กระดานสุขภาพ
ปรึกษาเรื่องจะท้องมั้ยครับ | |
---|---|
4 ตุลาคม 2560 01:53:30 #1 คือมีอะไรกับเเฟนในวันที่29/9ครับเเล้วใส่ถุงด้วยเเต่เเฟนไม่มั่นใจเรยไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมากินด้วยครับในวันที่30/9เเล้วที่เคยอ่านเจอมาครับคือถ้ากินยาคุมฉุกเฉินเเล้วจะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยเเต่นี้วันที่4เเล้วครับเลือดของเเฟนก้ไม่ออกมันจำเป็นทุกคนมั้ยครับว่าจะมีเลือดออกเวลากินยาคุมฉุกเฉิน ปกติประจำเดือนเเฟนจะมาช่วงวันที่ 13 14 15 ของเดือนครับเเล้วมันจะมาช้าหรือเร้วยังไงครับตอนใส่ถุงถุงก้ไม่เเตกครับ ลองเอาน้ำใส่เเล้วมันก้ไม่มีน้ำรั่วครับเเบบนี้จะท้องมั้ยครับกลัวมากครับวอนหมอช่วยตอบด้วย ขอยคุนครับ |
|
อายุ: 18 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 76 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 26.30 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Oshi*****u |
4 ตุลาคม 2560 09:57:34 #2 ยาคุมฉุกเฉินคือฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนในขนาดสูง หลังทานยา ยาจะไปออกฤทธิ์ที่บริเวณผนังเยื่อบุโพรงมดลูกทำให้มีความไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อนและทำให้เกิดการลอกหลุดของผนังเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาเป็นประจำเดือนหรือเป็นเลือดที่ออกผิดปกติทางช่องคลอด อย่างไรก็ตาม ไม่เสมอไปที่สตรีที่ทานยาทุกคนจะต้องมีเลือดออกผิดปกติบางรายก็อาจจะไม่มีเลือดออกมาก็ได้และอาจจะทำให้รอบเดือนถัดไปมีความคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน ดังนั้น จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าถ้ารอบเดือนไม่มาหรือไม่มีเลือดออกผิดปกติใน 7 วันจะต้องมีการตั้งครรภ์ ในกรณีที่คุณทานยาอย่างถูกวิธีก็ขอยืนยันว่าไม่ควรตั้งครรภ์ ทั้งนี้ จะต้องไม่มีการใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้งเกินไปด้วย เช่น ใช้เกิน 1 หรือ 2 ครั้งต่อเดือน เพราะจะมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์นอกมดลูก คุณสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติไม่มีข้อห้ามในการกินแต่อย่างใด ในกรณีที่เกิดอาการไม่สบายหลังจากทานยาคุมฉุกเฉินคุณสามารถรักษาร่างกายได้ตามปกติ เพราะไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินลดลงไป ในกรณีที่คุณไม่มั่นใจเรื่องการตั้งครรภ์ก็สามารถตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ได้หลังจากมีเพศสัมพันครั้งสุดท้ายไปแล้วนาน 3 สัปดาห์หรือ 21 วันเพราะจะเป็นช่วงที่สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้แน่นอนที่สุดด้วยการตรวจปัสสาวะ โดยปกติแล้วอสุจิจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 วันในช่องคลอดและไข่จะอยู่ได้ประมาณ 2 วัน หมอคิดว่าได้ตอบคำถามคุณหมดแล้วในเรื่องของการออกฤทธิ์ของยาคุมฉุกเฉิน และอายุของอสุจิและไข่ ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ค่อยสอบถามมาใหม่ค่ะ อ่านได้ที่ http://haamor.com/webboard/ห้องเพศศึกษา/38577/ |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
10 ตุลาคม 2560 18:07:47 #3 หากในการมีเพศสัมพันธ์นั้น มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี สวมใส่ถุงยางอนามัยก่อนสอดใส่อวัยวะเพศ ถือว่า เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพครับ ไม่ทำให้ตั้งครรภ์ครับ สบายใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ แต่หากทานไปแล้วอาจส่งผลข้างเคียงของยาได้ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ และ ระหว่างนี้ หากยังไม่แน่ใจว่า เลือดที่ออกเกิดจากประจำเดือนหรือเป็นเลือดผิดปกติ ก็ยังไม่ควรทานยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนไปในช่วงนี้ครับ เพราะจะทำให้สับสนได้มากหากเลือดประจำเดือนผิดปกติหรือไม่มา ส่วนหากต้องการตรวจการตั้งครรภ์เพื่อความสบายใจนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลที่ได้จะน่าเชื่อถือครับ การตรวจก่อนหน้านี้ ไม่สามารถบอกได้นะครับ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ อย่างไรก็ตามหมอขอแนะนำการคุมกำเนิดสักนิดนะครับ หากครั้งต่อๆไปมีเพศสัมพันธ์ที่อาจมีการสอดใส่อวัยวะเพศ ซึ่งการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ คือ การป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย และ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้นครับ และ เรื่องถุงยางอนามัยที่มีปัญหานั้น โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตถุงยางอนามัยนั้น ค่อนข้างรัดกุมมากนะครับ การที่จะขาด รั่ว หรือ ปริแตกนั้นเกิดได้น้อยมากแต่หากเกิดมักเกิดจากการใช้ที่ผิดวิธีครับ ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องนั้น มีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และการใช้ถุงยางอนามัยซ้อนกันมากกว่า 1 ชั้นชึ้นไปนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้ป้องกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ถุงยางมีโอกาสที่จะขาดและปริแตกง่ายขึ้นด้วยจากการเสียดสีกันเองของถุงยางอนามัยครับ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ ส่วนในฝ่ายหญิงหากต้องการคุมกำเนิดด้วย หมอแนะนำให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนะครับ ซึ่งในเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ก็มีวิธีการใช้เหมือนกันครับ คือ เร่ิมทานเม็ดแรกของแผงภายใน 5 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ทานช่วงเวลาไหนก็ได้ ขอให้เป็นเวลาเดิม และ เป็นเวลาที่คาดว่าจะไม่ลืมทาน ซึ่งหากเริ่มทานได้ดังนี้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงใดก็ได้ จะหลั่งด้านในหรือนอกก็ได้ครับ หากทานแบบ 28 เม็ด ก็ให้ทานต่อแผงไปเรื่อยๆ ซึ่งประจำเดือนจะมาช่วง 7 เม็ดสุดท้ายของแต่ละแผง ส่วนหากทานแบบ 21 เม็ด ก็ให้เว้น 7 วัน และเริ่มแผงใหม่ได้เลย โดยระหว่างที่เว้นนี้ จะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาครับ หากมีการลืมทาน หากลืมเพียง 1 เม็ดก็ไห้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ และหากลืมทาน 2 เม็ด ก็ไห้ทานวันที่นึกขึ้นได้พร้อมกับเม็ดที่ต้องทานในว้นนั้นๆไปรวมเป็นสองวันติดกัน แต่หากลืมทาน 2 เม็ด ในช่วงที่เลยกลางรอบเดือนไปแล้ว หรือ มากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ก็ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นๆด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยครับ |
Bell*****2