กระดานสุขภาพ

คันรูทวารหนัก
Winn*****r

3 มิถุนายน 2561 21:44:43 #1

มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักครั้งแรกเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว อีกฝ่ายป้องกันใส่ถุงยางครับ หลังจากวันนั้นนั้นเริ่มมีน้ำใสๆไหลซึมออกมาเล็กน้อยระหว่างวัน อาทิตย์ต่อมาเริ่มมีอาการคัน แล้วเกาจนมีเลือดซึมเล็กน้อย ทีนี้จากน้ำใสๆเริ่มมีสีน้ำตาลเล็กน้อยครับ แล้วเริ่มคันหนักขึ้น แล้วเมื่อวานถ่ายแข็งจนมีเลือดออกมา แต่ซักพักก็ปกติครับ วันนี้ถ่ายอีกรอบก็มีเลือดออกมาอีก อยากสอบถามว่าเป็นอาการของโรคติดต่ออะไรหรือเปล่าครับ หรือเกิดจากการฉีกขาดเฉยๆครับ ตอนนี้คอยใช้กระดาษทิชชู่ซับระหว่างวัน และล้างด้วยน้ำเปล่าเฉยๆ ควรซื้อยาอะไรมาทาหรือเปล่าครับ 

อายุ: 22 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 64 กก. ส่วนสูง: 173ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.38 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

4 มิถุนายน 2561 17:48:53 #2

  • ถ้าแน่ใจว่าใส่ถุงยางตั้งแต่ก่อนที่จะมีการสัมผัสและก่อนที่จะมีการสอดใส่ทางทวารหนัก ถุงยางไม่รั่งไม่ฉีกขาด ก็ไม่น่าจะเป็นโรคจิดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการฉีกขาดของเนื้อเยื่อรอบๆทวารหนักจากการเสียดสีขณะร่วมเพศ ทำให้มีเลือดออก แนะนำให้ล้างหรือทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือล้างแผลที่ซื้อตามร้านขายยา ล้างบ่อยๆอย่างน้อย เช้าและเย็น กินยาแก้อักเสบ เช่น erythromycin ครั้งละ 500 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน แผลก็น่าจะหาย อีกสาเหตุหนึ่งก็อาจจะเป็นริดสีดวงทวาร ทำให้มีเลือดออก แต่ถ้าถุงยางฉีกขาดหรือมีการสัมผัสหรือสอดใส่โดยไม่ใช้ถึง ก็อาจจะเป็นกามโรค คือ 1. โรคที่พบบ่อยคือ เริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น
  • มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผลเจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง
  • 2. แผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง เกิดหลังมีความเสี่ยง 10- 90 วัน แผลจะมีขอบแข็ง ไม่เจ็บ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum รักษาโดยฉีดยา benzathine penicillin 2.4 ล้านยูนิต โรคนี้พบบ่อยในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (เกย์) โดยสรุป ขึ้นกับลักษณะของแผล แนะนำหาหมอหรือส่งรูปถ่ายชัดๆบริเวณที่เป็นแผลมาให้ดูเพิ่มเติมครับ
Winn*****r

4 มิถุนายน 2561 20:44:42 #3

ขอบคุณครับคุณหมอ ใส่ถุงยางก่อนสอดใส่ครับ แต่มีการสัมผัสกันก่อนโดยที่ไม่ได้ใส่ถุงยางครับ รวมถึงมีการออรัลเซ็กส์ให้และสำเร็จความใคร่ภายในปากครับ ทั้งนี้ที่ปากตอนนี้ยังไม่มีอาการใดๆครับ แนบรูปมาให้ในลิงค์ด้านล่างด้วยครับ รบกวนด้วยครับ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/winniebear-44021-1.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/winniebear-44021-2.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/winniebear-44021-3.jpg

Winn*****r

4 มิถุนายน 2561 20:47:05 #4

Winn*****r

4 มิถุนายน 2561 20:55:23 #5

Winn*****r

4 มิถุนายน 2561 21:01:50 #6

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

6 มิถุนายน 2561 06:16:31 #7

ดูจากรูปที่ส่งมา (ไม่ค่อยชัด) เห็นเป็นแผลตื้นๆหลายแห่งรอบๆทวารหนัก เนื่องจากคุณมีการสัมผัสก่อนที่จะมีการสอดใส่ ถ้าคู่นอนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็อาจจะติดต่อกันได้ ลักษณะของแผลที่เป็นอาจจะเป็นเริมหรือการเสียดสีจากการร่วมเพศ แนะนำให้รักษาแบบเริมคือกินยา acyclovir ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชม.(วันละ 5 ครั้ง) นอกจากนี้ควรตรวจเลือดเอดส์และซิฟิลิสโดยใช้สิทธิบัตรทองหรือประกันสังคม ไม่ต้องเสียค่ารวจ อาการของการติดเชื้อเอชไอวีซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ คือ เมื่อรับเชื้อหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงแล้วประมาณ 2-4 อาทิตย์ จะมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นตามตัว คล้ายออกหัด หรือส่าไข้ เป็นต้น หลังจากนั้น อาการต่างๆก็จะหายไป จนเมื่อมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งอาจนานหลายปี (3-5 ปีขึ้นไป) ก็จะเริ่มมีโรคแทรกซ้อน เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ ตุ่มคันตามตัว แขนขา (PPE) น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง ซึ่งสามารถยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดยการตรวจเลือด วิธีที่ตรวจได้เร็วที่สุดหลังมีความเสี่ยงคือการตรวจด้วยด้วยวิธี NAAT คือการตรวจส่วนของเชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถตรวจได้เร็วขึ้น คือประมาณ 1 อาทิตย์หลังมีความเสี่ยง แต่จะมีตรวจเฉพาะห้องแล็บใหญ่ๆและมักใช้ในงานวิจัย เนื่องจากมีราคาแพง แนะนำให้ตรวจด้วยวิธีที่ใช้กันทั่วไป คือ GEN 4 ซึ่งเป็นการตรวจแอนติเจนและแอนติบอดี สามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยงประมาณ 3-4 อาทิตย์ ถ้าผลเป็นลบ ก็แสดงว่าไม่ติดเชื้อ แต่ควรตรวจซ้ำหลังเสี่ยงครบ 3 เดือน ซึ่งถ้าผลเป็นลบ ก็ไม่ติดเชื้อเอดส์

Winn*****r

7 มิถุนายน 2561 09:30:43 #8

ขอบคุณครับ