กระดานสุขภาพ
ปวดอัณฑะ | |
---|---|
20 มกราคม 2562 14:14:14 #1 ผมรุ้สึกปวดไข่ หน่วงๆ ตอนผมแบกเพื่อนขึ้นหลังผม ขณะแบกขึ้น รุ้สึกมันปวดเชิงระหว่างขา เส้นตึงปวดจี๊ด สักพัก เริ่มปวดไข่ เรื่อยๆ จนเดินไม่ไหว ต้องนั่งไข่รุ้สึกร้อนปวด และหลังจากนั้นก้ไปหาหมอได้รับยาเม็ดเหลืองๆทรงไข่จากหมอให้กิน ก้หายครับ และต่อมาที่ทำงาน ผมมักจะเดินและยกของบ่อยๆ รุ้สึกหน่วงๆที่ไข่เช่นกันแต่ปวดเบาๆ ตอนทำงานไม่ค่อยมีเวลาเข้าห้องน้ำ จะอีกทีก็4-5ชม. เวลาฉี่รุ้สึกร้อนปลายนิดๆแสบน่อยๆครับ เป้นเพราะไรและรับยาอะไรดีครับ ? เพราะผมต้องทำงานและจะเจอปัญหานี้อีกแน่ |
|
อายุ: 21 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 52 กก. ส่วนสูง: 167ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.65 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
22 มกราคม 2562 11:16:31 #2 ในถุงอัณฑะ จะประกอบด้วยลูกอัณฑะ ที่บริเวณส่วนหัวจะมีส่วนที่ทำหน้าที่สร้างน้ำเชื้อ ท่อส่งน้ำเชื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทอยู่รวมกัน เรียกว่า spermatic cord ซึ่งสามารถคลำได้เป็นเส้นหรือเป็นก้อนเล็กๆ มีความยืดหยุ่น และเนื่องจากเส้นนี้อยู่ติดเข้าไปในช่องท้อง ถ้ามีการดึงรั้ง อาจทำให้เสียวถึงในช่องท้องได้ ในกรณีของคุณที่ยกของหนัก ทำให้มีความดันในช่องท้องสูงขึ้นจากการเกร็งหน้าท้อง อาจจะทำให้มีการดึงรั้งของลูกอัณฑะและทำให้ปวดได้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการยกของหนักจนกว่าจะหายเป็นปกติ ส่วนเรื่องปัสสาวะแสบๆที่ปลายนั้น อาจจะเกิดจากระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบแบ่งเป็น 1 ร่วมกับการมีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ น่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือกามโรค ที่พบบ่อยคือ หนองใน (แท้) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ไนซีเรีย โกโนคอคไค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ) ที่ดีที่สุดคือยาฉีด ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเข็มเดียว ได้ผลร้อยละ 95 ขึ้นไปครับ ส่วนหนองในเทียม เกิดจากเชื้อหลายชนิด ที่พบมากคือเชื้อคลามัยเดียและมัยโคพลาสมา ที่สำคัญคือประมาณ 10 % ยังไม่ทราบสาเหตุ รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)ที่ได้ผลดีคือ ด็อกซี่ซัยคลีน หรือ อิริโทรมัยซิน กินประมาณ 1-2 อาทิตย์ ในปัจจุบันมียาที่กินครั้งเดียว คือ อะซิโทรมัยซิน 1 กรัม แต่จะได้ผลน้อยกว่า ในกรณีที่เป็นๆหายๆ โดยทั่วไปมักเกิดจากการไปติดเชื้อใหม่ จากคู่นอน ซึ่งในผู้หญิงไม่ค่อยมีอาการผิดปกติและไม่รู้ว่าเป็นโรค เพราะฉะนั้นต้องรักษาทั้งคู่ครับ อย่างไรก็ตามพบว่าประมาณร้อยละ 50 อาจมีการติดเชื้อร่วมกัน คือเป็นทั้งหนองในแท้และเทียม ก็ต้องรักษาทั้ง 2 โรคคือ ทั้งฉีดและกิน 2 ไม่มีความเสี่ยง ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จากการกลั้นปัสสาวะนานๆ หรือมีนิ่วในไต เป็นต้น แนะนำหาหมอระบบสืบพันธ์และทางเดินปัสสาวะครับ |
Anonymous