กระดานสุขภาพ
ปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่น | |
---|---|
22 ตุลาคม 2556 15:12:31 #1 สวัสดีค่ะ คือว่าหนูอยากปรึกษาปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่นของน้องชายหน่อยค่ะ หนูอายุ20ปี เรียนมหาวิทยาลัยปีที่2ค่ะ ส่วนน้องชายอายุ16 เรียนม.4โรงเรียนชายล้วนค่ะ น้องหนูเรียนโรงเรียนชายล้วน เริ่มก้าวร้าวตั้งแต่อายุประมาณ14 รู้มาว่าเขาคบเพื่อนไม่ดีชวนกันกินเหล้าสูบบุหรี่และติดเกมส์ออนไลน์ แอบทราบมาว่าบางครั้งมีเล่นพนันกันในกลุ่มด้วยค่ะ แต่ปัญหาสำคัญคือ เขาเคยกินยาอะไรไม่รู้กลับมาบ้าน สอบถามไปมาเขาบอกชื่อยาB5 ซื้อจากร้านทำฟัน กินคู่กับน้ำอัดลม แล้วก็เหมือนทำให้เขาไร้สติ พูดจาไม่รู้เรื่องกับคนรอบข้างไปเลยค่ะ ต้องรอข้ามคืนถึงจะหาย พาไปหาเภสัชกรที่เพื่อนแนะนำมา เภสัชฯเขาก็ถามๆน้อง จนน้องสารภาพว่า ยาB5นี้กินครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้มีการกินยาแก้ไอชนิดน้ำผสมน้ำอัดลมกันกับเพื่อนๆมาโดยตลอด โดยอ้างว่าทำให้ตื่นเช้าไปเรียนแล้วไม่ง่วง พี่เภสัชฯก็บอกว่าพฤติกรรมการรับประทานยาแบบนี้จะทำลายสมอง ขอให้เลิก เขาก็สัญญาค่ะว่าจะเลิก หลังจากนั้นหนูและพ่อแม่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรอีก เพราะพี่เภสัชขอไว้ว่าอย่าไปเซ้าซี้ระแวงถามเขา จะยิ่งทำให้เขากลับไปกินเพราะคิดว่าเราไม่ไว้ใจ แต่เมื่อ3-4วันก่อน แอบเปิดกระเป๋าเขาดู พบยาแก้ไอชนิดน้ำ(จำยี่ห้อไม่ได้)อยู่ในกระเป๋า หนูก็รีบขึ้นมาถามทันทีว่ายังกินอยู่ไหม เขาก็บอกว่าเลิกแล้ว หนูจึงพูดไปว่าเจอยาในกระเป๋า เขาก็หงุดหงิดใส่เป็นอย่างมาก ไม่อยากคุยด้วย บอกแต่อย่ามายุ่ง และยอมตอบแค่ ก็กินบ้างเป็นครั้งคราวแค่นั้น จากนั้นหนูถามอะไรเขาก็เงียบอย่างเดียว น้องชายชอบกลับบ้านมืดต้องให้แม่คอยโทรตามตลอด พูดจาก้าวร้าว เวลาโดนดุว่าทีก็จะหงุดหงิดใส่ ตวาดกลับตลอด พอหนูพยายามคุยด้วยเหตุผล พยายามอธิบายให้เขาฟัง พูดให้เขาคิด เขาก็เหมือนจะไม่เปิดรับ และทำให้หนูรู้สึกได้ว่าเขาไม่คิดเลย ยกตัวอย่างเหตุการณ์นะคะ น้องขอแม่ออกไปข้างนอกหาเพื่อน แม่ก็ไม่ให้ไปเพราะเขาชอบกลับบ้านผิดเวลา โทรตามทีไรก็โกหกนั่นโกหกนี่จนแม่ไม่รู้ว่าจริงๆออกไปไหนและอยู่กับใครกันแน่ ต่อมาเขาจึงออกจากบ้านโดยไม่ขอ(ช่วงปิดเทอมน่ะค่ะ พ่อกับแม่ไปทำงานมีหนูอยู่บ้านกะเขาและคุณย่าแค่3คน) ขนาดอธิบายไปยาวมากว่าทำไมแม่ไม่ให้ออกจากบ้านเพราะน้องชอบกลับบ้านดึกและชอบโกหก เขาก็เถียงกลับมาว่า เวลาจะขอกลับดึกก็ไม่ได้อยู่แล้วจึงต้องโกหกว่าจะกลับเร็ว และเวลาขอแม่ก็ไม่เคยอนุญาติต่อไปจะออกข้างนอกก็จะไม่ขอแล้ว ทำให้หนูเครียดมากเลยค่ะว่าเขาไม่ได้ฟังหนู หรือเขาไม่อยากคิด หรือเขาคิดไม่ได้? เกี่ยวข้องกับการทานยาของเขาที่พี่เภสัชบอกว่าจะทำลายสมองไหมคะ? และหนูควรทำอย่างไรดีคะ เพราะทั้งหนูและแม่พยายามทุกทางแล้ว พูดดีๆอธิบายเหตุผลก็แล้ว บางครั้งเขาก็หงุดหงิดกลับมาจนทำให้เราอารมณ์ขึ้นใส่ไป เคยเรียกมาคุยว่าเปิดอกกันไหม ไม่พอใจอะไร มีปัญหาอะไร เขาก็ไม่ยอมพูดเลยค่ะ เคยมีครั้งหนึ่งเขารักแฟนเขามาก บอกจะเป็นคนดีเพื่อแฟนเขา (สังเกตุเห็นชัดเจนว่าน้องเบื่อหน่ายที่บ้านมากและรักเพื่อนรักแฟนยิ่งกว่าครอบครัวเสียอีกค่ะ แต่ข้อนี้หนูพยายามทำความเข้าใจว่าเป็นวัยของเขา) แต่ต่อมาแฟนเขาก็ขอเลิกเพราะทนไม่ไหวที่น้องหนูชอบโกหก เวลาไปไหนกับใครก็ไม่ยอมบอกความจริง (หนูเคยคุยกับแฟนของน้อง ทราบมาว่าแฟนน้องก็ไม่ชอบเพื่อนของเขากลุ่มนี้เหมือนกันค่ะ) พอแฟนเลิกไปก็เหมือนเขาหมดกำลังใจจะทำความดี กลับมาเป็นคนกลับบ้านมืดดึกและชอบโกหกพ่อแม่เหมือนเดิม เขาชอบพูดบ่อยๆว่าไม่อยากให้ใครมายุ่ง ไม่อยากอยู่บ้านนี้แล้ว ไม่ต้องสนใจเขาได้ไหม เวลาว่าแรงๆเข้าเขาก็จะสวนกลับมาว่า เขาก็ไม่ได้อยากเกิดมานักหรอก เขาไม่ได้อยากมีครอบครัวแบบนี้ และเวลาต่อว่าเพื่อนเขาเขาก็จะปกป้องตลอดค่ะ บอกแต่ว่าเขาไม่ดีเองไม่เกี่ยวกับเพื่อน หนูกับแม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หนูเคยคุยๆกับแม่ว่าให้ลองพาน้องไปพบจิตแพทย์ดีไหม แม่ก็ไม่ยอมบอกว่าน้องไม่ได้เป็นอะไร และก็กลัวน้องจะคิดว่าพวกเรามองเขาบ้าด้วยค่ะ หนูจึงไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ ขอคำแนะนำจากคุณหมอหน่อยนะคะ ขอบคุณในความกรุณาค่ะ |
|
อายุ: 16 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 44 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 15.59 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ. ทรงภูมิ เบญญากรจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น |
24 ตุลาคม 2556 14:07:23 #2 คุณเป็นพี่ที่น่ารักมาก ๆ ครับ ทุ่มเทในการดูแลน้องชายมากหมอขอสรุปเป็นสามประเด็นนะครับ 1) เรื่องยาไม่ว่ายาแก้ไอหรือยา B5 (น่าเป้นยาคลายกังวล) วัยรุ่นชอบลองครับ เหมือนกับน้ำกระท่อมที่เป้นข่าวอยู่ จริง ๆ ยาไม่ได้มีผลกดระบบประสาทจนทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง ยกเว้นว่าจะใช้ในปริมาณมากและเป็นเวลานาน ฝากติดตามอาการนี้ด้วยครับว่าผุ้ป่วยใช้มานานแค่ไหน และโอกาสในการติดน้อยกว่ายาเสพติดชนิดอื่น ๆ มากครับ 2) เรื่องการจัดการอารมณ์น้องในตอนนี้ หมอว่าการแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับและหมอเชื่อว่าคุณคงทำบ่อย ๆ เพียงแต่ว่าน้องคุณอาจยังไม่เข้าใจ แต่ขอให้อดทนและพยายามให้พ่อแม่มาช่วยด้วย ครูที่โรงเรียนก็ต้องรู้เรื่องนี้ด้วย จะได้ช่วยกันดูแลได้ครับ 3) เรื่องพบจิตแพทย์ หมอว่าควรพาไปครับ แต่ต้องบอกน้องก่อนนะครับว่าอยากให้หมอคุยกับเค้าว่าจะวางแผนชีวิตด้วยกันอย่างไร เค้าตั้งเป้าหมายอะไรไว้ในชีวิตเค้าบ้าง และลองทำไปด้วยกัน ถ้าไม่บอกก่อนพาไปเค้าต้องหาว่าเราพยายามให้เค้าเป็นคนบ้า อดทน อดทน อดทน เท่านั้นครับจึงจะผ่านมันไปได้
นพ.ทรงภูมิ เบญญากร |
Anonymous |
26 ตุลาคม 2556 17:03:07 #3 ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะสำหรับคำแนะนำ ประเด็นแรกนะคะ เรื่องการกินยาของเขา หนูกลัวว่าเรื่องระยะเวลาก็น่าจะถึงปีได้แล้วนะคะ หนูไม่รู้จริงๆว่าเขาเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่พอทราบจริงๆก็คือก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงนึงเขาน่าจะกินเกือบทุกวัน (เพราะกลับบ้านเย็นทุกวัน และหงุดหงิดง่ายใส่ทุกคนตลอด แต่อันนี้หนูก็คาดเดาเองนะคะ) และพอถูกจับได้ครั้งนั้นก็คิดว่าเขาน่าจะหยุดไปพักนึง แต่ไม่น่าเลิกขาดนะคะ เขาเคยพูดๆ2-3ครั้งด้วยค่ะ ว่าอยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย บอกไม่ถูกไม่รู้เป็นอะไร หนูเลยไล่เขาไปนอน พอตื่นเช้าถามใหม่ เขาก็บอกว่าปกติแล้ว อีกครั้งนึงก็ได้ยินเขาบ่นอีก แต่คราวนี้ไล่ไปนอนไม่ยอมไป หนูก็รอตอนเขานอนและแอบเปิดคอมดูเฟซบุ๊คที่เขาล็อคอินค้างไว้ แอบอ่านที่เขาคุยกับเพื่อนก็เห็นเขาทักไปว่า พรุ่งนี้ไปกินกันไหม เขาอยากกิน ซึ่งหนูก็ไม่ทราบว่าที่อยากกินนี่คืออะไร แต่ก็ระแวงไปแล้วล่ะค่ะ เลยค่อนข้างมั่นใจว่าเขายังไม่เลิกกิน จะพยายามคอยๆดูเขานะคะ พอจะมีทางทำอะไรให้เขาเลิกไหมคะ กลัวน้องติดจังค่ะ ประเด็นที่สองนะคะ เรื่องการแสดงออกว่าเป็นห่วง หนูพูดตลอดค่ะ และเวลาเขาทะเลาะกับพ่อแม่ทีไร หนูก็พยายามบอกตลอดว่าเขาทำเพราะเป็นห่วงนะ แต่ก็อย่างที่คุณหมอพูดค่ะว่าเขาไม่เข้าใจเลย และไม่พยายามเข้าใจด้วยค่ะ ดูเขาปิดกั้นมากจริงๆ ส่วนพ่อกับแม่หนูก็พยายามพูดแล้วนะคะว่าให้คอยบอกเขาดีๆ ให้พยายามใจเย็นๆ แต่พอถึงเวลาจริงๆทำไม่ได้เลยค่ะ พอน้องหนูพูดจาไม่ดีกลับไป เขาก็อารมณ์เสียและจบลงด้วยการดุว่า สั่งสอน แนวๆนี้ตลอด ส่วนครูที่โรงเรียน จะลองให้คุณแม่ไปคุยดูนะคะ ปัญหาสำคัญก็อยู่ตรงที่ถ้าเปิดเทอมหนูจะอยู่หอพักใกล้มหาลัยค่ะ จะกลับบ้านก็เสาร์-อาทิตย์ คนที่คุยกับเขาส่วนมากจะเป็นคุณแม่ และหนูจะฟังเรื่องจากคุณแม่เวลาโทรมาบ่นเรื่องน้องอีกทีมากกว่าค่ะ เพราะฉะนั้น หลายๆครั้งที่หนูช่วยแม่พูดกับเขา เขาก็ดูเหมือนจะตั้งแง่ว่า ไม่ว่ายังไงเวลาใครมาคุย ก็คือมาต่อว่าเขาอยู่ดี เป็นเด็กที่มองโลกแง่ร้ายมากเลยค่ะ ประเด็นสุดท้ายนะคะ หนูลองพูดๆกับคุณแม่แล้วค่ะว่าอยากให้ลองพาน้องไปหาหมอดู คุณพ่อคุณแม่จะได้ไปฟังหมอด้วย ตรงนี้หนูก็อยากทราบว่าจะต้องติดต่อคุณหมอยังไงคะ? ไปตามโรงพยาบาลรัฐใหญ่ๆหรือว่ามีแต่คลินิคเอกชนเฉพาะด้านนี้ แล้วถ้าเกิดว่าพาไปพบแพทย์ เขาจะมีปมไหมคะว่าตัวเองต้องพบจิตแพทย์อะไรแบบนี้ กลัวเรื่องผลกระทบต่อจิตใจเขาที่สุดเลยค่ะ เพราะแค่ทุกวันนี้เวลาทำท่าระแวงเขาเรื่องกินยาเขาก็จะชอบคิดว่าเราหาว่าเขาบ้าแล้วค่ะ เลยกลัวว่าถึงขนาดพาไปพบแพทย์เขาคงไม่ยอมง่ายๆ แต่ยังไงก็ขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะคะ ขอบพระคุณมากจริงๆค่ะ |
นพ. ทรงภูมิ เบญญากรจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น |
28 ตุลาคม 2556 09:34:53 #4 เรียน คุณพี่สาว 1) เรื่องยา เป็นปลายเหตุของปัญหาเพราะเด็กวัยรุ่นเวลาเครียดหรือไม่ได้ดังใจไรก็จะลองใช้ยาเพื่อให้ความสุขกับตัวเอง ดังนั้นถ้าแก้ไขที่สาเหตุในเรื่องความสัมพันธ์ได้ก็จะดีกว่า ดังนั้นถ้าเด็กไม่ได้ใช้ยาที่อันตรายและพี่ียังสามารถติดตามอาการเค้าได้เรื่อย ๆ หมอว่าเเรื่องยาอาจไม่จำเป็นต้องคุยตอนนี้ครับ (หมอเเดาว่าน่าเป็นกลุ่มยานอนหลับซึ่งผลมันน้อยกว่ายาม้า) 2) พี่สาวพอรู้จักเพื่อนของน้องชายหรือเปล่าครับ หมอดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พี่สาวน่าเป็นคนที่คุยกับเค้าได้ง่ายที่สุดแล้ว ลองคุยในเรื่องทั้ว ๆ ไป เช่น เพื่อน ๆ เป็นไงบ้าง มีแฟนยัง ซัก 1-2 เดือนก่อนให้เค้าสนิทใจมาก ๆ แล้วค่อยถามเรื่องอื่น ๆ 3) การที่จะแนะนำเรื่องมาพบแพทย์ได้นั้นต้องแน่ใจจริง ๆ ว่าเค้าเริ่มเห็นว่าตัวเองมีปัญหา เช่น เค้าหงุดหงิดจนมีปัญหากับเพื่อน อย่าบอกว่าเพราะเค้าพูดกับพ่อแม่ไม่ดี เพราะยิ่งทำให้เค้ามองว่าเราจับผิดโดยตลอด ขอบคุณครับ ปล. - ช่วงนี้ยังไงต้องกลับบ้านมากหน่อยนะครับ เข้าใจว่ามันไกลแต่ถ้าทุ่มเทตอนนี้ ปัญหาจะไม่บานปลายครับ |
Anonymous |
31 ตุลาคม 2556 16:23:07 #5 ขอบพระคุณคุณหมอมากๆนะคะ สำหรับคำแนะนำดีๆ จะนำแนวทางที่คุณหมอแนะนำไปปฏิบัติตามแน่นอนค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ^_^ |
Anonymous