กระดานสุขภาพ

เป็นแผลที่น้องสาว เจ็บแสบมากค่ะ
Benz*****9

29 เมษายน 2562 13:56:11 #1

มีแผลขึ้นที่อวัยวะเพศตอนแรกเป็นแผลเล็กๆคิดว่าเกิดจากอาบน้ำแล้วเล็บไปเกี่ยวพอ3-4 วันผ่านไปเริ่มเจ็บ พอผ่านเกือบอาทิตย์ให้แฟนส่องดูให้เป็นแผลใหญ่ เพิ่มขึ้นอีกหลายแผล เวลาโดนน้ำหรือปัสวะจะแสบๆ ก่อนหน้าตอนนี้ก็มีปวดตัวบ้าง และมีไข้บ้าง แผลเกิดจากอะไรค่ะ (ก่อนหน้าที่จะเล็บไปเกี่ยวก็ได้มีอะไรกับแฟนค่ะแต่ไม่มีอาการอะไรเป็นไปได้ไหมค่ะว่าพอเราเกิดแผลแล้วเชื้อไวรัสจากเพศสัมพันเข้าเกิดปฏิกิริยาเมื่อเราเป็นแผล)

http://haamor.com/media/images/webboardpics/Benz1199-48072.jpg

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 48 กก. ส่วนสูง: 155ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.98 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Benz*****9

29 เมษายน 2562 14:23:45 #2

เป็นไปได้ไหมค่ะว่าเป็นแผลริมอ่อน แล้วมีวิธีรักษายังไงบ้างค่ะตอนนี้อยู่ ต่างประเทศไม่ค่อยรู้อะไรมากเลยค่ะ
Benz*****9

29 เมษายน 2562 14:25:39 #3

ตอนนี้ก็มีกินยาแก้ปวด ลดไข้ ไปด้วยเพราะเจ็บๆแสบๆที่แผลเวลาเดินหรือนั่ง กับบางวันก็เหมือนจะเป็นไข้ กินยาไปจะมีผลอะไรไหมค่ะ
Benz*****9

29 เมษายน 2562 14:42:30 #4

มันเป็นโรคร้ายแรงไหมค่ะ ตอนนี้เครียดมากเลย กลัวเป็นอะไรร้ายแรงเพราะไม่เคยเป็นมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก กังวลมากร้องไห้เลยค่ะ
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

30 เมษายน 2562 02:18:49 #5

จากรูปที่เห็นคุณมีแผลลักษณะคล้ายแผลร้อนในอยู่กันเป็นกลุ่ม ก้นแผลมีลักษณะสกปรกคล้ายเป็นหนอง ลักษณะรอยโรคดังกล่าวเข้าได้กับการติดเชื้อเริมค่ะ ซึ่งการติดเชื้อเริมนั้นหรือโรคเริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อไวรัส herpes simplex ซึ่งจะทำให้เกิดรอยโรคลักษณะดังกล่าว โดยช่วงแรกคุณจะมีลักษณะแผลเป็นตุ่มน้ำใสก่อนเมื่อตุ่มน้ำแตกออกก็จะทำให้เกิดก้นแผลมีลักษณะสกปรกดังที่เห็น และคุณจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป คือมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัวและอาจจะมีต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณขาหนีบโต มีอาการเจ็บแสบที่บริเวณแผลเมื่อไปสัมผัส หรือโดนน้ำ หรือปัสสาวะก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้มาก โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น คุณควรจะต้องให้แฟนตรวจที่อวัยวะเพศตนเองด้วยว่ามีรอยโรคดังกล่าวหรือไม่ เพราะจะต้องได้รับการรักษาพร้อมกัน การรักษานั้นแพทย์จะให้คุณรับประทานยากลุ่มอะไซโคลเวียร์ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อไวรัส มีทั้งชนิดรับประทานและทาภายนอก ที่สำคัญคุณจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงความอับชื้น โดยการใช้ผ้าอนามัยแผ่นบางและเปลี่ยนทิ้งให้บ่อยทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำเติม โรคนี้แม้ไม่รักษาก็สามารถหายได้ด้วยตนเองใช้เวลานานประมาณ 10 ถึง 14 วันแต่การรักษาจะช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ดีมากกว่า ดังนั้นควรจะไปพบแพทย์ เพื่อไปรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาจะดีที่สุดค่ะ จะได้ไม่ลุกลามหรือกระจายไปมากขึ้นค่ะ

Benz*****9

30 เมษายน 2562 23:19:20 #6

ขอบคุณค่ะ ตอนนี้เข้าไปพบแพทย์แล้วค่ะ