ในกรณีที่คุณมีรอบเดือนมาไม่ตรงตามปกติ ขาดหายไปนาน สาเหตุน่าจะเกิดจากการทำงานของรังไข่ที่ไม่ปกติ เช่น ภาวะไข่ไม่ตกหรือเป็นกลุ่มอาการของถุงน้ำที่รังไข่ จึงทำให้ไม่มีรอบเดือนมา เพราะเมื่อไข่ไม่ตกจะทำให้ไม่มีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมาเปลี่ยนให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกสุกและหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกจึงมีความหนาตัวมากไปเรื่อยๆ การรักษานั้นมีหลายวิธี การที่แพทย์ให้คุณรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถรักษาได้ แต่ยาคุมจะมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ด้วยซึ่งอาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อรับประทานยา อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนปวดศีรษะได้โดยเฉพาะถ้าเป็นยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงถึง 30-35 ไมโครกรัม แต่ถ้าทานยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำเพียง 15 ถึง 20 ไมโครกรัม อาการคลื่นไส้อาเจียนดังกล่าวก็จะหายไป แต่อาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงคือเลือดออกผิดปกติกระปริบกระปรอยได้มากขึ้น เมื่อคุณทนอาการข้างเคียงไม่ไหว คุณเลยเปลี่ยนไปทานยาคุมยี่ห้อ ซีราเซท แทนซึ่งยาคุมยี่ห้อนี้เป็นยาคุมที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนเพียงอย่างเดียว ซค่งแนะนำให้ใช้ในคนที่กำลังให้ลูกกินนมแม่อยู่หรือเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะยาคุมชนิดนี้ไม่มีเอสโตรเจนจึงไม่มีผลต่อการหลั่งน้ำนม แต่ในคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ให้นมบุตรจะไม่ได้ให้กินยาคุมยี่ห้อนี้ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงคือเลือดออกผิดปกติกะปริบกะปรอยได้ และถ้าลืมทานยาก็จะมีความเสี่ยงในเรื่องของการตั้งครรภ์เช่นกันแต่ถ้าระหว่างทานนั้นคุณไม่เคยลืมทานยาเลยจะไม่มีการตั้งครรภ์อย่างแน่นอนค่ะ หมอแนะนำว่าคุณควรเปลี่ยนยาคุมกำเนิดเป็นชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เช่น ยาคุมที่มีเอสโตรเจน 15-20 ไมโครกรัม ลองปรึกษาเภสัชกรตามร้านขายยาดูเพราะจะทำให้คุณไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนปวดศีรษะ แต่ต้องระวังอาการข้างเคียงอื่นคือคุณอาจจะมีเลือดออกผิดปกติกระปิดกระปอยทางช่องคลอดได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้คิดป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยการทานยาคุมกำเนิด ก็อาจจะเลือกทานยาโปรเจสโตรเจนแทน ซึ่งจะทำให้รอบเดือนเป็นปกติได้เช่นกัน ทานเดือนละ 10 เม็ดไปเรื่อยๆ เดือนละครั้งทานในช่วงเวลาเดียวกันของทุกวันและทุกเดือน เช่น ทานทุกวันที่ 1 ของ 10 ของเดือนทุกๆเดือน ช่วง 20.00 น. แต่ยาฮอร์โมนโปรเจสโตเจนนี้จะไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์คุณจะต้องสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย ถ้าไม่แน่ใจในคำอธิบายข้างต้นหมอแนะนำว่าคุณควรมาพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลตนเองให้ถูกต้องต่อไปจะดีที่สุดค่ะ