กระดานสุขภาพ
เป็นอะไรคะคุณหมอช่วยด้วยนะคะ | |
---|---|
13 ธันวาคม 2558 08:54:47 #1 http://haamor.com/media/images/webboardpics/649ed-26096-1.jpg http://haamor.com/media/images/webboardpics/649ed-26096-2.jpg ตอนแรก มีตุ่มรอยคันๆ ที่ใต้ซอกนิ้วเท้านิ้วนางข้างขวาเหมือนตาปลาแต่มีสีแดงๆ เจ็บๆคันๆ ซักพักมีอาการคันมาก พอวันต่อมา เริ่มตุ่มขึ้นเป็นน้ำอักเสบเจ็บๆ และมีเพิ่มรอยเพิ่มอีกตรงบนนิ้วนาง เป็นน้ำๆรอยแดงๆเจ็บๆคันๆ และมีอาการคันมากในเล็บ พอดูก็มีตุ่มแดงๆคันๆเจ็บๆในเล็บอีกคะ เป็นทุกนิ้วเท้าและบางเล็บมีตุ่มรอยแดงมีน้ำๆ คันมาก ไม่ได้ไปทำอะไรรองเท้าก็ไม่ได้ใส่ไปไหนอยู่ที่บ้านเป็นมา2วันคะ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมคะ อาการนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน |
|
อายุ: 25 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 50 กก. ส่วนสูง: 150ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.22 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Anonymous |
13 ธันวาคม 2558 15:58:45 #2
ส่งรูปไปทางอีเมล์แล้วนะคะ คุณหมอ ขอบพระคุณคะ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
17 ธันวาคม 2558 03:06:15 #3 ดูจากรูปที่ส่งมา เห็นเป็นรอยแดงๆที่บริเวณนิ้งเท้า และที่ผิวหนังรอบๆเล็บมีรอยแดงๆและเป็นแผลตื้นๆ จากอาการที่เล่ามา อาจจะมีสาเหตุ เช่น 1. เกิดจากการแพ้ การสัมผัสสารที่แพ้ เช่น น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาขัดห้องน้ำ ผงซักฟอก ทำให้เกิดอาการคัน เมื่อเกา ก็จะเป็นตุ่มน้ำใสๆและ แตกเป็นแผลได้ ให้หลีกเลี่ยงสารที่สงสัยว่าจะแพ้ กินยาแก้แพ้แก้คัน เช่น atarax ครั้งละ 10 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น ทายาแก้แพ้ เช่น bethamethasone ก็จะมีอาการดีขึ้นใน 1-2 อาทิตย์ และต้องระวังอย่าให้สัมผัสสารที่สงสัยว่าจะแพ้ เพราะอาจเป็นอีกได้ 2. อาการที่มีการอักเสบของต่อมเหงื่อหรือมีความผิดปกติของต่อมเหงื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการคันและเป้นตุ่มน้ำใสๆ ใต้ผิวหนัง รักษาเช่นเดียวกับการแพ้ แต่อาจจะเป็นๆหายๆได้ 3. เชื้อรา ซึ่งจะมีสาเหตุจากการสัมผัสน้ำเป็นเวลานานและต่อเนื่อง ผิวหนังจะเปื่อยและจะมีอาการผิวหนังลอกข้างๆเล็บ ซึ่งถ้าทิ้งไว้นาน ก็อาจจะเป็นเชื้อราที่เล็บ การรักษา ใช้ยากินพร้อมยาทาเชื้อรา ซึ่งควรจะพบหมอโรคผิวหนัง 4.โรคผิวหนังอื่นๆ โดยสรุป มีสาเหตุทีเป็นไปได้ตามที่กล่าวข้างต้น การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ แนะนำหาหมอผิวหนัง เพราะจะต้องดูลักษณะของตุ่มที่เป็นอาจจะต้องมีการขูดผิวหนังเพื่อตรวจดูว่าเป็นเชื้อราหรือไม่ นพ.อนุพงศ์ |
Anonymous