กระดานสุขภาพ
ต่อมน้ำเหลือง | |
---|---|
29 ธันวาคม 2560 13:05:19 #1 สวัสดีค่ะคุณหมอหนูขอพึ่งคุณหมออีกสักครั้งนะคะ หลังจากที่เคยมาโพสถามคุณหมอหนูได้ไปหาหมอที่ รพ.***** แผนกศัลยกรรมเรื่องต่อมน้ำเหลืองโตที่ขาหนีบ หลังจากเข้าพบคุณหมอก็บอกว่าต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโตหมอพูดมาคำแรกคือ (มันสามารถเกิดขึ้นเองได้คับ) หนูเลยบอกคุณหมอว่าแต่หนูไม่มีบาดแผลที่ขาคุณหมอยังยืนยันคำเดิมคือเกิดขึ้นเองได้ หมอเลยนัดดูอาการ1เดือน พอไปตามนัดถามหมอว่าที่นมสามารถเป็นได้มั้ย หมอบอกไม่มีต่อมน้ำเหลืองแต่ให้ไปทำการเมมโมแกรมดู ฟังผลอีกทีหลังจากไปอัลตราซาวประมาณ 15 วัน นัดรอบสุดท้ายหนูได้ถามหมอว่าต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหนูมันต้องผ่ามั้ยเค้าบอกไม่ต้อง หนูเลยถามทำไมหนูถึงมีหลายเม็ดจังเลยเป็นทั้งสองข้าง ตอนนี้มีที่กกหูซ้าย1เม็ด และที่คอขวาด้านข้าง1ข้างหลัง1 มันโตหลายที่มากมันเกิดจากอะไร แกก็ยังตอบคำเดิมว่ามันเกิดขึ้นเองได้ แล้วหนูถามว่ากกหูละคะเกอดขึ้นจากสาเหตอะไร แกก็บอกต่อมน้ำเหลืองเนี่ยะมันเหมือนชิ้นเนื้อชิ้นนึงถ้ามันจะโตขึ้นมาก็ไม่แปลก -_- คือแกตอบสาเหตไม่ได้เลย หนูเลยถามอีกว่าหนูต้องตรวจเลือดดูเชื้อ Hiv มั้ยคะหมอบอกไม่ต้องคับ แล้วก็เป็นอันจบ ขอถามคุณหมอนะคะ 1.ตกลงมันต้องเกิดจากการอักเสบหรือป่าวคะ หรือมันเกิดขึ้นเองได้ต่อมน้ำเหลือง 2.คำว่าติดเชื้อเฉียบพลันของเอดส์ ถ้ามีอาการป่วยแล้วต่อมน้ำเหลืองต้องโตในระยะเวลาตอนที่มีอาการป่วยมั้ยคะ 3.อยากทราบขนาดของต่อมน้ำเหลืองว่าถ้าติดเฉียบพลันจะมีขนาดเท่าไร 4.แล้วถ้าติดเชื้อเฉียบพลันต่อมน้ำเหลืองจะอักเสบจนเราเจ็บมั้ยคะ 5.จากข้อ 4 เป็นไปได้มั้ยคะว่าอักเสบแล้วเราไม่เจ็บไม่รู้ว่ามันโต 6.แล้วถ้าติดเชื้อเฉียบพลันต้องโตพร้อมกันหลายที่ในเวลาเดียวกันมั้ยคะ เช่นโตพร้อมกันทั้ง กกหู ขาหนีบ และคอ 7.จากข้อ6 มันมีโอกาสที่จะโตไม่พร้อมกันมั้ย 8.หนูลองนับดูตอนมีเพศสัมพันธ์กับแฟนครั้งแรก 8 ตค. แล้วมีอาการป่วยตอน 27พย.เป็นประมาน 2-3วัน หนูมารู้สึกเจ็บต่อมน้ำเหลืองตรงขาหยีบอีกทีตอน 6 กันยา เวลาเกือบปี ยังงี้คือการติดเชื้อมั้ยคะ ปล.สุดท้ายหนูต้องตรวจเลือดมั้ยคะหรือไม่ต้องตรวจตามที่หมอที่ไปหาบอกมา **หนูไปคลีนิคนอกเวลาค่ะ ไม่ค่อยได้คำตอบหรือข้อแก้ไขในใจเลย** |
|
อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 57 กก. ส่วนสูง: 157ซม. ดัชนีมวลกาย : 23.12 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
30 ธันวาคม 2560 01:51:19 #2
|
Anonymous |
30 ธันวาคม 2560 03:40:13 #3
ขอบคุณค่ะคุณหมอ คือถ้ามีการติดเชื้อต่อมน้ำเหลืองจะโตพร้อมกันหมด เช่น คอ ขาหนีบ กกหู ใช่มั้ยคะ ขนาดต้องใหญ่ชัดเจนและเจ็บร่วมด้วยหนูเข้าใจถูกมั้ยจ้า แล้วถ้าในกรณีของหนู ไม่มีอาการป่วยแต่มีต่อมน้ำเหลือง แต่มีสาเหตของแต่ละจุดหนูก็ไม่ต้องกังวลใช่มั้ยคะ เพราะที่คอ และ กกหูไม่มีอาการเจ็บร่วมค่ะ จะมีก็แต่ขาหนีบ ปล.ทุกที่ที่เป็นขนาดไม่เกิน 1 ซม.ที่คุณหมอบอกว่าถ้าเป็นจากการติดเชื้อเวลาเล็กลงจะเท่าหัวแม่มือนี่มันเกิด1ซม.หรือป่าวคะ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
31 ธันวาคม 2560 14:10:37 #4 ตามที่ได้สรุปไปแล้ว เรื่องต่อมน้ำเหลืองโตมีหลายสาเหตุ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอาการร่วมอื่นๆและลักษณะของต่อมน้ำเหลืองที่โต ซึ่งการวินิจฉัยโรคนั้นขึ้นอยู่กับประวัติและการตรวจร่างกายรวมทั้งการตรวจทางห้องแล็บเพิ่มเติม ในกรณีของคุณ เนื่องจากคุณมีความกังวลเรื่องการติดเชื้อเอดส์ซึ่งการติดเชื้อเอดส์นั้นอาจจะมีอาการหรือไม่มีอาการคือติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวก็ได้ จึงแนะนำว่าให้คุณประเมินความเสี่ยงตัวคุณเองคือ ถ้าคุณแน่ใจว่าทั้งตัวคุณและแฟนคุณไม่มีความเสี่ยงคือต่างก็ไม่เคยมีการร่วมเพศกับคนอื่นหรือเคยแต่ใช้ถุงยางทั้งคู่ ก็ถือว่าไม่เสี่ยง ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือด แต่ถ้าไม่แน่ใจหรือเพื่อคลายความกังวลแนะนำว่าควรจะตรวจเลือดตามสิทธิที่มี เช่นบัตรทองหรือประกันสังคม ไม่ต้องเสียค่าตรวจ |
Anonymous |
14 มกราคม 2561 14:32:11 #5
แล้วต่อมน้ำเหลืองตรงขาหนีบทำไมมันถึงไม่ยุบคะหมอ ยังคลำได้อยู่ตลอดขนาด 1 ซม.ยังงี้นี้อันตรายมั้ยคะ
|
Anonymous |
14 มกราคม 2561 14:32:48 #6
รวมทั้ง กกหู และข้างคอด้านขวา ก็ยังคลำเจออยู่ตลอดเวลา
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
16 มกราคม 2561 06:17:57 #7 ตามที่ได้ตอบไปแล้ว ต่อมน้ำเหลืองที่โต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆเดือน ก็จะค่อยๆเล็กลง แต่จะยังสมามารถคลำได้เป็นก้อนเล็กๆขนาด 1-2 ซม. ถือว่าเป็นภาวะปกติของร่างกาย ที่สำคัญคือ การหาสาเหตุว่าทำไมจึงมีต่อมน้ำเหลืองโต ในกรณีของคุณมีความกลัวว่าอาจจะเกิดจากการติดเชื้อเอดส์หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆเช่นซิฟิลิส จึงแนะนำให้ประเมินความเสี่ยง ถ้าคุณแน่ใจว่าทั้งตัวคุณและแฟนคุณไม่มีความเสี่ยงคือต่างก็ไม่เคยมีการร่วมเพศกับคนอื่นหรือเคยแต่ใช้ถุงยางทั้งคู่ ก็ถือว่าไม่เสี่ยง ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือด แต่ถ้าไม่แน่ใจหรือเพื่อคลายความกังวลแนะนำว่าควรจะตรวจเลือดตามสิทธิที่มี เช่นบัตรทองหรือประกันสังคม ไม่ต้องเสียค่าตรวจ ถ้าคุณยังคงมีความกังวลและไม่กล้าไปตรวจ แนะนำปรึกษาจิตแพทย์ครับ |
Anonymous