กระดานสุขภาพ
ทานยาต้านไวรัส แล้วมีอาการผอมดำ แก้มตอบ รบกวนแนะนำด้วยครับ | |
---|---|
15 มกราคม 2560 04:38:51 #1 ผมได้รับเชื้อHIV มาประมาณ5ปีแล้ว. แล้วหมอก็ให้สูตรยาต้าน tenifovir + 3ct + efavirenz. ซึ่งทานไปแรกๆก็จะมีอาการมึน แต่สัก2สัปดา ก็กลับมาเป็นปกติ. ผมก็ใช้ยานี้ติดต่อกันมาเรื่อยๆ โดยไม่มีปัญหาอะไรสุขภาพแข็งแรงดี. หลังจากนั้นสิทธิประกันสังคมผมขาด ก็เลยทำให้ผมขาดยาไป 3 เดือน แล้วกลับมาใช้ สิทธิ30 บาท กับอีก รพ หนึ่ง. จากนั้นคุณหมอก็ตรวจภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ตรวจตา x ray ปอด ก็ปกติทุกอย่าง จึงเริ่มให้ยาต้านไวรัสสูตรเดิม. แต่พอครั้งนี้ผมทานไปได้ประมาณ 3 สัปดาห์ ร่างกายก็ผอมซูบลง แก้มตอบ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งๆที่น้ำหนักตัวคงที่ และผิวก็คล้ำขึ้นอย่างชัดเจน คนรอบข้างทั้งที่บ้านและที่ทำงานก็เริ่มทัก ตอนนี้ผมเครียดมาก รบกวนถามคุณหมอว่าเกิดจากสาเหตุอะไรครับ ถ้ามีการเปลี่ยนสูตรยา จะทำให้ผมกลับมามีเนื้อหนังเหมือนเดิมไหมครับ. รบกวนคุณหมอช่วยตอบทีครับ ตอนนี้เตรยดมากจนไม่กล้าไปทำงานแล้วครับ |
|
อายุ: 30 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 52 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.99 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Anonymous |
15 มกราคม 2560 13:32:00 #2
ผมรบกวน เจ้าของกระทู้ ขอ ถามหน่อยได้ไหมครับ ว่า
ไปเสียง มาแบบไหน แล้ว ทำไมถึงได้ตรวจ hiv มีอาการ อะไรถึงตรวจ
แล้วตรวจนานไหม ถึงจะเจอเชื้อ
|
Anonymous |
15 มกราคม 2560 13:35:37 #3
คือตัวผมเคยไปเทียวมา ใส่ถุงยาง แต่มีการจูบแลกลิ้น อม สด แล้วก็มีอะไรกับแฟน แบบไม่ป้องกัน
ตอนนี้ผมมี อาการถ่ายวันละครั้งแต่ถ่ายเหลว เยื้อบุตาอักเสบ ลิ้นขาว กล้ามเนื้อกระตุกทั้งตัวแล้วแต่มัน เรอบ่อย ใต้ลิ้นมีตุ่ม ตามตัวมีตุ่มแดงไม่คันแต่ไม่เยอะ
|
Anonymous |
15 มกราคม 2560 13:40:02 #4
ตั้งแต่มี อาการจน วันนี้ ผมยังมี อาการ และยังมีเพศสีมพันกับแฟนแบบไม่ป้องกัน เพราะแต่งงานแล้ว
ผมตรวจ hiv ทุกเดือน ด้วย ผลก็ ปกติทุกครั้ง
แต่อาการไม่หาย แฟนก็เรอบ่อย เป็นนั้น เป็นนี่
เลยกังวัล ว่าจะตรวจไม่เจอ เลยขอถาม จาดคุณ เจ้าของประทู้ ช่วย ทีนะครับ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
18 มกราคม 2560 03:39:31 #5 การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ คือการกินยาไวรัสเพื่อยับยั้งการแบ่งตัวและทำให้ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเลือด ในกรณีของคุณที่กินยา tenofovir + 3ct + efavirenz ถือว่าเป็นสูตรยามาตรฐานและได้ผลดีในการรักษาโรคเอดส์ อย่างไรก็ตาม การที่คุณขาดยาไป 3 เดือนหลังจากที่กินมา 5 ปี อาจจะส่งผลให้เชื้อเกิดการดื้อยาได้ แนะนำว่าให้ปรึกษากับแพทย์ที่ดูแล อาจจะต้องมีการตรวจดูภาวะภูมิคุ้มกัน คือ CD4 และตรวจวัดจำนวนไวรัสในเลือดหรือที่เรียกว่า Viral load ซึ่งถ้าพบว่า CD4 ต่ำ หรือมีไวรัสในเลือดปริมาณสูง ก็แสดงว่าเกิดการดื้อยา อาจจะต้องพิจารณาเปลี่ยนสูตรยา แต่ถ้า CD4 สูงและไวรัสในเลือดต่ำหรือตรวจไม่พบ ก็สามารถกินยาต่อได้ โดยสรุป แนะนำรักษาต่อเนื่องและปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นครับ |
Anonymous