพียงเพื่อสะท้อนถึงการเริ่มปรากฏของปัญหา” และกล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่ได้มีนัยสำคัญเชิงการวินิจฉัยหรือการรักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ต้องการแสดงให้เห็นถึงกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ที่เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะมีความเสี่ยง”

แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Osteopenia [2025, July 29] โดย ชฎาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์

อ่านตรวจทานโดย ศ. คลินิก พญ. ศิราภรณ์ สวัสดิวร