กระดานสุขภาพ

เป็นเริมที่หัวหน่าวคะ
Sasi*****n

15 มกราคม 2565 22:24:05 #1

เป็นเริมที่หัวหน่าวมีตุ่มน้ำใสๆ​ แล้วไปบีบตุ่มน้ำมันเลยแตกและกระเด็นเข้าตาคะ​ กลางลูกตาเลย​ ตอนกระเด็นเข้ารู้สึกแสบตานิดๆ​ และรีบไปล้างตาด้วยน้ำเปล่าและโฟมล้างหน้า​ แต่ไม่ได้ล้างแบบลืมตาใส่น้ำนะคะ​ อยากทราบว่าดวงตาจะติดเชื้อเริมจากน้ำในตุ่มเริมกระเด็นเข้าตาได้มั้ยคะ

อายุ: 34 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 46 กก. ส่วนสูง: 153ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.65 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

31 มกราคม 2565 05:35:07 #2

เริม หรือ โรคเริม (Herpes simplex) เป็นโรคทางผิวหนังที่พบบ่อยอีกโรคหนึ่ง พบได้ในทุกอายุ แต่พบได้บ่อยกว่าในวัยหนุ่มสาวและในวัยผู้ใหญ่ โอกาสเกิดโรคใกล้ เคียงกันทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย และจัดเป็นโรคติดต่อ
 
โรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชื่อ เฮอร์ปี ซิมเพล็กไวรัส หรือ เรียกย่อว่า เอชเอสวี (Herpes simplex virus, HSV) ซึ่งเป็นไวรัสต่างชนิดกับโรคงูสวัดและโรคอีสุกอี ใส ถึงแม้จะก่อให้เกิดตุ่มน้ำกับผิวหนังได้คล้ายๆกัน
ไวรัส เอชเอสวี มี 2 ชนิด คือ ชนิด 1 (HSV-1) และชนิด 2 (HSV-2) โดย เอช เอสวี-1 มักเป็นสาเหตุติดเชื้อในช่องปากและริมฝีปาก ส่วนเอชเอสวี-2 มักเป็นสาเหตุติดเชื้อในอวัยวะเพศภายนอกและในช่องคลอด แต่ทั้งสองชนิดอาจเป็นสาเหตุติดเชื้อกับเนื้อเยื่อส่วนไหนก็ได้เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น ดวงตา เยื่อหุ้มสมอง และสมอง
โรคเริมติดเชื้อ/ติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มแผลที่เป็นโรค จากน้ำ จากตุ่มพอง จากน้ำลาย จากสารคัดหลั่ง จากเมื่อใช้ของใช้ร่วมกัน การจูบ การกิน จากมือติดโรคป้ายตาจึงเกิดโรคที่ตา และเมื่อเกิดกับอวัยวะเพศ จะก่อให้เกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (บ่อยครั้งคนที่เกิดโรคมีอาการน้อยมาก จึงไม่รู้ว่าเป็นโรค) และติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ขณะคลอด ถ้าขณะคลอดมารดาติดเชื้อนี้ที่อวัยวะเพศ
เมื่อติดเชื้อเริมมักไม่มีอาการอะไร แต่เชื้อจะอยู่ในตัวตลอดชีวิต ในปมประสาท รอจนเมื่อร่างกายอ่อนแอลงจึงแสดงอาการ
โรคเริมเป็นแล้วเป็นอีกได้เรื่อยๆ บางครั้งอาจเกิดถึงปีละ 3 ครั้ง แต่จะค่อยๆห่างไปเมื่อสูงอายุขึ้
โรคเริมในช่องปากหรือที่ริมฝีปากมักเกิดอาการตามหลังช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่ำ เช่น อาการเครียด พักผ่อนน้อย อ่อนเพลีย ถูกแสงแดดจัด หลังผ่าตัด หรือช่วงมีประจำเดือน
 
อาการสำคัญของโรคเริมคือ การเกิดตุ่มพองเล็กๆเจ็บ ต่อมาเกิดเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็วภายใน 1 - 2 วัน ในตุ่มมีน้ำใสๆ ตุ่มมักเกิดเป็นกลุ่มๆ ลักษณะตุ่มคล้ายของโรคงูสวัดและตุ่มโรคอีสุกอีใส แต่เกิดในตำแหน่งและมีการแพร่กระจายของตุ่มผิดกัน อาการเป็นอยู่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์และหายเองได้
ก่อนหน้าเกิดตุ่มพอง อาจอ่อนเพลียแต่ไม่มีอาการอื่น จึงมักไม่รู้ตัวว่า ติดโรค หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดนำก่อน 1 - 3 วันเช่น ไข้สูง หรือ ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว และเมื่อเกิดในปากอาจกินอาหารแล้วเจ็บทำให้กินได้น้อย ผอมลง
โรคเริมหายได้เองภายใน 1 - 2 สัปดาห์ แต่เมื่อรักษาด้วยยาต้านไวรัสมักช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น อย่างไรก็ตามหลังหายแล้วมักไม่เกิดเป็นแผลเป็น
 
การดูแลตนเองเมื่อเกิดโรคเริมและการพบแพทย์ได้แก่
การพักผ่อน
รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ป้องกันการติดเชื้อในเนื้อ เยื่อ/อวัยวะอื่นๆและสู่ผู้อื่น
แยกของใช้ เครื่องใช้ ส่วนตัว รวมทั้งแก้วน้ำและช้อน
ดื่มน้ำสะอาดมากๆอย่างน้อย 6 - 8 แก้วต่อวันเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม เช่น โรคหัวใจล้มเหลว
รักษาความสะอาดบริเวณตุ่มพอง และเครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ตัดเล็บให้สั้น ป้องกันการเกา และตุ่มน้ำติดเชื้อจากการเกา
เมื่อเกิดโรคบริเวณอวัยวะเพศ ควรสวมใส่เสื้อผ้า กางเกงใน ที่หลวมสบาย และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ช่วงนั้น
กินยาบรรเทาปวดพาราเซตามอลและยาบรรเทาอาการคัน โดยปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยากินเองเสมอเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
รีบพบแพทย์เมื่อ
ตุ่มพองลุกลามมาก
ไข้สูง ไข้ไม่ลงภายใน 1 - 3 วัน (ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ)
เริ่มมีอาการทางดวงตา เช่น เริ่มเจ็บตา เคืองตา น้ำตาไหล
ตุ่มน้ำเป็นหนอง เพราะต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งควรให้ยาโดยแพทย์
เมื่อกังวลในอาการ
รีบพบแพทย์ฉุกเฉินเมื่อมีไข้สูงร่วมกับปวดศีรษะมาก แขน/ขาอ่อนแรง ชัก และ/หรือโคม่า